Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1868 เป็นฝ่ายขอสู้
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1868 เป็นฝ่ายขอสู้
จ้าสำนักสำนักยุทธ์เสวียนจีนาม ‘เหิงเซียว’ ศักยภาพลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ชื่อเสียงโด่งดัง ในแคว้นเมฆาก็เป็นคนใหญ่คนโตที่ฐานะโดดเด่นคนหนึ่ง
ในเวลานี้เหิงเซียวที่สวมชุดนักพรตและเกี้ยวประดับขนนกก็สังเกตเห็นหลินสวินกับจินเทียนเสวียนเยวี่ยเช่นกัน จึงพยักหน้าให้เล็กน้อย
“เข้าไปเถอะ”
หงอวี่พูดเสียงเบา พาทั้งสองเดินเข้าไป
และในเวลาเดียวกันเหล่าคนใหญ่คนโตสำนักยุทธ์เสวียนจีที่อยู่ใกล้ๆ รวมถึงผู้สืบทอดมากมายต่างมองเข้ามา
มีทั้งคนที่สงสัย คนที่เฉยเมย และมีคนประหลาดใจ
ราวกับกำลังพูดว่า นี่ก็คือแขกที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนอย่างนั้นหรือ
“จินตู๋อีคารวะผู้อาวุโส”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย เดินเข้าไปคำนับ
“เจ้าแซ่จินหรือ”
เหิงเซียวอึ้งไป
“ข้าแซ่จินเทียน”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก
เหิงเซียวขานรับว่าอ้อแล้วเอ่ยว่า “แขกทั้งสองมาเยือน เดิมควรต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เพียงแต่สถานการณ์วันนี้พิเศษ จำต้องให้พวกเจ้าทั้งสองรออยู่ที่นี่ก่อน”
“ผู้อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ”
หลินสวินพยักหน้า
เขาเห็นแล้วว่ากลางแท่นอันใหญ่โตบนยอดเขานี้กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือด
ทั้งสองคนที่ต่อสู้กัน คนหนึ่งคือผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจี สวมชุดขนนก บุคลิกสง่างาม เป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย ควบคุมกระบี่มรรคที่ราวกับปลาสีม่วงเล่มหนึ่ง
คู่ต่อสู้ของเขาคือหญิงชุดดำคนหนึ่ง ดวงตาเรียวยาวราวกับใบดาบ เย็นชาน่ากลัว ทั่วร่างอบอวลด้วยหมอกสีเทาที่เดี๋ยวชัดเดี๋ยวจาง
ที่แปลกที่สุดคือหญิงคนนี้เป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นต้นเท่านั้น ทว่ายามต่อสู้กลับคว้าความได้เปรียบ!
เหตุผลอยู่ที่ว่า ร่างของนางสามารถเปลี่ยนไปได้ตามปรารถนา บางคราเหมือนกระดาษบาง บางคราวเหมือนหมอกเทา บางครั้งเหมือนมุกเมล็ดข้าว บางทีก็ใหญ่ขึ้นกะทันหัน…
เล็กใหญ่ดั่งปรารถนา เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน!
ในมือนางถือกริชเจ็ดชุ่นเล่มหนึ่ง ดำสนิทไร้แสง ตอนที่โบกสะบัดกลับสามารถฉีกทึ้งห้วงอากาศอย่างง่ายดาย ส่งเสียงร้องแหลม
แทบจะในชั่วพริบตา บนร่างของผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีนั่นก็มีบาดแผลชุ่มเลือดมากมายเพิ่มขึ้นมา ล้วนเป็นรอยบาดลึกจนเห็นกระดูก เลือดย้อมเสื้อผ้าจนแดงฉาน
“ศิษย์พี่หยวนเม่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้หรือ”
มีคนส่งเสียงอย่างขมขื่น
คนใหญ่คนโตอย่างพวกเหิงเซียว หงอวี่ แต่ละคนสีหน้าอึมครึม
ส่วนอีกฟากของแท่นเหนือยอดเขากลับมีเสียงโห่ร้องยินดีระลอกหนึ่ง
หลินสวินสังเกตเห็นว่าที่ตรงนั้นมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ มีทั้งชายและหญิง ต่างสวมชุดสีฟ้าเข้ม
ผู้นำคือชายชราที่บุคลิกราวกับเซียนคนหนึ่ง สวมชุดแขนกว้าง ผิวของเขาเรียบเนียนราวกับทารก ดวงตาทั้งคู่ดุจดวงสุริยัน
ทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากเกาะเทพเวหาทมิฬ
ผู้นำชราที่ราวกับเซียนคนนั้นฉายามรรค ‘ปี้หยวนจื่อ’ เป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่งของเกาะเทพเวหาทมิฬ ฐานะสูงส่งยิ่ง
ตอนนี้เขาลูบหนวดเครา ยิ้มพูด “น้องเหิงเซียว การประลองรอบที่สองนี้ สำนักยุทธ์เสวียนจีของพวกเจ้าเกรงว่าจะแพ้อีกครั้งแล้ว”
น้ำเสียงกังวานกึกสะท้อนยอดเขา สะเทือนจนทะเลเมฆแตกเป็นเสี่ยง
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์เสวียนจียิ่งย่ำแย่ หลายคนต่างกำหมัดแน่นอย่างเดือดดาล
ประหนึ่งต้องการพิสูจน์คำพูดของปี้หยวนจื่อ ในแท่นประลอง เมื่อเสียงกึกก้องสะเทือนหูดังขึ้น กระบี่มรรคที่ราวกับปลาสีม่วงเล่มนั้นถูกหญิงชุดดำใช้กริชซัดกระเด็น
กริชคมกะพริบวาบตามมาติดๆ
พรูด!
