Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1907 ฝันยิ่งใหญ่กลายเป็นจริง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1907 ฝันยิ่งใหญ่กลายเป็นจริง
ตอนที่ 1907 ฝันยิ่งใหญ่กลายเป็นจริง
บนลาน สายต่างทั้งที่นั้นต่างรวมอยู่ที่หลินสวิน ลู่ตู๋ปู้ และอู่หวง
นี่ก็คือสามอันดับแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆา!
“ยามเช้าตรู่พรุ่งนี้จะเริ่มการชิงชัยสามอันดับแรก นี่คือลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์สามเม็ด พอกลับไปแล้วพวกเจ้าสามคนหลอมสิ่งนี้ ก็จะทำให้พลังปราณฟื้นคืนสู่สภาพสูงสุดได้ในคืนเดียว”
ก้วนซวียืนขึ้นแล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ลูกกลอนวิญญาณสามเม็ดก็กลายเป็นแสงเคลื่อนตกลงไปในมือหลินสวิน ลู่ตู๋ปู้และอู่หวง
ที่นั่นฮือฮาไปครู่หนึ่ง
คนใหญ่คนโตบางส่วนยังประหลาดใจ ตกตะลึงกับความใจป้ำของก้วนซวี
ลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์ นี่เป็นถึงโอสถลับที่ไม่เปิดเผยของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า ลือกันว่าเพียงแค่วัตถุดิบที่ใช้หลอมลูกกลอนนี้ยังมากมายเป็นพันชนิด แต่ละอย่างเป็นสมบัติจากธรรมชาติซึ่งพบเห็นได้ยาก!
ลูกกลอนเทพเช่นนี้ใช้คำว่าประเมินค่าไม่ได้มาบรรยายได้โดยสมบูรณ์ เพราะหาซื้อในโลกภายนอกไม่ได้ แม้แต่ในสำนักยุทธ์ว่างเปล่า ผู้สืบทอดทั่วไปยังไม่อาจได้รับของกำนัลเช่นนี้
แต่ตอนนี้เพียงเพื่อฟื้นฟูพลังกายให้พวกหลินสวิน ก้วนซวีก็มอบลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์สามเม็ดให้อย่างง่ายดาย จะไม่ให้ทุกคนตกตะลึงได้อย่างไร
ผู้แข็งแกร่งบางคนยิ่งเผยแววตาอิจฉา ชื่อของลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์พวกเขาก็เคยได้ยินมานานแล้ว รู้ดีว่าลูกกลอนนี้ไม่เพียงฟื้นฟูพลังกายได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ยังมีประโยชน์อันน่าเหลือเชื่อต่อพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะ
สุดท้ายทุกคนก็สลายตัวกันหมด
ส่วนข่าวการคัดเลือกถกมรรคที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็กระจายออกจากสำนักยุทธ์ว่างเปล่าในเวลาอันสั้น แพร่กระจายไปถึงในเมืองว่างเปล่า สร้างความอึกทึกครึกโครมมากมาย
โดยเฉพาะข่าวที่ม้ามืดอย่างหลินสวินทะลวงไปถึงสามอันดับแรก ยิ่งดึงดูดเสียงฉงนใจนับไม่ถ้วน
……
ในค่ำคืนนั้น
ในถ้ำสถิต หลินสวินสังเกตลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์ในมือ
ลูกกลอนนี้ใหญ่เท่าไข่นกพิราบ มีสีเขียวทั้งเม็ด พื้นผิวประทับลายมรรคมหัศจรรย์คล้ายไส้เดือน ประกายแสงไหลวน รัศมีเทพหนาแน่น
กลิ่นโอสถเข้มข้นเย็นชื่นใจอบอวล พุ่งตรงถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย
พออ้าปากกลืนเข้าไปในร่าง ลูกกลอนนี้ก็กลายเป็นกระแสร้อนอุ่นวาบหนักแน่นแผ่กระจายออกมาในทันใด
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งร่างทะยานสูง เหมือนต้นไม้ใบหญ้าที่งอกงามในวสันตฤดู ทั้งตัวรู้สึกล่องลอยเหมือนจวนจะบรรลุเซียน
ครืน!
เขาโคจรพลังปราณทันที หลอมเต็มกำลัง
เพียงไม่กี่ชั่วยามหลินสวินก็สัมผัสได้อย่างฉับไว ว่าพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นกลางของตนถึงกับพัฒนาขึ้นมาก ห่างจากขั้นปลายเพียงนิดเดียวเท่านั้น!
ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือการเพิ่มสูงของพลังปราณไม่ได้กระทบกับรากฐาน ทั้งหมดล้วนให้ความรู้สึกอิ่มเอิบหนักแน่นเหมือนน้ำไหลเต็มพื้นที่
‘ของดี’
หลินสวินยังลอบชื่นชมอย่างอดไม่ได้
‘ตอนแรกสำนักยุทธ์ว่างเปล่าเอาเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่าออกมา ทำให้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกได้เก็บพลังต้นกำเนิดวิถียุทธ์ ตอนนี้ยังมอบลูกกลอนศุภโชคต้นพิสุทธิ์ให้ผู้แข็งแกร่งสามอันดับแรกอีก เช่นนี้แล้ว ภายหน้าผู้แข็งแกร่งที่ได้รับความเมตตาเช่นนี้จะไม่จดจำไมตรีของสำนักยุทธ์ว่างเปล่าได้อย่างไร’
‘มิน่าสำนักยุทธ์ว่างเปล่าถึงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆาได้ ความห้าวหาญและวิธีการเช่นนี้ ขุมอำนาจธรรมดาไม่อาจทำได้’
หลินสวินทอดถอนใจแล้วก็ส่ายหัว สลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มสงบจิตอีกครั้ง
……
“จินตู๋อี อู่หวง…”
ในถ้ำสถิตอีกแห่งหนึ่ง ลู่ตู๋ปู้นั่งกับพื้นลวกๆ ท่าทางเรื่อยเฉื่อย
ที่ปลายนิ้วของเขามีแสงมรรคเยียบเย็นดั่งมายา วิวัฒน์เป็นปรากฏการณ์ประหลาดนานาชนิด ทั้งสุริยันจันทราดารา ทั้งภูผาธาราพฤกษา ยังมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกหล้า สรรพชีวิตเปลี่ยนผัน…
ชีวิตดุจห้วงฝัน!
“ถ้าพวกเจ้าคิดว่าพลังที่ข้าสำแดงออกมาในวันนี้คือศักยภาพทั้งหมดของข้า เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว…”
ครู่ใหญ่ลู่ตู๋ปู้ถึงเอ่ยพึมพำ
ในดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสมบูรณ์
……
‘แม้จักระเทพนรกโลหิตจะเผยออกมาก่อนก็ไม่เป็นไร ถ้าหากสร้างความน่าครั่นคร้าม ทำให้พวกเขาระแวดระวังและหวาดกลัวได้ เช่นนั้นก็ยิ่งดี’
ในคืนเดียวกันอู่หวงในชุดดำทั้งตัวนั่งอยู่ในถ้ำสถิต กำลังวางแผนชิงชัยสามอันดับแรกในวันพรุ่งนี้เช่นกัน
ผมดำของเขาสยายออก หมอกสีเทาอบอวลไปทั้งกาย ประหนึ่งจอมมารที่นั่งอยู่กลางความหมองหม่น ยามกะพริบตาวาบประกายเย็นเยียบน่าหวาดหวั่น
‘จินตู๋อี คนผู้นี้เก็บงำล้ำลึก จะต้องมีไม้เด็ดอีกแน่ ลู่ตู๋ปู้ คนผู้นี้ก็ไม่มีทางแบไพ่ตายออกมาจนหมดในวันนี้ ถ้าอยากเอาชนะเขา ดูท่าจะทำได้แค่ใช้วิชาก้นกรุที่แท้จริงเสียแล้ว…’
อู่หวงลูบคาง แววตาลุ่มลึกดุจวารี
……
“อวี่ฮวา เจ้าจะท้อใจไปไม่ได้ แพ้เพราะสมบัติจักรพรรดิชิ้นหนึ่งไม่ได้น่าอาย”
ยามดึกเงียบสงัด อวี๋ฮูหยินปลอบโยนเสียงนุ่มนวลอยู่ในลานบ้าน
เซี่ยอวี่ฮวายิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่ท่านจินตนาการไว้ ข้าเพียงแค่คิดไม่ถึงว่าจินตู๋อีคนนั้นจะทะลวงไปถึงสามอันดับแรกได้ เป็นอย่างที่ท่านพูดไว้ตอนแรกจริงๆ คนผู้นี้จะประเมินสูงเช่นไรก็ไม่เกินไป”
พอพูดถึงหลินสวิน แววประหลาดก็ฉายขึ้นในดวงตาของอวี๋ฮูหยิน เอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่เป็นตัวประหลาดที่เหนือความคาดหมายคนหนึ่งจริงๆ เชื่อว่าหลังจากการคัดเลือกถกมรรคคราวนี้จบลง ชื่อของเขาจะต้องดังไปทั่วฟ้าเหนือแคว้นเมฆาแน่”
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าเขาจะชิงอันดับหนึ่งได้หรือไม่”
เซี่ยอวี่ฮวาถามอย่างสงสัยใคร่รู้
อวี๋ฮูหยินเอ่ยอย่างลังเลว่า “พูดยาก ไม่ว่าจะเป็นลู่ตู๋ปู้หรืออู่หวงคนนั้น ต่างไม่อาจเทียบกับบุคคลแห่งยุคทั่วไปได้ ใครก็ไม่รู้ชัดว่าในมือของสองคนนี้จะยังมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้หรือไม่”
นางหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “แต่ถ้าว่ากันด้วยเรื่องใครเก็บงำล้ำลึกที่สุด ย่อมเป็นจินตู๋อีคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“อวี่ฮวา เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกรอบที่สองหรือการคัดเลือกรอบที่สามซึ่งดำเนินมาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจินตู๋อีคนนี้จะพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งปานไหน ไม่ว่าจะได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่เพียงใด เขาก็เหมือนไม่เคยตื่นเต้นกับเรื่องนี้ สภาวะจิตและอารมณ์สงบนิ่งเกินไป”
เซี่ยอวี่ฮวาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าทันที “เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าถึงกับรู้สึกว่าใจเขาคล้ายไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ ไม่แยแสกับเรื่องใดทั้งนั้น”
อวี๋ฮูหยินเห็นด้วยอย่างยิ่ง เอ่ยทอดถอนใจว่า “บางทีในสายตาเจ้าหนุ่มนี่ การต่อสู้เหล่านี้ไม่ถือว่าอันตรายมากมายกระมัง หรือพูดอีกอย่าง ความมาดมั่นหยิ่งทระนงของเขาฝังลึกในกระดูกไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอวดเบ่งต่อหน้าทุกคน”
ความสงสัยใครรู้ของเซี่ยอวี่ฮวาก่อร่างขึ้นในทันที “ข้ากลับตั้งตาคอยนัก ว่ายามเขาตั้งใจสู้จริงๆ เผยประกายคมออกมา จะมีมาดเช่นไร”
“ข้าเคยผ่านตาแวบหนึ่ง”
อวี๋ฮูหยินนึกขึ้นได้ทันที ตอนคัดเลือกรอบที่สอง จินตู๋อีทะลวงไปถึงชั้นที่เก้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ แซงหน้าลู่ตู๋ปู้และอู่หวง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝ่าด่านได้สำเร็จเป็นคนแรก
ประกายคมที่จินตู๋อีในตอนนั้นเผยออกมา ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตในที่นั้นต่างรู้สึกทึ่ง!
เพียงแต่เสียดายที่ภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นในเจดีย์หลอมมรรคว่างเปล่า ทำให้นางเห็นได้แค่ผิวเผิน ไม่อาจมองทะลุถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในนั้น
คิดถึงตรงนี้อวี๋ฮูหยินก็พูดอย่างมั่นใจว่า “แน่ใจได้ว่าการปรากฏตัวของลู่ตู๋ปู้กับอู่หวง บางทีอาจนำมาซึ่งอานุภาพกร้าวแกร่ง ทำให้จินตู๋อีไม่กล้าออมมืออีก!”
“เช่นนั้นก็ต้องตั้งตารอดูแล้ว”
เนตรดาราของเซี่ยอวี่ฮวาดั่งมายา เปี่ยมไปด้วยแววตั้งตาคอย
……
การวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ในคืนนี้
ที่ทุกคนพูดถึงกันมากที่สุดก็คือสามอันดับแรกของศึกถกมรรค
จินตู๋อี ลู่ตู๋ปู้ อู่หวง!
สามคนนี้ ใครจะชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งไปครองกันแน่
ทุกคนกำลังตั้งตารอ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฟ้ายังไม่สว่าง บนลานเวทีเหนือยอดเขาเซียนยุทธ์ก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนแล้ว
เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างก้วนซวี เหิงเซียว นักพรตหลัน รวมถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างเซี่ยอวี่ฮวา หวังถู ซูมู่หานต่างมากันครบแล้ว
พอเห็นเงาร่างทั้งสามของหลินสวิน ลู่ตู๋ปู้และอู่หวงปรากฏตัว สายตาทุกคู่ในที่นั้นพลันรวมอยู่ที่เดียว
วันนี้การชิงชัยสามอันดับแรกกำลังจะเริ่มขึ้น!
