Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1841 ศิษย์พี่ผู้มีเหตุผล
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1841 ศิษย์พี่ผู้มีเหตุผล
เงาร่างมากมายมหาศาลแน่นขนัดเบียดเสียด พุ่งไปยังสี่ทิศแปดทาง ทำให้ผู้คนแยกแยะไม่ออกสักนิดว่าคนไหนคือภิกษุเฒ่าตู้คงกันแน่
อันที่จริงคนมากมายในที่นี้ต่างคิดไม่ถึง ว่าภิกษุเฒ่าตู้คงที่ถูกกำราบลงกับพื้นจะถึงกับยังเหลือแรงขัดขืนอยู่อีก
แต่ชายชาวนากลับคิดไว้อยู่แล้ว
“นี่ก็คือวิชาแห่งหมื่นพันร่างแปลงที่สืบทอดมาจากบรรพจารย์พุทธกษิติครรภ์หรือ แต่ดูท่าสหายยุทธ์จะเชี่ยวชาญเพียงผิวเผินเท่านั้น”
ในเสียงขรึมเคร่ง ชายชาวนาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ
ฮูม…
ต้นไม้ใหญ่เสียดฟ้านับไม่ถ้วนที่ปิดครอบห้วงอากาศแถบนี้กิ่งก้านไหวพลิ้ว ใบไม้ที่เหมือนดวงดาวแต่ละใบมีแสงมรรคเจิดจ้าไหลหลั่งออกมา
ชั่วขณะเดียวฟ้าดินเวิ้งว้าง สรรพสิ่งล้วนถูกแสงมรรคท่วมมิด
ภายใต้การปิดครอบของแสงมรรคนั่น เงาร่างมากมายที่แปลงจากภิกษุเฒ่าตู้คงราวกับตั๊กแตนถูกไฟเผา มอดไหม้แตกสลายเป็นวงกว้าง
“จะฆ่าแกงกันให้ตายจริงหรือ”
เสียงเดือดดาลของภิกษุเฒ่าตู้คงดังกึกก้อง เจือแววไม่เป็นสุข
“ใช่”
ชายชาวนากล่าวอย่างซื่อตรงยิ่ง
ตูม!
ก็เห็นฟ้าดินสี่ทิศมีแสงมรรคม้วนตลบ ต้นไม้โบราณมากมายดุจดั่งต้นไม้วิเศษมหามรรคตามตำนาน พลังศักดิ์สิทธิ์เรืองรองที่แผ่ซ่านออกมากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
เพียงไม่กี่อึดใจ เงาร่างมากมายที่แปลงจากร่างภิกษุเฒ่าตู้คงล้วนถูกเผาวอด ปลิวสลายหายไปจากที่นั้น!
ตายแล้ว?
คนไม่น้อยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สีหน้าสะท้านสะเทือน
นี่เป็นถึงระดับจักรพรรดิคนหนึ่งนะ!
แต่กลับดูเหมือนถ้าชายชาวนาคนนั้นถ้าอยากฆ่าก็ง่ายเหมือนปัดฝุ่น!
“ยังไม่ตาย”
ชายชาวนากล่าว จู่ๆ ก็เงื้อมือคว้าหมับภายใต้สายตาจับจ้องปนสงสัยของคนทั้งหมด
อู้หมิงที่อยู่ไกลๆ รวมถึงผู้สืบทอดกษิติครรภ์สิบกว่าคนต่างไม่ทันตอบสนอง ร่างกายล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน ถูกกวาดสังหารคาที่
“เจ้าเหี้ยมนัก!”
กลางห้วงอากาศ เสียงคำรามเดือดดาลของภิกษุเฒ่าตู้คงดังขึ้น ก่อนหยุดลงกะทันหัน
คราวนี้ชายชาวนาจึงกล่าวว่า “ข้าไม่เหี้ยมเท่าภิกษุเฒ่านี่หรอก ผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์พวกนี้อันที่จริงถูกเขาใช้วิชาลับสังหารชิงร่างไปนานแล้ว คนที่ข้าฆ่าก็แค่ร่างแปลงของภิกษุเฒ่านี่เท่านั้น”
ทุกคนตะลึงอึ้งค้าง
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างพากันคิดว่าภิกษุเฒ่าตู้คงแปลงร่างมากมายเผ่นหนีไปแล้ว ใครจะกล้าจินตนาการ เขาถึงกับฆ่าพวกอู้หมิงอย่างไร้สุ้มเสียง ครอบครองร่างของพวกเขาไป
นี่น่าสะพรึงเกินไป!