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘ศิษย์พี่หยวนเม่า’ หน้าอกล้วนถูกกรีดเป็นปากแผลนองเลือดเส้นหนึ่งจากบนลงล่าง
แทบจะถูกแหวกอกเปิดท้องแล้ว!
มองเห็นว่าหญิงชุดดำฉวยโอกาสบุกหมายจะโจมตีต่อ เหิงเซียวเจ้าสำนักสำนักยุทธ์เสวียนจีตวาด “หยุดมือ! การประลองนี้สำนักยุทธ์เสวียนจีของข้ายอมแพ้”
กึก!
เงาร่างของหญิงชุดดำหยุดลงทันที เงยหน้าขึ้นมองไปที่คนของสำนักยุทธ์เสวียนจี ใบหน้าปรากฏความเย้ยหยัน
“นับว่ายอมแพ้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนตายคนหนึ่งไปแล้ว”
หญิงชุดดำทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้แล้วหมุนตัวจากไป
ท่าทีที่เย็นชา เย่อหยิ่ง ทำให้ทั้งบนล่างสำนักยุทธ์เสวียนล้วนเดือดดาล ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านั้นยิ่งระงับความโกรธไม่อยู่ ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด
“จองหอง!”
“ชนะไม่กี่ครั้งก็เชิดหน้าชูคอได้แล้วหรือ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
หญิงชุดดำที่อยู่ไกลๆ หมุนตัวกลับมาพลัน ดวงตาที่เรียวยาวเผยความเย้ยหยัน กระดิกนิ้วเรียกเอ่ยว่า
“ไม่ยอมหรือ เช่นนั้นก็ออกมาสู้สักครา”
ประโยคเดียวทำเอาคนไม่น้อยบื้อใบ้ไป
แต่ฝั่งเกาะเทพเวหาทมิฬกลับมีเสียงหัวเราะผสมโรงดังขึ้นเกรียวกราว ทำให้เหล่าผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีหน้าเสีย ในใจอัดอั้น
ตอนนี้ในสายตาของหลินสวินกลับมีแววประหลาดแวบผ่าน
เขาเข้าใจแล้วว่า การประลองระหว่างเกาะเทพเวหาทมิฬและผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีในครั้งนี้แบ่งเป็นห้ารอบ
ขอเพียงแค่ชนะสามรอบก็เป็นการตัดสินแพ้ชนะ
และตอนนี้ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีแพ้สองรอบแล้ว
คนแรกที่เข้าสู่ลานประลองคือ ‘จีเฉียน’ คนรู้จักเก่าก่อนของหลินสวิน คนที่สองที่เข้าประลองคือศิษย์พี่หยวนเม่าที่เกือบถูกแหวกอกเปิดท้องเมื่อครู่นี้
ทั้งสองล้วนพ่ายแพ้ในมือหญิงชุดดำคนนั้น!
หญิงชุดดำคนนั้นนามว่า ‘เสอจื่อ’ ก่อนหน้านี้สำนักยุทธ์เสวียนจีไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเกาะเทพเวหาทมิฬมีคนที่ร้ายกาจเช่นนี้
และไม่มีข้อมูลความเข้าใจต่อนางเลยสักนิด
แต่เมื่อผ่านการประลองสองรอบนี้ ก็ทำให้ทุกคนดูออกแล้วว่า เสอจื่อไม่ใช่มกุฎราชันอริยะทั่วไป!
