Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1884 ประหนึ่งม้ามืดที่ฝ่าผ่านห้วงอากาศ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1884 ประหนึ่งม้ามืดที่ฝ่าผ่านห้วงอากาศ
หงอวี่ที่อยู่บนที่นั่งผู้คุมการทดสอบมุมปากเกร็งกระตุกไปครู่หนึ่ง
เขามองเห็นความงุนงงและไม่เข้าใจในที่นั้นทั้งหมด แต่มีเพียงเขาที่รู้ดีว่าที่จินตู๋อีทำเช่นนี้ ไม่ได้ใจกล้าคับฟ้าจริงๆ
ทั้งยังไม่ใช่การรนหาที่ตาย
แต่เป็นเพราะเขาชอบกำราบศัตรูในตอนที่อีกฝ่ายใช้วิธีต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร!
เสอหลิงที่ตอนนั้นครอบครอง ‘ทางนรกไร้หวน’ ก็ถูกเอาชนะเช่นนี้เหมือนกัน…
ตอนแรกเกาหลิงเทียนก็อึ้งไป ออกจะทำใจเชื่อได้ยาก
สู้มาจนตอนนี้ ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของหลินสวินได้รับการยอมรับจากเขาไปแล้ว ถึงกับถูกเขามองว่าเป็นศัตรูยากรับมือที่คู่ควรให้เขาลงมือเต็มกำลัง
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ที่เผยความใจเย็น ราบเรียบ และสุขุมมาตลอด เหตุใดขณะนี้จึงเปลี่ยนเป็นออกตัวเช่นนี้
นรกดาบครวญนี้เป็นถึงภาพสะท้อนมรรควิถีของตัวเขา และเป็นรากฐานที่ทำให้เขาลือชื่อในแคว้นเมฆา ได้รับการยกย่องเป็น ‘ราชันอริยะดาบมาร’!
‘ไม่เคยมีคนรอดออกมาจากเขตแดนมรรคของข้าได้ จินตู๋อีเจ้าจะเป็นข้อยกเว้นหนึ่งได้หรือ…’
จิตต่อสู้อันไพศาลหาใดเทียบผุดขึ้นในใจเกาหลิงเทียน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งร่างลุกโชนโดยสมบูรณ์
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง โคจรไพ่ตายเต็มกำลัง
เขาชูมือขึ้น
ภายในเขตแดนมรรค ปราณกระบี่ขาวโพลนปรากฏขึ้นดังซ่าๆ รวมกันนับหมื่นพัน แน่นขนัดดุจนรกแห่งดาบ
มรรคดาบอันแหลมคมอหังการบุกโจมตี ปรากฏขึ้นในขณะนี้
หลินสวินเดินอยู่ภายในนั้นเหมือนเดินอยู่ในภูเขาดาบทะเลเพลิง สี่ด้านแปดทิศต่างเต็มไปด้วยปราณดาบขาวโพลน
ปราณดาบดุจนรก หมายจะล้อมฆ่าให้ตายอยู่ในพันดาบหมื่นกรีดแทง
หากเปลี่ยนเป็นระดับเดียวกันคนอื่นๆ เกรงว่าจะรับไม่ไหวไปนานแล้ว
แต่หลินสวินกลับดูสุขุมเยือกเย็นได้ปานนั้น ระหว่างที่ยกมือวาดเท้า ปราณกระบี่เป็นริ้วๆ ก็ปรากฏอบอวล โจมตีการจู่โจมจากทั่วสารทิศให้สลายไปทีละอัน
ปราณกระบี่นั้นคือนัยเร้นลับของคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน
พลังมหามรรคที่ประทับอยู่ในปราณกระบี่เป็นแสดงถึงมรรควิถีทั้งหมดของหลินสวิน!
ปึงๆๆ!
เสียงปะทะเป็นระลอกดังขึ้นไม่ขาดหู ราวกับจอมดาบไร้เทียมทานกับจอมกระบี่เหนือโลกากำลังชิงชัยกัน ภาพตื่นตาเกินธรรมดา
“ดี!
ดวงตาเกาหลิงเทียนยิ่งโชติช่วงดุจอาทิตย์แผดเผา
คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถึงทำให้เขากระตุ้นศักยภาพแฝงภายในตัวได้โดยสมบูรณ์ สามารถเหิมเกริมไม่กลัวเกรง ปลดปล่อยออกมาได้อย่างหมดจดถึงขีดสุด
เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นก็คำรามยาวออกมาครั้งหนึ่งว่า
“ดาบข้าดุจมรรค!”
ก็เห็นว่าเขตแดนมรรคนี้แปรสภาพเป็นนรกดาบไร้ที่สิ้นสุด กระแสดาบห้อทะยาน เผยอานุภาพกำเริบเสิบสานอันแข็งแกร่งเกินต้าน ไร้ศัตรูใดเทียบเทียมได้ พุ่งไปทั่วทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เกาหลิงเทียนในตอนนี้เหมือนบ้าคลั่ง!