“ท่านยาย คนของแดนกษิติครรภ์นี่เย็นชาไร้ปรานีเช่นนี้กันหมดหรือ…”
เด็กหนุ่มชุดป่านถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง
“ขุมอำนาจหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่โลกมืด ย่อมแตกต่างจากผู้ฝึกปราณทั่วไปอยู่แล้ว”
เสียงหญิงชราเข้มขรึม
ที่นางสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าคือฝีมือของชายชาวนา
สามหมัดกำราบภิกษุเฒ่าตู้คง หลังจากนั้นโจมตีร่างแปลงนับไม่ถ้วนของภิกษุเฒ่าได้อย่างง่ายดาย
ระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ยังไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนใดๆ ก็ถูกฆ่าแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้นางเองยังใจสะท้าน ทั่วร่างสั่นเทิ้ม ชายชาวนาคนนี้มาจากไหนกันแน่
เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยิน ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารายังมีพวกน่าทึ่งสุดยอดเช่นนี้ด้วย
ในที่นั้นเงียบกริบ บรรยากาศกดดันหาใดเปรียบ
ชายชาวนายืนอยู่เบื้องหน้าหลินสวิน สายตามองไปทางชายชราในชุดคลุม
ไม่รอให้เอ่ยปาก ชายชราในชุดคลุมก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก้มหัวประสานมือคารวะพลางกล่าวว่า
“ข้าน้อยจินเทียนหง ทายาทรุ่นที่สิบหกเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน สหายยุทธ์ฝีมือเป็นเลิศ อัศจรรย์สุดหยั่ง ข้าน้อยฝีมือยังห่างไกล หวังว่าสหายยุทธ์จะไว้ไมตรี”
น้ำเสียงเจือแววขื่นขมรุนแรง
ระดับจักรพรรดิแล้วอย่างไร
อยู่ต่อหน้าพลังแกร่งสุดขีด ก็ได้แต่ก้มหัว!
ชั่วขณะนี้ใบหน้างามของจินเทียนเสวียนเยวี่ยซีดขาว ท่วงท่าของนางสูงส่งองอาจ เป็นผู้กล้าที่สะดุดตาที่สุดในเหล่าคนรุ่นเยาว์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน
ทว่าก่อนหน้านี้กลับถูกหลินสวินกำราบตรงๆ ในการประชันฝีมือซึ่งหน้า
ส่วนผู้อาวุโสผู้สูงส่งที่นางเทิดทูนดุจเทพเซียน จักรพรรดิกระบี่ที่ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดาราคนหนึ่ง เวลานี้กลับตกอยู่ในสภาพถูกบีบ ต้องก้มหัวโค้งตัว!
แระสะเทือนทั้งหมดทั้งมวลทำให้นางรู้สึกแตกสลาย
ความภาคภูมิใจอะไร ความเชื่อมั่นอะไร ฐานะที่นึกว่ายิ่งใหญ่อะไร ล้วนพังทลายยับเยินในชั่วพริบตานี้
แม้แต่หญิงชราได้เห็นชายชราในชุดคลุมก้มหัว ยังอดสะเทือนอารมณ์สังเวชใจไม่ได้
ระดับจักรพรรดิ สะท้านสะเทือนทั่วหล้า ถูกคนนับไม่ถ้วนวาดหวังแหงนหน้ามอง
ทว่าใครบ้างจะรู้ ระดับจักรพรรดิเองก็เกรงกลัวเป็น ก้มหัวเป็น และร่วงหล่นได้เช่นกัน!