“ไม่เจอคืนเดียว ลู่ตู๋ปู้คล้ายมั่นใจยิ่งกว่าเมื่อก่อนแล้ว บนร่างมีมาดผงาดกร้าวไร้ศัตรู”
มีคนสังเกตเห็นอย่างฉับไวถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในกลิ่นอายของลู่ตู๋ปู้
“อู่หวงก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างที่มองไปรอบๆ สง่างามน่าหวาดหวั่น ดูท่าจะมั่นใจเต็มเปี่ยมในการต่อสู้วันนี้”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในที่นั้น
“มีเพียงจินตู๋อีที่ดูเหมือนเดิม เรียบเฉยสงบนิ่ง ไม่เผยประกายคมสักนิด เจ้าหมอนี่ข่มอารมณ์เก่งจริงๆ”
หลายคนลองหาความแตกต่างบางอย่างในบุคลิกและอิริยาบถของหลินสวิน แต่สุดท้ายกลับผิดหวัง เพราะหลินสวินเหมือนเดิมไม่มีผิด
“วันนี้จะเริ่มการชิงชัยสามอันดับแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆา พวกเจ้าสามคนจะประลองกันเป็นครั้งสุดท้าย”
ก้วนซวีลุกขึ้น เสียงดุจระฆังดังก้องไปรอบทิศ “รอบแรก หลินสวินสู้กับลู่ตู๋ปู้”
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ก้าวขึ้นไปบนสนามประลองด้วยกัน
“จินตู๋อี การต่อสู้วันนี้เป็นการประลองที่เกี่ยวโยงกับอันดับหนึ่ง ข้าจะสำแดงพลังทั้งหมดที่มีออกมา เจ้าต้องระวังด้วย”
แขนเสื้อกว้างของลู่ตู๋ปู้ไหวกระพือ บุคลิกสง่างาม ยามพูดจาเจือยิ้ม สีหน้าผงาดผยองเหนือภูผาธารา ใจกล้าไม่ย่อท้อ
ประโยคเดียวพิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขา ว่าเขาที่ต่อสู้ในการคัดเลือกก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด!
“เช่นนั้นจะดีที่สุด”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ
ลู่ตู๋ปู้ลงมือทันที เงาร่างผอมบางลอยขึ้นกลางอากาศ ละอองแสงแวววาวคล้ายมายาเป็นแถบๆ โฉบพุ่งออกมาทั่วร่าง
เมื่อปลายนิ้วเขากรีดวาดออกมา
วู้ม!
ละอองแสงเต็มฟ้ากลายเป็นเขตแดนมรรคแห่งหนึ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดทั้งปวงอย่างภูผาธาราสุริยันจันทรา ฟ้าเสถียรดินขนาน การเปลี่ยนแปลงบนโลก หมื่นสรรพสิ่งแปรผันต่างอุบัติขึ้นในนั้น
ชีวิตดุจห้วงฝัน!
ผ่านการต่อสู้คัดเลือกมานานจนถึงวันนี้ ต่อให้ออมมือ ฝีมือต่อสู้ของพวกลู่ตู๋ปู้ก็เผยออกมาเกินครึ่งแล้ว
อย่าง ‘ชีวิตดุจห้วงฝัน’ ในตอนนี้ ก่อนหน้านี้ลู่ตู๋ปู้ก็เคยสำแดงมาก่อน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจจะอยู่ที่ชีวิตดุจห้วงฝันในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นอานุภาพหรือลักษณะพลังล้วนแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าแต่ก่อนมาก
หลินสวินยังสะบัดหมัดเปล่าเข้าต่อสู้ดังเดิม เรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ราบเรียบแผ่วจาง
ไม่ทันไรทั้งสองก็ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ภาพอันหายากมากมายเกิดขึ้นบนสนามประลอง ดึงดูดสายตาของทั้งที่นั้นเอาไว้มั่น
“จริงไม่ใช่จริง ฝันไม่ใช่ฝัน สิ่งที่ใจข้าชักนำ คือฝันยิ่งใหญ่กลายเป็นจริง!”
หลังจากประมือกันหลายร้อยครั้ง ลู่ตู๋ปู้เอ่ยเนิบนาบ พร้อมๆ กับที่เขาเปล่งเสียงออกมา กลิ่นอายทั้งร่างเขาก็ดุจดั่งสายธารยาวแม่น้ำใหญ่ เกิดเสียงกึกก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
พริบตานั้นทุกคนเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว ก่อนจะพบอย่างน่าตื่นตะลึงว่ากลิ่นอายของลู่ตู๋ปู้ทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทะลวงกำแพงแห่งระดับมกุฎราชันอริยะ ก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิ!
ที่ตามมาติดๆ ก็คือกระโจนจากระดับกึ่งจักรพรรดิ เหยียบย่างเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ!
มองจากไกลๆ เงาร่างเขาเหมือนภาพมายา ทั้งร่างส่องประกายหมื่นจั้งประหนึ่งระดับจักรพรรดิมาเยือน มีพลานุภาพกร้าวแกร่งเหนือหล้า สยบสรรพชีวิต!
——