คลั่งไคล้ในดาบ ลุ่มหลงในมรรค บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เป็นอย่างข้า
ความสง่างามเช่นนั้นทำเอาหลินสวินยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ไปครู่หนึ่ง ตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณมา ความแน่วแน่ในการเสาะแสวงมรรคดาบของเจ้าหมอนี่ย่อมบ้าคลั่งที่สุด
หลินสวินในตอนนี้ก็ไม่ชะล่าใจ
คิดว่าในตอนนี้ตนจำเป็นต้องเคารพคู่ต่อสู้ที่หาได้ยากคนนี้เสียหน่อย
ดังนั้น…
เขาก็จะใช้ความสามารถที่แท้จริง
วู้ม!
หนึ่งเม็ดทรายดุจหนึ่งโลก รวมตัวจนกลายเป็นประทับแห่งสรรพชีวิต กลิ่นอายเก่าแก่ไร้ที่สิ้นสุดแผ่ขยายไปทั้งนรกดาบครวญในชั่วพริบตา
ก็เห็นว่ากระแสปราณดาบอันขาวโพลนไร้ศัตรูใดเทียบเทียมได้นั้นถูกย้อมด้วยกลิ่นอายดินเหลืองขุ่นมัวหนึ่งชั้น
มีเสียงท่องธรรมอย่างเลื่อมใสดังขึ้นรางๆ
ตูม!
พอประทับสรรพชีวิตตกลงมา ในพื้นที่สิบทิศกระแสปราณกระบี่ไร้สิ้นสุดล้วนฉีกขาดระเบิดกระจุย กระเซ็นกระสายดุจสายฝน!
ตูม!
นรกดาบครวญที่เกาหลิงเทียนมองว่าเป็นรากฐานมรรคกระบี่ของเขา ล้วนสั่นสะเทือนรุนแรงในทันใดไปด้วย
ในขณะเดียวกันเกาหลิงเทียนก็ถูกจู่โจม สีหน้าซีดเผือดไปครู่หนึ่ง เผยสีหน้ายากจะเชื่อ “นี่ถึงเป็นพลังที่แท้จริงของเจ้าหรือ”
ก็ในตอนนี้เอง เขาถึงตระหนักได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนผิดมาตลอด ผิดที่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ยังดูพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออกสักนิด!
“ถือว่าใช่กระมัง”
หลินสวินเอ่ย
ตูม!
พอเสียงพูดเงียบลง ภายใต้การกดข่มของประทับสรรพชีวิต นรกดาบครวญที่ถูกเฒ่าดึกดำบรรพ์มากมายชื่นชมนี้ถูกกระแทกแตกทั้งอย่างนั้นแล้ว
ชั่วพริบตานี้ ปราณดาบเต็มฟ้าแปรสภาพเป็นกระแสบ้าคลั่งยุ่งเหยิง กระจายอยู่บนสังเวียนอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ใช่กระบวนผนึกบรรพกาลบนสังเวียนต้านไว้ ทันทีที่กระจายออกไปจะต้องก่อให้เกิดเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้แน่
“สวรรค์!”
“แตกแล้วหรือ เขตแดนมรรคของเกาหลิงเทียน… ถูกทำลายได้อย่างไร”
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
ผู้แข็งแกร่งที่จับตามองการประลองนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ในขณะนี้ต่างตกตะลึง หลายคนยังผุดลุกขึ้นร้องเสียงหลงดังลั่น
ความจริงแล้วภาพนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าหากติดอยู่ในเขตแดนมรรคอย่างนรกดาบครวญ ใครยังจะหลุดออกมาได้
“นี่…”
เถาซงถิงสีหน้าแข็งขืนไป ไม่อาจสงบใจได้อยู่บ้าง
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาเหนือความคาดหมายเช่นกัน
“จินตู๋อีคนนี้เหนือคาดหมายจริงๆ ทำให้ทุกคนต้องชื่นชม…”
อวี๋ฮูหยินทอดถอนใจ เนตรงามไหวเคลื่อน
หงอวี่รู้สึกแน่วนิ่งในใจ
นี่ก็คือจินตู๋อี บุคคลชั้นยอดที่เคยทำให้พวกเขาเหล่าคนใหญ่คนโตของสำนักยุทธ์เสวียนจีสะท้านสะเทือน ตอนนี้ต่อกรเกาหลิงเทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น จะแพ้ได้อย่างไร
ในขณะนี้สายตาทุกคู่ในที่นั้นแทบจะถูกภาพนี้ดึงดูด จิตวิญญาณสั่นระรัว
ปึง!
ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวลบนสังเวียน เงาร่างเกาหลิงเทียนโซซัดโซเซร่วงลงไปกับพื้น
เขาเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดเผือดเป็นอย่างยิ่ง ริมฝีปากมีรอยเลือดไหลริน เขากลับเหมือนไม่รู้สึกสักนิด สายตาจับจ้องไปยังอีกฝ่าย
ที่นั่นหลินสวินยืนตระหง่าน ไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี เรียบเฉยและสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้
“ข้าแพ้แล้ว… ยอมแพ้จากใจ…”
ครู่สั้นๆ เกาหลิงเทียนจึงเช็ดเลือดที่มุมปาก ถอนหายใจเอ่ยปาก
“มรรคของเจ้า คลั่งไคล้ใหลหลง อหังการเป็นที่สุด ดีมาก”
หลินสวินเอ่ย มรรคดาบของเกาหลิงเทียนทำให้เขาได้รับการชี้แนะอย่างลึกซึ้ง นึกถึงวิชาอริยะยุทธ์ที่ถูกตนเพิกเฉยมาโดยตลอด
วิชาอริยะยุทธ์สูงสุดที่สืบทอดมาจาก ‘ศิษย์พี่’ ผู้นั้นวิชานี้ ถูกเขาโคจรเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ตลอดมา
แต่กลับไม่เคยคิดมาตลอดว่าจะใช้วิชานี้หลอมเข้าไปในเขตแดนมรรคของตนได้หรือไม่!
ชิ้ง!
เกาหลิงเทียนเก็บดาบศึก ประสานหมัดให้หลินสวิน “เจ้าจินตู๋อีเป็นคนแรกที่เอาชนะข้าได้ในเขตแดนมรรค ภายหน้าข้าจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
พูดจบ เขากระโดดทีเดียวก็ลงมาจากสังเวียน เงาร่างอันสูงโปร่งผอมบางดูสง่างามและสันโดษ
ด้านหลินสวินที่อยู่บนสังเวียน กลายเป็นจุดสนใจที่ทั้งที่นั้นจับตามองเพียงจุดเดียว
นี่เป็นชัยชนะครั้งที่สี่ของหลินสวิน แม้ตัวเขาก่อนหน้านี้แสดงความสามารถได้อย่างไม่ธรรมดา แต่กลับได้รับความสนใจไม่เท่าผู้โดดเด่นคนอื่นบนสังเวียน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเอาชนะเกาหลิงเทียนได้ ทำให้เขาเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้ชมการต่อสู้ในที่นั้นทันที
จินตู๋อี!
ผู้เก่งกาจที่ทะลวงผ่านห้วงอากาศดั่งม้ามืด!
แต่เพียงครู่สั้นๆ เสียงร้องตะลึงก็ดังขึ้น…
“เกาหลิงเทียนเขา… ทะลวงขั้นหลังการต่อสู้นี้หรือ!?”
“จริงหรือนี่!”
ครู่สั้นๆ สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายคนต่างตกตะลึงไปแล้ว สายตาที่เดิมรวมอยู่ที่ตัวหลินสวินล้วนมองไปอีกที่หนึ่ง
ก็เห็นว่าเกาหลิงเทียนที่จากมาในตอนแรก จู่ๆ ก็หยุดเดิน นั่งขัดสมาธิกับพื้นประหนึ่งหยั่งรู้ฉับพลัน แสงมรรคอัศจรรย์เป็นชั้นๆ กระจายออกมาทั้งร่าง
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากลิ่นอายทั้งตัวของเขาพุ่งสูงดั่งแม่น้ำหลังฝน!
“จากมกุฎราชันอริยะขั้นปลายกระโดดบรรลุเป็นขั้นสมบูรณ์!”
เถาซงถิงดวงตาเปล่งประกาย ปรากฏแววยกย่อง “เกาหลิงเทียนผู้นี้สมกับเป็นอัจฉริยะมรรคดาบคนหนึ่ง”
“เรื่องนี้พูดได้เพียงว่าจินตู๋อีให้โอกาสเขาได้ทะลวงขั้น”
หงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ
ในใจเถาซงถิงพลันรู้สึกหน่ายใจ เอาแต่พูดถึงจินตู๋อี เจ้าหงอวี่นี่คิดจะขัดคอตนถึงที่สุดจริงๆ หรือ
การบรรลุขั้นของเกาหลิงเทียนทำให้ทั้งที่นั้นสะท้านสะเทือนขึ้นทันที
ในการคัดเลือกถกมรรคจนถึงตอนนี้ นี่เป็นบุคคลแห่งยุคเพียงคนเดียวที่หลังจากสู้แพ้กลับทะลวงขั้นฉับพลันอย่างปาฏิหาริย์
เหล่าผู้ความสามารถโดดเด่นรุ่นเยาว์อย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง จั๋วเฟิ่งอิ่งต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป
พอมาถึงระดับอย่างพวกเขา คิดจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งในการฝึกปราณ ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ เพียงแค่อุตสาหะฝึกฝนไม่อาจทำได้อยู่แล้ว
คิดจะทะลวงขั้น ยังต้องมีวาสนาและการหยั่งรู้ด้วย!