และตอนนี้เวลานี้ ภิกษุเฒ่าตู้คงถูกฆ่า ส่วนจักรพรรดิกระบี่วายุก้มหัว!
“ข้าคนนี้นอกจากไม่พูดปดแล้ว ยังชอบความเที่ยงธรรมด้วย”
เสียงของชายชาวนาเข้มขรึม “หากข้าคิดว่าผิด ต่อให้เจ้าคุกเข่าโขกหัวข้าก็จะไม่ยอมปล่อยไป”
ชายชราในชุดคลุมหัวใจหนักอึ้ง
ก็เห็นชายชาวนากล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า หน้าตาตระกูลจินเทียนจะเสื่อมเสียไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากกำราบศิษย์น้องของข้าหนึ่งหมื่นปี เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ศิษย์น้องของข้าถูกหยามเกียรติเช่นนี้ ข้าในฐานะศิษย์พี่ หากไม่ช่วยเขาแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า”
ศิษย์น้อง!
คำเรียนขานคำเดียวกลับดุจดั่งสะท้านสวรรค์!
ชายชราในชุดคลุมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยากจะทำใจเชื่อ พวกที่เหมือนมดปลวกคนหนึ่ง จะเป็นศิษย์น้องของระดับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงคนนี้ได้อย่างไร
หญิงชราและเด็กหนุ่มชุดป่านสบตากันปราดหนึ่ง ต่างมองเห็นแววตกใจยิ่งยวดในสายตาของอีกฝ่าย
เดิมพวกเขาคิดว่าชายชาวนาจะเป็นผู้อาวุโสในสำนักของหลินสวิน ไหนเลยจะคาดคิด ทั้งคู่ดันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน!
เหลียงชวนผู้อาวุโสชั้นสูงของหอเสียงสวรรค์ที่ยืนอยู่ไกลๆ ไม่มีใครสังเกตมาโดยตลอด ก็ตะลึงค้างเช่นกัน
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ สำหรับเขาก็เหมือนฝันร้ายฉากแล้วฉากเล่าชัดๆ!
คนตระกูลอวี่คนหนึ่ง เหตุใดถึงกลายเป็นศิษย์น้องของระดับจักรพรรดิคนหนึ่งไปเสียได้
หากรู้เช่นนี้แต่แรก หอเสียงสวรรค์คงจะเทิดทูนบูชาเขาประหนึ่งบรรพบุรุษก็ไม่ปานนานแล้ว ไหนเลยจะกล้าเพิกเฉยละเลยสักเสี้ยว
และในเวลานี้เอง เหลียงชวนถึงเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงกล้าสังหารผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นอย่างอุกอาจไร้เกรงกลัวปานนั้น
พอมองดูศิษย์พี่คนนั้นของเขา ถึงขั้นกล้าฆ่าระดับจักรพรรดิโดยตาไม่กะพริบ มีศิษย์พี่เช่นนี้อยู่ทั้งคน ยังมีอะไรที่เขาไม่กล้าบ้าง
“มิน่า มิน่า…” ริมฝีปากเหลียงชวนกล่างงึมงำ จิตใจเลื่อนลอย
มีเพียงหลินสวินที่ยิ้ม
เป็นศิษย์พี่ของตนดังคาด มิน่าซีถึงไม่ปรากฏตัว
“ข้ายินดีจ่ายค่าชดเชยเพื่อสิ่งนี้”
เสียงของชายชราในชุดคลุมยิ่งขมขื่นขึ้นเรื่อยๆ ก้มหน้าหลุบต่ำ
ชายชาวนากล่าว “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง หากศิษย์น้องของข้าเป็นมด ข้าที่เป็นศิษย์พี่จะเป็นตัวอะไร”
