Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1937 ความน่ากลัวของข่งเจา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1937 ความน่ากลัวของข่งเจา
ตอนที่ 1937 ความน่ากลัวของข่งเจา
เด็กหนุ่มชุดป่านท่าทางเกียจคร้าน ซุกซนขี้เล่น
เป็นเสวียนจิ่วอิ้นนั่นเอง!
เด็กหนุ่ม ‘เสี่ยวจิ่ว’ ที่เคยโดยสารยานลมกรดเหินข้ามฟ้าดารามาพร้อมกับหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยคนนั้น
“เป็นเจ้า?”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งไป แต่ไม่ถึงขั้นตกใจ
เพราะในข้อมูลที่สืบรู้มาก่อนหน้านี้ทำให้นางรู้ว่า เด็กหนุ่มใบหน้ายิ้มแย้มคนนี้ ยามนี้เป็นอันดับหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นทองแดงแล้ว!
เขามาเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค เดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ฮ่า แม่นางเสวียนเยวี่ยยังจำข้าได้”
เด็กหนุ่มชุดป่านหัวเราะร่วน เห็นได้ชัดว่ากระตือรือร้นยิ่ง “คนนั้นน่ะ ข้าจำได้ว่าเจ้าร่วมเดินทางพร้อมกับพี่อวี่เสวียนไม่ใช่หรือ แล้วเขาเล่า”
กล่าวพลาง สายตาของเขาก็เริ่มมองสำรวจบนร่างพวกหลินสวิน ลู่ตู๋ปู้ อู่หวง
“คุณชายอวี่เสวียนไม่อยู่”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าว
เด็กหนุ่มชุดป่านร้องอ้อคราหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มสนิทมนมสื่อจิตว่า ‘ตอนที่อยู่บนยานลมกรดก่อนหน้านี้ ข้าก็ดูออกแล้วว่าเจ้าอวี่เสวียนนี่เคยปลอมตัวเปลี่ยนโฉมหน้า ตอนนี้ก็น่าจะเปลี่ยนอีกสถานะมาปรากฏตัวอีกแล้วกระมัง หากข้าเดาไม่ผิด จินตู๋อีที่อยู่ทางนั้นใช่เจ้าหมอนั่นหรือไม่’
นัยน์ตาสุกใสของจินเทียนเสวียนเยวี่ยหดรัด
แต่ไม่รอให้นางเอ่ยปาก เด็กหนุ่มชุดป่านก็โบกมือกล่าวว่า ‘ไม่ต้องอธิบาย ในใจข้ารู้ดีก็พอแล้ว จริงสิ เจ้าช่วยข้าไปบอกเขาที ในงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้พวกเราล้วนเป็นพวกเดียวกัน เว้นแต่จะเป็นไปตามกฎจึงต้องต่อสู้แลกเปลี่ยนกัน หาไม่ ระหว่างพวกเราจะฆ่าแกงกันเองไม่ได้เชียว’
กล่าวพลางเขาก็ยิ้มหันไปพยักหน้าให้กับหลินสวินที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วหมุนตัวเดินออกไป
จินเทียนเสวียนเยวี่ยขมวดคิ้วงามมุ่น เจ้าหมอนี่กำลังหยั่งเชิง หรือมองฐานะของคุณชายออกแล้วจริงๆ กันแน่
‘คุณชาย เมื่อครู่…’
จากนั้นนางก็สื่อจิตเล่าคำพูดเด็กหนุ่มชุดป่านเมื่อครู่ให้หลินสวินฟังทั้งหมด
หลินสวินใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า ‘เจ้าเด็กนี่น่าจะไม่ได้มีเจตนาร้าย ไม่ต้องกังวล’
จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้า แล้วสื่อจิตอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ‘คุณชาย พวกเราจะเป็นพันธมิตรกับเจ้าหมอนั่นจริงๆ หรือ’
หลินสวินกล่าวง่ายๆ ‘เคลื่อนไหวตามสถานการณ์ก็พอ’
พร้อมๆ กับเวลาเคลื่อนคล้อย บรรดาผู้แข็งแกร่งที่มาถึงหน้าภูเขาเทพแสงเขียวก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะเป็นสิบอันดับแรกของแคว้นอื่นๆ ในโลกใหญ่หงเหมิงทั้งสิ้น
“ไหนว่าในงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ พวกปีศาจแห่งยุคบางส่วนจากฟ้าดาราโลกอื่นๆ ก็จะมาร่วมด้วย เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่เห็นเลยเล่า”
มีคนงึมงำ
“พวกปีศาจแห่งยุคพวกนี้ล้วนมีผู้อาวุโสข้างกายพามา มาถึงตั้งแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำการคัดเลือกถกมรรคอะไรก็สามารถเข้าร่วมในงานชุมนุมถกมรรคได้แล้ว ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเรา”
มีคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววเหน็บแนม
พวกเขาที่อยู่ในที่นี้ก็ถือว่าเป็นผู้กล้ากลุ่มหนึ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในแต่ละแคว้น ไม่เพียงพื้นเพไม่ธรรมดา ยังเป็นพวกชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน สะดุดตายิ่งยวด
ทว่าก่อนหน้านี้กลับยังต้องผ่านการคัดเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะคว้าคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้มาได้
เมื่อเทียบกันเช่นนี้แล้ว เหล่าปีศาจแห่งยุคที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา ไม่ต้องคัดเลือกก็มีคุณสมบัติระดับนี้ได้ ย่อมทำให้ในใจผู้คนรู้สึกไม่เสมอภาคยิ่ง
“ใช่แค่พวกเขาที่ไหน ผู้สืบทอดของหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ ก็สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้ตรงๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“หากในใจไม่ยินยอม ในงานชุมนุมถกมรรคก็สามารถกำราบพวกเขาทีละคน เช่นนี้จึงจะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ไม่ใช่จะมาพูดจาส่อเสียดส่งๆ อะไรอยู่”
ขณะที่ในที่นี่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย จู่ๆ น้ำเสียงเยียบเย็นประดุจน้ำแข็งสายหนึ่งก็ดังขึ้น…
“ใครไม่ยอม ลุกออกมา!”