เห็นได้ชัดว่าสำหรับเกาหลิงเทียนแล้ว การประลองกับจินตู๋อีคนนั้นก็คือวาสนาครั้งหนึ่ง ถูกเขาคว้าไว้ได้สำเร็จ ทะลวงขั้นขึ้นไป!
ก็เพราะเช่นนี้ ในใจของพวกฉู่ชิวในขณะนี้ต่างให้ความสำคัญกับหลินสวินอย่างไม่รู้ตัว มองเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเพิกเฉยคนหนึ่งไปแล้ว
“ศึกนี้ ยอดเยี่ยม!”
หลายคนร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
จินตู๋อีที่แข็งแกร่งเกินคาดคนหนึ่ง กับเกาหลิงเทียนที่ชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้วคนหนึ่ง สำแดงการประลองหายากอันพลิกผันไปมา
และผลการต่อสู้เหนือความคาดหมาย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีการคัดเลือกถกมรรควันนี้แน่
“ตอนนี้ลงพนันข้างจินตู๋อียังทันไหม…”
ผู้ชมที่กระหายการพนันอย่างบ้าคลั่งบางส่วนต่างใจเต้นอย่างอดไม่ได้
เพียงแต่ความสนใจของทั้งที่นั้นไม่นานนักก็ถูกการต่อสู้บนสังเวียนอื่นเข้าแทนที่
เพราะหลินสวินเอาชนะเกาหลิงเทียนได้ไม่นาน ฉู่ชิวก็เอาชนะคู่ต่อสู้คนที่สิบได้ กลายเป็นบุคคลแห่งยุคที่ชนะสิบครั้งรวดเป็นคนแรกของการคัดเลือกรอบแรก!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีคุณสมบัติเข้าคัดเลือกรอบที่สองแล้ว!
เช่นนี้แล้ว ความสนใจของทั้งลานต่างก็ย้ายไปอยู่ที่ฉู่ชิว ทั้งที่นั้นสะเทือนเลื่อนลั่นเพราะเขา
“ขอถามผู้อาวุโส ข้าจะยังรับการท้าสู้ต่อได้หรือไม่”
บนสังเวียนฉู่ชิวเอ่ยปาก เสียงกังวานดังไปทั่ว
“ได้”
พวกเถาซงถิงสบตากัน ต่างไม่ปฏิเสธ เพราะในกฎไม่ได้กำหนดว่าหลังจากชนะสิบครั้งรวดไปแล้วก็จะสู้ต่อไม่ได้
“สวรรค์ ฉู่ชิวจะทำอะไร”
“ต้องอยากถือโอกาสนี้ท้าทายขีดจำกัดของตัวเองแน่!”
“แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ โอกาสที่ผู้ฝึกปราณคนอื่นจะได้ชนะสิบครั้งก็น้อยลงแล้ว ถึงอย่างไรก็มีเวลาแค่สามวันนะ…”
ทั้งที่นั้นฮือฮา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่างเว้น
‘ฉู่ชิวนี่ ไม่ยินยอมถูกจินตู๋อีชิงความโดดเด่นไปหรือ…’
แววเย็นชาปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของกู่เจี้ยนสิง
ไม่นานนักเขาก็เอาชนะคู่ต่อสู้คนที่สิบ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนที่สองที่ชนะสิบครั้งรวดได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ไม่ได้รับความสนใจอย่างอึกทึกครึกโครมเท่าฉู่ชิว
นี่ทำให้ในใจเขาออกจะไม่ยินยอม พลันเอ่ยปาก “ผู้อาวุโสทุกท่าน หลังจากชนะสิบครั้งรวดแล้ว จะมีสิทธิ์ไปท้าสู้บนสังเวียนอื่นต่อหรือไม่”
พอพูดแบบนี้ออกไป ทั้งที่นั้นก็เงี่ยหูฟัง ต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ รับรู้ได้ว่ากู่เจี้ยนสิงก็ไม่ยินยอมจะหยุดอยู่ที่ความสำเร็จอย่างชัยชนะสิบครั้งรวด ต้องการจะประกาศศักดาต่อ!
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเอาชนะฉู่ชิว!
คนใหญ่คนโตทั้งเจ็ดอย่างพวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน หงอวี่ที่อยู่บนที่นั่งผู้คุมการทดสอบต่างก็ประหลาดใจไปครู่หนึ่ง หลังจากผ่านการปรึกษากันสั้นๆ ในที่สุดก็ตอบรับ
“ได้!”