Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1838 กำราบหมื่นปี
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1838 กำราบหมื่นปี
ปราณกระบี่ดั่งลม ดุจสายฝน เหมือนน้ำตก ประหนึ่งกระแสน้ำหลาก
เมืองจักรพรรดิขาวที่ยิ่งใหญ่ ปราณกระบี่คับจักรวาล!
ขนาดหลินสวินยังไม่อาจไม่ยอมรับ เขตแดนมรรคที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยควบรวมออกมาเรียกได้ว่าตระการตาวิเศษอัศจรรย์ กว้างใหญ่ไพศาล คุณลักษณะเหนือธรรมดา
หากเปลี่ยนเป็นคนรุ่นเดียวกันทั่วไปเกรงว่าคงไม่มีแรงต้านทานสักนิด ผลสุดท้ายต้องลงเอยด้วยสภาพหมื่นกระบี่ทะลุกาย ตายอนาถคาที่
เพียงแต่หลินสวินกลับเหมือนมองไม่เห็นทุกสิ่งเหล่านี้ เขาลัดเลาะตามท้องถนนกว้างใหญ่ที่สะอาดสะอ้าน มุ่งหน้าไปทางต้นเมือง
ท่วงท่าสบายอารมณ์
ปราณกระบี่แน่นขนัดทั่วสี่ทิศแปดทางส่งเสียงกังวานแหลมฉีกทึ้งแก้วหูแหวกฝ่าห้วงอากาศมา แน่นขนัดดุจกระแสน้ำ พลุ่งพล่านดั่งมหาสมุทร ครอบฟ้าคลุมดิน
เพียงแต่ไม่รอให้สัมผัสโดนหลินสวิน ก็สลายหายไปเป็นเสี่ยงๆ ยามห่างออกไปสิบจั้ง
ปราณกระบี่นับพันหมื่น ยามนี้กลับเสมือนหยาดหิมะก็ไม่ปาน หลอมละลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ขับเน้นจนหลินสวินดุจดั่งหมื่นวิชาไม่อาจรุกราน
เขาสาวเท้าเดินไปข้างหน้าเนิบๆ เช่นนี้ ฝนกระบี่ดุจดั่งม่าน กองพะเนินเป็นชั้นๆ อานุภาพราวกับสามารถทำลายย่อยยับได้อย่างง่ายดาย
แต่ไม่ว่าจะบุกโจมตีอย่างไร ล้วนไม่สามารถสั่นคลอนบริเวณสิบจั้งรอบกายหลินสวินได้เลย!
แทบจะพริบตาเดียว หลินสวินก็เข้าประชิดหอกำแพงสูงตระหง่านนั่นแล้ว
แหงนหน้ามองขึ้นไป เงามายากำยำสายนั้นนั่งเป็นควบคุมอยู่บนหอกำแพง เจตกระบี่ทั่วร่างเวิ้งว้าง ประหนึ่งเทพมรรคกระบี่ในตำนาน
นี่ก็คือจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์?
จักรพรรดิในตำนานที่ใช้กระบี่แจ้งมรรค เข้าสู่ระดับจักรพรรดิที่สุดยอดคนหนึ่ง?
จากนั้นหลินสวินก็เก็บสายตากลับมา ในใจค่อนข้างเสียดาย
เงามายาสายนี้ ลักษณะพลังสายเดียวสามารถคุกคามจิตใจผู้ฝึกปราณได้ แต่กลับไม่มีอานุภาพแท้จริงที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับจักรพรรดิ
กล่าวง่ายๆ นี่ก็คือภาพเสมือนสายหนึ่ง เพียงแต่มีลักษณะพลังที่เป็นของมหาจักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ การที่ลักษณะพลังของมหาจักรพรรดิดึกดำบรรพ์คนหนึ่งซึมซาบเข้าสู่เขตแดนมรรคของตนได้ ฝีมือระดับนี้ล้วนเรียกได้ว่าวิเศษยอดเยี่ยม
เป็นครั้งแรกที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยใจสะท้าน ดวงเนตรงามหดรัด จิตใจผุดระลอกคลื่นเวียนวน
นางไม่อาจจินตนาการ บนโลกใบนี้ถึงกับมีคนสามารถ… เดินทอดน่องอยู่ภายใน ‘เมืองจักรพรรดิขาว’ ของนางได้!