ไม่ว่าจะเอาชนะจีเฉียน หรือเอาชนะศิษย์พี่หยวนเม่าที่ระดับสูงกว่านางขั้นหนึ่ง นางล้วนชนะอย่างง่ายดาย
และควรรู้ว่าศิษย์พี่หยวนเม่าเป็นถึงบุคคลแห่งยุคที่อยู่ในอันดับสาม ในหมู่ผู้สืบทอดแกนหลักของสำนักยุทธ์เสวียนจี
แต่ก็ยังคงพ่ายแพ้!
บรรยากาศในลานประลองกดดัน พวกเหิงเซียว หงอวี่สีหน้าต่างเคร่งขรึมและมืดทะมึน
การประลองห้ารอบดำเนินไปสองรอบแล้ว ล้วนจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจี นี่ก็หมายความว่าหากพวกเขาแพ้อีกรอบ การประลองที่เกิดขึ้นระหว่างผู้สืบทอดสองสำนักใหญ่นี้ก็จะสิ้นสุดลง!
“เสอจื่อคนนี้โผล่มาจากไหนกันแน่ ข้าสงสัยว่านางไม่ใช่ผู้สืบทอดของเกาะเทพเวหาทมิฬ”
มีคนขมวดคิ้ววิเคราะห์ “การประลองก่อนหน้านี้ วิชามรรคและวิธีการต่อสู้ที่นางใช้ไม่ใช่พลังสืบทอดของเกาะเทพเวหาทมิฬ”
คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยนัยน์ตาหดรัด
ความจริงในใจพวกเขาเองก็สงสัย เพียงแต่ไม่กล้ายืนยัน
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดเกาะเทพเวหาทมิฬจริงๆ”
และตอนนี้เอง จู่ๆ หลินสวินก็ส่งเสียง
ประโยคเดียวทำให้พวกเหิงเซียว หงอวี่ต่างหันหน้ามา
“สหายน้อยพอจะมองอะไรบางอย่างออกหรือ”
เหิงเซียวใจไหวหวั่น
“พอจะดูเบาะแสบางอย่างออกคร่าวๆ แล้ว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำ ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นรูปแบบการต่อสู้ของหญิงชุดดำคนนี้ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา
เมื่อลองสังเกตดูก็นึกถึงเรื่องบางอย่างในอดีตออก
“แน่ใจได้หรือไม่”
ประกายแสงสายหนึ่งแวบผ่านในสายตาของเหิงเซียว
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “หากอยากพิสูจน์ก็ง่ายมาก ข้าสู้กับนางสักรอบก็จบ”
“เจ้า?”
เหิงเซียวอึ้งไปทันที
คนใหญ่คนโตสำนักยุทธ์เสวียนคนอื่นๆ เองก็ผิดคาด ต่างคิดไม่ถึงว่าแขกที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนคนนี้ กลับเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอเช่นนี้เอง
อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่จินเทียนเสวียนเยวี่ยยังประหลาดใจ
นางรู้ดีว่าหากไม่มีความจำเป็น หลินสวินยินยอมเก็บเนื้อเก็บตัวสงบเสงี่ยม ยอมให้คนมองข้ามแต่ไม่ยอมทำตัวเด่น
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับเรียกร้องเองอย่างยากจะเห็น นี่นอกจากจะทำให้นางประหลาดใจ ก็ตระหนักได้โดยพลันด้วยว่าหลินสวินคงมีความแผนการอื่น!