ก่อนหน้านี้ชายชราในชุดคลุมคำก็มดสองคำก็มด เต็มไปด้วยความดูแคลนและเหยียดหยัน มองหลินสวินเป็นเหยื่อที่จะฆ่าอย่างไรก็ได้
ทว่ายามนี้ เผชิญหน้ากับคำถามของชายชาวนา เขากลับสีหน้าจืดเจื่อน ใบ้สนิทจนคำพูด ยังจะอธิบายได้อย่างไร
ชายชาวนากล่าวอีกครั้ง “การต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์ ศิษย์น้องของข้าไว้ไมตรีแล้ว ไม่ได้ฆ่าคน แต่เพื่อหน้าตาวงศ์ตระกูลที่ว่านั่น ถึงกับให้ระดับจักรพรรดิอย่างเจ้าลงมือเอง ออกจะรังแกกันเกินไปหรือไม่”
ชายชราในชุดคลุมร่างแข็งทื่อ มุมปากกระตุก ทว่าท้ายที่สุดก็ยังถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง จนคำพูดจะเอ่ยตอบ
“ระดับสูงก็สามารถมองผู้อื่นป็นมด ยื้อยุดแย่งชิง ชาติกำเนิดสูงก็สามารถดูถูกคน ทำกร่างวางโต”
ชายชาวนากล่าวถึงตรงนี้ก็ใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วค่อยกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่อดีตสืบมาจริงๆ คนทั่วหล้าก็แทบจะคุ้นเคยเห็นเป็นเรื่องปกติ”
สีหน้าของเขาจริงจัง ขึงขังอย่างหาได้ยาก “แต่ข้าอยู่ที่นี่ นี่มันไม่ถูกต้อง สรรพชีวิตไร้ต่ำต้อยสูงศักดิ์ อ่อนแอแข็งแกร่งไร้สูงต่ำ มีเพียงเป็นเช่นนี้จึงจะรู้ความหมายแห่งสรรพชีวิต มีจิตใจแห่งความเคารพยำเกรง!”
หลินสวินยังอดอึ้งงันไม่ได้
สรรพชีวิตไร้ต่ำต้อยสูงศักดิ์ อ่อนแอแข็งแกร่งไร้สูงต่ำ!
นี่น่าจะเป็นปณิธานมหามรรคที่ศิษย์พี่ของเขาตั้งมั่นกระมัง
‘ชาวนาคนหนึ่งกลับสามารถเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาได้ หรือว่านี่ก็คือสาเหตุที่เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้ในระดับจักรพรรดิ’
หญิงชราคล้ายขบคิด
ระดับจักรพรรดิ สิ่งที่เคี่ยวกรำคือสภาวะจิต เป็นความลึกล้ำในความล้ำลึก ระดับความสำเร็จที่คนผู้หนึ่งจะได้รับ เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นที่ยึดถืออย่างแยกจากกันไม่ออก
ความรู้สึกที่ชายชาวนามีให้แก่ผู้คน เรียบง่ายไม่หวือหวา ไม่สะดุดตาสักนิด ทว่าพลังและสภาวะจิตที่เขามี กลับเรียกได้ว่าตราตรึงถึงขีดสุด!
ชายชราในชุดคลุมเม้มปากไม่เอ่ยคำ
เขายอมรับชะตา รอก็แต่ผลลัพธ์สุดท้าย
ชายชาวนาถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ชอบเอ่ยถึงเหตุผล และไม่เต็มใจฟังคนกล่าวถึงเหตุผล แต่เหตุผล…เดิมก็เป็นเหตุหลักแห่งมหามรรค! หากไม่เอ่ยถึงเหตุผล ยังจะแสวงหามรรคอะไรกัน”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน เหตุผล เหตุหลักแห่งมหามรรค?