นี่หมายความว่าการควบคุมพลังต่อเขตแดนมรรคของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่านางมากใช่หรือไม่
นี่เป็นไปได้อย่างไร
จินเทียนเสวียนเยวี่ยทระนงตนถึงขีดสุดเรื่อยมา มั่นใจเต็มเปี่ยมต่อความแข็งแกร่งแห่งตน ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยถูกต้านเช่นนี้มาก่อน
ชั่วขณะนี้จิตใจของนางบังเกิดแรงสะเทือน!
เมื่อเห็นหลินสวินจวนจะเข้าใกล้หอกำแพงสูงตระหง่านนั่นอยู่รอมร่อ จินเทียนเสวียนเยวี่ยพลันสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใช้ไพ่ตายสุดท้ายของตน
“มรรคข้าประหนึ่งเมือง มั่นคงไม่อาจเคลื่อน!”
“เมืองข้าดุจโลก กระบี่ตัดสินเป็นตาย!”
ชิ้ง!
บนหอกำแพงสูงตระหง่าน ประทับกระบี่จักรพรรดิขาวสายหนึ่งที่ลอยอยู่กลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่งโดยพลัน ยาวสองฉื่อสามชุ่น กว้างสี่นิ้วมือ ขาวหิมะโปร่งใส
ตูม โครมๆ !
สี่ทิศแปดทางมีกระแสฝนกระบี่นับไม่ถ้วนรวมตัวกันเข้ามา ทั้งหมดล้วนผสานเข้ากระบี่เล่มนี้ ทำให้กระบี่นี้ราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ ประกายแสงยิ่งแสบตามากขึ้น อานุภาพยิ่งบีบคั้นมากขึ้นทุกที
ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิขาวล้วนถูกเจตกระบี่น่าสะพรึงที่มันแผ่ออกมาปิดครอบ
หลินสวินชะงักเท้า ในที่สุดก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม
กระบี่นี้ ทำให้เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหนึ่งที่ปะทะเข้ามา
“ฟัน!”
บนหอกำแพง กระบี่นั้นราวกับสูบพลังทั้งหมดของเมืองจักรพรรดิขาว ใช้อานุภาพเนิบช้าแต่แฝงตัวอยู่ทุกแห่งหนบรรจงฟันลงมา
กระบี่เดียวพาดขวางฟ้าดิน ปิดครอบทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิขาว ไม่อาจหลบเลี่ยง!
“กระบี่นี้ คุ้มกับการที่ข้าบุกโจมตีเต็มกำลัง”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง บริเวณสิบจั้งของร่างกายปรากฏต้นแบบเขตแดนมรรคหนึ่งออกมา
คล้ายเตาหลอมก็ไม่ใช่ คล้ายหุบเหวก็ไม่เชิง
คลุมเครือลึกล้ำ ไม่อาจสาธยาย!