ประโยคเดียวทำเอาทั่วลานล้วนหันมองไปยังจุดเดียวกัน
ก็เห็นหน้าประตูภูเขาเก่าแก่แห่งนั้น ไม่รู้ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เอามือไพล่หลังกวาดสายตามองผู้คน
นี่คือชายหนุ่มที่รูปร่างสูงโปร่งยิ่งคนหนึ่ง สวมอาภรณ์สีสันงดงาม บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับเมฆ ช่วงเอวผูกเข็มขัดหยกทองอร่าม บนใบหน้าหล่อเหลาเจือแววเยียบเย็นเหยียดหยันที่ไม่ปกปิดแต่อย่างใด
เขายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว รอบกายมีแสงระเรื่อห้อมล้อม ทอประกายพร่างพราว มีมาดสง่างามสะท้านโลก มีแววเหยียดหยันที่ยากจะกล้ำกราย!
“ข่งเจา”
“ถึงกับเป็นเขา!”
“หรือว่า… เขาคิดจะลงมือก่อนงานชุมนุมถกมรรคจริงๆ”
ในลานมีเสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง บุคคลโดดเด่นจากแคว้นต่างๆ ไม่น้อยล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม กริ่งเกรง และตกใจ
ข่งเจา!
อันดับห้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ดาวดวงหนึ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขาก็คือยอดอัจฉริยะแห่งยุคคนหนึ่งที่ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารา ถูกคนรุ่นเดียวกันไม่รู้เท่าไหร่ชะเง้อแหงนมอง
และเมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ก็ทำให้ผู้คนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที
หลายวันก่อนหน้านี้เคยมีข่าวแพร่ออกมา บอกว่าข่งเจาคุยโว หมายจะทำให้อันดับหนึ่งแต่ละแคว้นก้มหัวกันทุกคนก่อนหน้างานชุมนุมถกมรรค!
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของข่งเจาในเวลานี้ เสมือนกำลังพิสูจน์ข่าวนี้
ชั่วขณะนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เดิมทีมีอยู่ทุกที่ในลาน ถึงกับเปลี่ยนเป็นเงียบกริบไร้สุ้มเสียงขึ้นมา
คนใหญ่คนโตเหล่านั้นที่นำทางผู้แข็งแกร่งแต่ละแคว้นมุ่งหน้ามา แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าประตูภูเขาเรือนมรรคโลกาสวรรค์ ข่งเจานี่ก็กลับปรากฏตัวขึ้นมาก่อนแล้ว
หลินสวินเหลือบมองคนผู้นี้ปราดหนึ่ง สีหน้าเรียบเฉย ในใจกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ตอนที่อยู่บนยานลมกรด ตนฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งไปไม่น้อยจริงๆ ต่อให้หลังมาถึงโลกใหญ่หงเหมิง พวกข่งอวี้ ข่งอิน ชวีเหราก็ถูกตนฆ่าเช่นกัน
แต่ว่าตอนนั้นตนใช้ฐานะของ ‘อวี่เสวียน’ ปรากฏตัว ต่อให้ข่งเจาสงสัยขึ้นมาอีก ก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะสงสัยมาถึงจินตู๋อี
แน่นอน เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่หลินสวินจะเกรงกลัวคนผู้นี้
ควรรู้ว่ายามนี้จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน บรรพชนต้นตระกูลของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งที่ถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’ ยามนี้ยังถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดของเขา ลองคำนวณเวลาดูแล้ว ผ่านไปอีกไม่ถึงหนึ่งปีเกรงว่าจะถูกหลอมจนหมด สังหารไปจนสิ้นจากโลก!