คำอธิบายต่อมหามรรคเช่นนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนได้รู้แจ้งเห็นแสงธรรม
“ศิษย์พี่ เหตุผลอะไรยิ่งใหญ่ที่สุด” เขาอดถามไม่ได้
ชายชาวนายิ้มซื่อๆ ชูหมัดข้างหนึ่งขึ้น “ข้าจมปลักขบคิดนานหลายปี สุดท้ายถึงได้พบว่าเหตุผลอยู่ที่นี่”
“หมัด?” หลินสวินอึ้งไป
“ใช่ หมัดของใครแกร่ง เหตุผลของผู้นั้นก็ยิ่งใหญ่”
สีหน้าชายชาวนาจริงจรัง ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น “ไม่ว่าการช่วงชิงมหามรรค หรือการช่วงชิงของสำนัก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการลงไม้ลงมือ ในเมื่อต้องลงมือ หมัดของใครแกร่งกว่า คนผู้นั้นก็จะสามารถคว้าชัยชนะไปได้ พอคว้าชัยในการช่วงชิงของสำนัก เหตุผลของเจ้าก็สามารถกลายเป็นเหตุผลของคนทั่วหล้า”
หลินสวินกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดศิษย์พี่ยังต้องเอ่ยเหตุผลกับผู้อื่นอีก”
ชายชาวนาส่ายหน้า “ศิษย์น้อง พานพบคนที่สามารถเอ่ยเหตุผลด้วยได้ ก็ใช้หมัดไม่ได้แล้ว หมัดมีไว้ใช้กับคนที่ไม่มีเหตุผล ก็เหมือนภิกษุเฒ่าคนนั้น บอกจะลงมือก็ลงมือ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ใช้หมัดเอ่ยเหตุผลกับเขาสักหน่อยเท่านั้น”
สายตาของหลินสวินมองไปทางชายชราในชุดคลุมคนนั้น กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านวางแผนจะเอ่ยเหตุผลกับเขาอย่างไร”
ชายชาวนากล่าว “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ขณะนี้สายตาทุกคู่ล้วนมองไปทางหลินสวิน โดยเฉพาะชายชราในชุดคลุมและจินเทียนเสวียนเยวี่ย ต่างพากันอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้
แม้แต่หญิงชรากับเด็กหนุ่มชุดป่านก็ยังใคร่รู้ หลินสวินจะเอ่ยตอบแบบไหนออกมา
ใครต่างก็รู้ คำตอบนี้ของหลินสวินจะส่งผลต่อความเป็นตายของชายชราในชุดคลุม!
กลับเห็นหลินสวินกล่าวโดยไม่ต้องคิด “ไม่เช่นนั้น กำราบเขาหมื่นปี?”
ชายชราในชุดคลุมหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ความจริงภายในใจค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอกบ้างแล้ว
หนึ่งหมื่นปี?
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ยังไม่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรได้
แต่ยามนี้ชายชาวนากลับส่ายหน้า ประเมินหลินสวิน “ศิษย์น้อง เหตุใดเจ้าถึงซื่อตรงยิ่งกว่าข้าเสียอีก คนซื่อมักจะเสียเปรียบได้ง่ายที่สุด”
หลินสวินตะลึงไป มุมปากกระตุกเบาๆ อย่างยากจะสังเกต ในที่สุดก็สัมผัสถึงอานุภาพแห่งคำพูดที่ทำเอาคนสะอึกตายได้ของคนซื่อแล้ว
“เขากับเจ้าต่างกัน เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ถูกจองจำ แต่สิ่งที่เจ้าขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา”
ชายชาวนากล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉะนั้นบทลงโทษที่เขามีต่อเจ้าจึงหนักหนาเกินไป ส่วนบทลงโทษที่เจ้ามีต่อเขาเบาเกินไป นี่เรียกว่าไม่ยุติธรรม”
เดิมทีหลินสวินนึกว่าศิษย์พี่คนนี้จะเป็นคนนิสัยนิ่งเงียบสงวนวาจา ใครเลยจะคาดคิด พอเอ่ยถึงหลักเหตุผลกลับจริงจังและพูดเยอะเช่นนี้
เพียงแต่นิสัยในการจัดการเรื่องราวเช่นนี้ กลับทำให้หลินสวินไม่รู้สึกนึกรังเกียจแต่อย่างใด ตรงข้ามในใจกลับรู้สึกว่าเหมาะควรและพึ่งพาได้อย่างบอกไม่ถูก
ถึงแม้ศิษย์พี่จะไม่ใช่สุภาพชน แต่ยามที่ปฏิบัติต่อศิษย์น้องคนนี้ของตน กลับมีมาดของสุภาพชนสุขุมลุ่มลึก!