ตูม…
ชั่วขณะนี้ เงาร่างหลินสวินราวกับกลายเป็นหลุมดำ ตึกอาคาร ถนนหนทาง ผืนดินกว้างใต้เท้า ฟ้าดาราเหนือศีรษะละแวกนั้นทั้งหมดล้วนถูกพลังน่าสะพรึงดึงดูด ทยอยแตกระแหงระเบิดกระจุยตามๆ กัน
ขณะที่กระบี่นั่นฟันลงมา เมืองจักรพรรดิขาวกว้างใหญ่ก็กลายเป็นหุบเหวลึกที่ประหนึ่งเป็นความว่างเปล่าไปทั้งสิ้น
กระบี่นี้น่าสะพรึงปานใด พราวตาปานใด
ทว่าในเวลานี้กลับตกสู่หุบเหวลึกอย่างไร้สุ้มเสียง ถูกกลืนกินหายลับ…
เมืองจักรพรรดิขาว เวลานี้ระเบิดกระจุยกระจาย
บนเขารับแขก ประกายศักดิ์สิทธิ์ระเบิดแสง เสียงกัมปนาทก้องกระหึ่มดุจสายฟ้า สั่นสะเทือนและปั่นป่วน
จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่ท่วงท่าผ่าเผยมีสง่าราศี ดวงหน้าอรชรซีดขาว ริมฝีปากมีคราบเลือดแดงก่ำไหลออกมาสายหนึ่ง ทั่วร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย
ดวงเนตรงามของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ อึ้งงันอยู่ตรงนั้น
นางหยั่งรู้มาสามสิบหน แต่ ‘เมืองจักรพรรดิขาว’ ที่ควบรวมขึ้นมายามนี้ถึงกับถูกทำลายทั้งอย่างนี้…
ทั่วลานเงียบกริบ เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ทั้งบนล่างเขารับแขก ไม่มีใครไม่สะท้าน
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นผู้โดดเด่นดุจเซียน ‘เมืองจักรพรรดิขาว’ วิเศษอัศจรรย์ปานใด แต่กลับไม่สามารถล้อมสังหารอวี่เสวียนนั่นได้!
นี่เหนือความคาดหมายของผู้คนเกินไป!
หญิงชราอึ้งงันเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก ลอบกล่าวในใจว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เจ้าหมอนั่นจะเป็นพวกไร้ชื่อเสียง แค่ไม่ว่ารู้มาจากสำนักไหนก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดป่านอ้าปากกว้าง จากนั้นสูดหายใจเฮือก เขาเองก็ถูกทำให้สะท้านไปยกหนึ่ง ในใจบังเกิดความตกตะลึง
ที่ตีนเขา กลางนัยน์ตาภิกษุเฒ่าตู้คงที่ลืมขึ้นมีประกายวาบผ่าน เจ้านอกรีตนี่เทียบกับตอนที่อยู่แหล่งสถานคุนหลุนแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่ไหล่เขา ชายชราในชุดคลุมอึ้งค้างไม่พูดจา หัวคิ้วขมวดมุ่น
จินเทียนเสวียนเยวี่ย ความภาคภูมิในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลจินเทียน ถูกเขาตั้งความหวัง เดิมทีคิดว่าระดับของนางทะลวงแล้ว ควบรวม ‘เมืองจักรพรรดิขาว’ ได้ย่อมต้องกำราบคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ใครเลยจะคาดคิด กลับมีผลลัพธ์เช่นนี้เสียได้!
หน้าเรือนพัก หลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ ไม่แปดเปื้อนมลทิน สันโดษละโลกีย์ ทั่วร่างมีแสงมรรคสีเขียวขมุกขมัวไหลเวียน
เวลานี้ยามมองไปทางเขาอีกครั้ง จิตใจและสายตาของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ต่างจากก่อนหน้านี้
พวกร้ายกาจที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกเช่นนี้ มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่จริงๆ หรือ
“ไม่สู้พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเล่า”
หลินสวินเอ่ยปากทำลายความเงียบในที่นั้น ทอดสายตามองทางจินเทียนเสวียนเยวี่ยและอู้หมิง สีหน้าไม่สุขไม่ทุกข์
จิตต่อสู้พวยพุ่งทั่วร่างของอู้หมิง
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกลับสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “แพ้แล้วก็แพ้ไปสิ ข้ายังไม่ถึงขั้นต้องไปร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อให้ได้ชัยชนะหรอก”
นางย่อมมีทิฐิทระนงตน!