เหิงเซียวเอ่ยอย่างใคร่ครวญมาอย่างดี “สหายน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของสำนักยุทธ์เสวียนจี หากให้เจ้ายื่นมือเข้ามา เกรงว่าคงไม่เหมาะ”
เหิงเซียวมีความคิดเป็นของตัวเอง
ตอนนี้พวกเขาพ่ายแพ้สองรอบติดแล้ว การต่อสู้หลังจากนี้ เกี่ยวข้องถึงผลลัพธ์แพ้ชนะในตอนท้าย จะกล้าสะเพร่าได้อย่างไร
ในตอนนี้หากยอมให้คนนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคนหนึ่งยื่นมือเข้าแทรกโดยพลการ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดจะทำอย่างไร
ถึงตอนนั้นเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนจะไม่สูญเสียอะไร แต่หน้าของสำนักยุทธ์เสวียนก็จะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
ความคิดของเหิงเซียวก็คือความคิดของคนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ในลานประลอง
ถึงอย่างไรหลินสวินก็เพิ่งมา แม้ปรากฏตัวในฐานะแขกจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน แต่ถึงอย่างไรก็ยังไว้ใจไม่ได้นัก
“น้องเหิงเซียว ลูกศิษย์ที่จะประลองในรอบที่สามยังเลือกไม่ได้หรือ”
ฝั่งตรงข้าม เสียงของปี้หยวนจื่อแห่งเกาะเทพเวหาทมิฬดังมาอย่างแฝงความย่ามใจ “อันที่จริงจากที่ข้าดู พวกเจ้ายอมแพ้ไปตอนนี้กลับเป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุด หากศิษย์ที่ส่งออกมาในรอบต่อไปถูกตีพ่ายอีก เช่นนั้นก็ไม่น่าดูแล้ว”
สีหน้าของพวกเหิงเซียวปรากฏความอึมครึม ความเดือดดาลในใจเผยออกทางใบหน้า
เจ้าเฒ่าปี้หยวนจื่อนี่ มองว่าสำนักยุทธ์เสวียนจีไร้คนหรือไร
“เจ้าสำนัก ข้ายินยอมเป็นคนที่สามที่เข้าสู่ลานประลอง!”
มีคนทนไม่ไหวเอ่ยเสียงขรึมขึ้นมา
“ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
“ไม่ได้ การประลองครั้งที่สามนี้อันตรายไม่อาจคาดเดา ศิษย์น้องทุกคนไม่ต้องแย่งกัน ให้ข้ารับไว้เถอะ”
ไม่นานผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีหลายคนต่างเอ่ยปากขอสู้
ทุกคนล้วนเป็นศิษย์แกนหลัก มีพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะ และเป็นพลังแกนหลักที่สุดยอดที่สุดของสำนักยุทธ์เสวียนจี
ทว่าตอนนี้หลินสวินอดลอบส่ายหน้าไม่ได้ จากสายตาของเขา แม้ศิษย์แกนหลักเหล่านี้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่เห็นใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหญิงชุดดำ ‘เสอจื่อ’ นี่ได้!
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือ ในบรรดาศิษย์แกนหลักเหล่านี้ เจียงเหิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และกำลังขอต่อสู้ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
‘คิดไม่ถึงว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้ก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอริยะแล้ว…’
หลินสวินถอนหายใจในใจ
ยังจำได้ว่าตอนที่อยู่ในแหล่งสถานคุนหลุน ไม่ว่าจะเป็นตัวเขา หรือเจียงเหิงกับจีเฉียน ล้วนเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับมกุฎมหาอริยะ
ตอนนี้นับดู ในเวลาไม่ถึงเจ็ดปี อีกฝ่ายก็ทะลวงระดับขั้นในมรรคาแล้ว
ตอนนี้เหิงเซียวเองก็อดลังเลไม่ได้ คล้ายยากจะตัดสินใจ
เห็นเช่นนี้หลินสวินเก็บความคิดทันที เอ่ยว่า “หากให้พวกเขาออกไปสู้ โอกาสชนะคราวนี้ก็มีไม่มาก สู้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”
ว่าแล้วเงาร่างเขาก็พลิ้วลอย มาปรากฏตรงกลางแท่น
“เจ้า…”
“หยุดนะ!”
“สหายน้อย กลับมาเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้นพวกเหิงเซียวต่างทำอะไรไม่ถูก ในใจคนใหญ่คนโตหลายคนยิ่งเดือดดาล
นี่มันเวลาใด คนรุ่นเยาว์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนคนนี้ยังจะก่อกวนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สร้างความปันป่วนจริงๆ!
ส่วนศิษย์แกนหลักสำนักยุทธ์เสวียนจีอย่างเจียงเหิงนั้น แต่ละคนก็ไม่ชอบใจยิ่ง อะไรคือการบอกว่า การให้พวกเขาออกไปสู้ โอกาสชนะคราวนี้ก็มีไม่มาก
ประโยคนี้เป็นการปฏิเสธพวกเขาทุกคน!
มีเพียงจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่มั่นใจในตัวหลินสวินมาก น้ำเสียงแฝงความเย่อหยิ่ง พูดอย่างเรียบเฉย
“ถ้าเป็นเวลาปกติ แม้คนอื่นขอร้องให้คุณชายของข้าลงมือ ก็ต้องดูว่าคุณชายจะยินยอมหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้คุณชายเสนอตัวว่าจะลงมือ ข้าแนะนำว่าให้ทุกท่านเปิดใจให้กว้างเพื่อดูการต่อสู้ก็พอแล้ว”
………………………..