หลินสวินคลี่ยิ้ม ไม่ได้ดึงดันร้องขอ
การต่อสู้ครั้งนี้อันที่จริงไม่จำเป็นต้องสู้เลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นจะมองดูตนฆ่าอู้หมิงหรือจินเทียนเสวียนเยวี่ย
เสมือนเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลินสวิน ครู่ต่อมาในที่นั้นก็มีเสียงอบอุ่นสายหนึ่งดังขึ้น “เสวียนเยวี่ย เจ้าแสดงฝีมือได้ไม่เลวทีเดียว ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงหาใช่ไม่พ่ายแพ้ แต่เป็นหลังจากแพ้แล้วยังสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้งหรือไม่ต่างหาก”
พร้อมๆ กับเสียง เงาร่างของชายชราในชุดคลุมก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
“คารวะผู้อาวุโส”
แววตาจินเทียนเสวียนเยวี่ยซับซ้อน
นางรู้ ยามที่ผู้อาวุโสปรากฏตัว เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนใกล้จะปิดม่าน และชายหนุ่มที่ทำลายเมืองจักรพรรดิขาวของตน…
ก็จะต้องชดใช้ค่าตอบแทนเพื่อสิ่งนี้อย่างแน่นอน
เหมือนอย่างที่จินเทียนฉีว่า หน้าของตระกูลจินเทียนจะพังยับเยินไม่ได้!
ทั่วลานเงียบกริบ
ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่จับจ้องเรื่องทั้งหมดนี้ เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก จิตรับรู้ทั้งหมดก็พลอยถูกตัดขาดไปด้วย มองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ในที่นั้นอีกต่อไป
ทว่าพวกเขารู้ นั่นเพราะ ‘จักรพรรดิกระบี่วายุ’ จะลงมือแล้ว!
“หลังจากคืนนี้ เกรงว่าจะไม่ได้เห็นอวี่เสวียนนี่อีกแล้ว…”
คนไม่รู้เท่าไหร่ทอดถอนใจในใจ รู้สึกเสียดายแทนหลินสวิน
บุคคลแห่งยุคที่สามารถสยบจินเทียนเสวียนเยวี่ยได้ ยังไม่ทันไต่ทะยานสู่เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิกลับชะตาขาดอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กหนุ่มชุดป่านหัวใจบีบรัด อดทอดสายตามองไปทางหญิงชราที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้
ในใจหญิงชราก็ทอดถอนใจคราหนึ่งเช่นกัน แต่ยังคงส่ายหน้า
ท่ามกลางคลื่นลมฉากนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามา ไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก!
‘บางทีผ่านเรื่องนี้ไป อาจจะทำให้นายน้อยรู้ว่าบนโลกนี้ต่อให้เป็นปีศาจที่พราวตาแค่ไหน เป็นยอดอัจฉริยะที่พลิกฟ้าปานใด ก็ย่อมมีวันที่ชะตาขาดร่วงโรย…’
หญิงชราพึมพำในใจ
เด็กหนุ่มชุดป่านกำสองหมัดแน่นทันที สีหน้าราบเรียบจนน่ากลัว เอ่ยเน้นทีละคำ “ท่านยาย เรื่องนี้… ทำให้ในใจข้าไม่เบิกบานยิ่ง!”
เขาไม่ได้ร้องขอให้หญิงชราลงมือ
ในใจเขาไม่เบิกบานยิ่งจริงๆ เหมือนความอัดอั้นทับอยู่ตรงหน้าอก
“พอโจมตีเด็ก คนแก่ก็โผล่มา รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบกดดัน หลินสวินเผยสีหน้าเหยียดหยัน ไม่ได้แตกตื่นแต่อย่างใด
เหลียงชวนระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ไกลๆ หลังจากชายชราในชุดคลุมปรากฏตัวทั่วร่างล้วนแข็งทื่อ บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ
แต่เขากลับคิดไม่ถึงเป็นอันขาด ระดับราชันอริยะอย่างหลินสวินถึงกับกล้าพูดเช่นนี้ออกมาในยามที่อยู่ต่อหน้ามหาจักรพรรดิคนหนึ่ง!
ชั่วขณะนั้นในใจเขายังอดนึกขึ้นมาอย่างขมขื่นไม่ได้ บางที… ตนอาจจะแก่แล้วจริงๆ กระมัง…
“ทางเดินโบราณฟ้าดาราเหี้ยมโหดแต่ไรมา ไม่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะสูงเพียงใด ทว่าอยู่ต่อหน้าพลังสูงสุดก็เป็นได้แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น”
ชายชราในชุดคลุมเอ่ยปากเสียงเรียบ “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่โทษเป็นยากหลบหนี จะกำราบเจ้าหนึ่งหมื่นปีเป็นการลงโทษ”
กำราบหมื่นปี!
นี่โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าหลินสวินชัดๆ
เสาะแสวงมหามรรค ก้าวแรกพลาด ก้าวต่อๆ ไปย่อมพลาด สิ่งที่พลาดไปดูแล้วเหมือนเป็นแค่เวลา แต่อันที่จริงคือโอกาสในการไต่ทะยานเสาะหาบนมรรคาครั้งแล้วครั้งเล่า!
เทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ หากหลินสวินถูกกำราบ มีหรือจะมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ มีหรือจะมีโอกาสไปสมรภูมิเก้าดินแดน
และมีหรือจะมีโอกาสเข้าแหล่งสถานคุนหลุน
ไม่เข้าแดนมกุฎ ก็ไม่อาจบรรลุมกุฎมรรคา
ไม่เข้าสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่สามารถแจ้งมรรคระดับมกุฎราชัน
ไม่เข้าแหล่งสถานคุนหลุน มีหรือจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมล
แค่คิดก็รู้ หากถูกกำราบหมื่นปี หลินสวินก็จะพลาดโอกาสทำนองนี้ไปมากมาย!
บทลงโทษของชายชราในชุดคลุมไร้ปรานีเกินไปแล้ว!
ในใจหลินสวินอดโกรธกรุ่นขึ้นมาไม่ได้ สายตามองไปทางชายชราในชุดคลุม “ดูท่านน้ำใจข้าจะยังไม่พอ อุตส่าห์เมตตาปล่อยเดรัจฉานทั้งฝูงไป สิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นผลตอบแทนเช่นนี้”
กล่าวถึงตรงนี้เขาหัวเราะเยาะตัวเอง น้ำเสียงต่ำลึก นัยน์ตาลุ่มลึกจนน่ากลัว “ต้องโทษที่ข้านิ่งนอนใจ… ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรกก็คงฆ่าเรียบหมดแล้ว…”
ชายชราในชุดคลุมขมวดคิ้ว แต่ไม่รอให้เอ่ยปากภิกษุเฒ่าผอมแห้งคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เป็นตู้คงแห่งแดนกษิติครรภ์นั่นเอง
“สหายยุทธ์ ไม่สู้มอบเจ้าหมอนี่ให้แดนกษิติครรภ์ของข้าดีกว่า วันหน้าย่อมตอบแทนแน่นอน”
เสียงของตู้คงแหบพร่า
ระดับจักรพรรดิโผล่มาอีกคน!
หนำซ้ำยังมาเพราะอวี่เสวียนคนนี้ด้วยเช่นกัน!
เหลียงชวนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ขาสองข้างล้วนอ่อนยวบ เหงื่อกาฬชุ่มโชกไปทั้งตัว
เวลานี้บรรยากาศในที่นั้นก็กดดันถึงขีดสุดด้วยเช่นกัน
พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย อู้หมิงต่างยืนอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ในใจพวกเขา หลินสวินก็กำลังประสบเคราะห์ยากจะหลีกหนี
ในเรือนพักเด็กหนุ่มชุดป่านเม้มปาก นัยน์ตาจับจ้องภาพเหตุการณ์นี้ไม่ลดละ ทุกสิ่งที่เห็นในวันนี้สร้างแรงโจมตีหาใดเปรียบขึ้นในจิตใจของเขา บริเวณอกอัดอั้นจวนจะแตกระเบิด
เขาถึงขั้นคิดไปว่าหากไม่มีท่านยายอยู่ข้างกาย ถ้าตนประสบกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะมีแต่อับจนหนทางเหมือนกันใช่หรือไม่
หญิงชราเมื่อเห็นเช่นนี้ ใจก็ชักทนไม่ไหว เริ่มลังเลขึ้นมา