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยพูด ข่งเจาที่ยืนอยู่หน้าประตูภูเขา สีหน้าเห็นได้ชัดว่าเยียบเย็นและเหยียดหยันมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวว่า
“เมื่อครู่มีคนไม่ยินยอมไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าออกมาสู้”
ประโยคเดียวดูถูกผู้กล้าทั่วลาน!
อันดับหนึ่งแต่ละแคว้นบางส่วนต่างเผยแววเย็นเยียบออกมา แต่ไม่รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวใดๆ ก็ถูกคนใหญ่คนโตข้างกายห้ามปรามและเอ่ยเตือน ก่อนงานชุมนุมถกมรรคจะเริ่มต้น ให้พวกเขาอย่าได้กระทำการโดยใช้อารมณ์ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ก่อความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรือนมรรคโลกาสวรรค์ ข่งเจากล้ากร่างที่นี่ แต่คนที่มาจากแคว้นอื่นอย่างพวกเขาเหล่านี้ไม่กล้าทำเช่นนี้หรอก
“แค่พวกคนที่กล้าแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นลับหลัง แต่กลับไม่มีความกล้าลุกออกมาเผชิญหน้า แม้จะเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคก็ไม่ต่างอะไรกับกับการมาตายเปล่า”
ข่งเจาส่ายหน้า ฉายแววผิดหวังออกมา
วันนี้เขายืนอยู่ที่นี่ ก็เพื่อจะให้ทุกแคว้นก้มหัว เดิมทีคิดว่าภายใต้การยั่วยุปลุกปั่นของตน จะมีคนบันดาลโทสะลุกออกมา
ไหนเลยจะคาดคิด ถึงกับไม่มีใครกล้าตอบรับ นี่ไม่ต่างอะไรกับการก้มหัวกันหมด แต่ข่งเจากลับรู้สึกค่อนข้างน่าเบื่อ
“สหายยุทธ์ งานชุมนุมถกมรรคยังไม่ทันเริ่ม มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ออกจะพูดเร็วเกินไปหน่อย”
ในที่สุดก็มีคนอดเอ่ยปากไม่ได้ “อย่างน้อยข้ารู้ว่าบรรดาสหายยุทธ์ในที่นี้หาได้เกรงกลัว หากแต่ไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายก่อนงานชุมนุมถกมรรคจะเริ่ม”
นั่นเป็นชายหนุ่มท่วงท่าองอาจหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง นัยน์ตาดุจสายฟ้า คำพูดคำจายังถือว่าสุภาพเกรงใจ ชวนให้คนไม่น้อยต่างพยักหน้า
“ก่อเรื่องวุ่นวาย? ฮ่าๆ พวกเจ้าก็แค่เกรงกลัวเท่านั้น”
ข่งเจาหัวเราะขึ้นมา วางท่าโอหัง “เอาเช่นนี้แล้วกัน ในหมู่พวกเจ้า หากใครคิดว่ามีความสามารถพอจะโจมตีข้าข่งเจาให้ปราชัยได้ ก็ให้ก้าวมาอวดฝีมือได้เลย ข้ารับรองว่าไม่ว่าจะเป็นเรือนมรรคดึกดำบรรพ์หรือตระกูลข่งของข้า ล้วนจะไม่หาเรื่องพวกเจ้า!”
คำพูดหนักแน่น อหังการเต็มเปี่ยม
นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยใจเต้น สิ่งที่พวกเขาเกรงกลัวก็มีแค่ฐานะของข่งเจาเท่านั้นจริงๆ
“ผู้น้อยเฮ่อเฟยหนิงแห่งแคว้นเยี่ยน อยากอาศัยโอกาสนี้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสหายยุทธ์สักหน่อย”
ชายหนุ่มชุดคลุมหยกคนหนึ่งก้าวออกมา ท่วงท่าเด่นสง่า บุคลิกไม่ธรรมดา
คนมากมายคึกคักตื่นเต้น
เฮ่อเฟยหนิง อันดับสามศึกถกมรรคแคว้นเยี่ยน ปราณมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ราชันอริยะหลอมกายอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยน’!
“ในที่สุดก็มีคนก้าวออกมาโจมตีความจองหองของข่งเจานั่นแล้ว…”
ผู้แข็งแกร่งแต่ละแคว้นไม่มีใครไม่ตั้งตาคอย ชั่วขณะนี้เฮ่อเฟยหนิงได้กลายเป็นบุคคลที่ได้รับการจับจ้องมากที่สุดในลานโดยฉับพลัน
หลินสวินเองก็เผยสีหน้าสนใจออกมาเช่นกัน
คนหนึ่งเป็นอันดับห้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ อีกคนเป็นอันดับสามศึกถกมรรคแคว้นเยี่ยน การต่อสู้เช่นนี้ยามปกติทั่วไปไม่มีให้เห็น
“สามกระบวนท่า”
ข่งเจามองสำรวจเฮ่อเฟยหนิงปราดหนึ่งแล้วยื่นสามนิ้วออกมา “หากสามกระบวนท่าไม่อาจกำราบเจ้าได้ ข้าข่งเจาจะจากไปทันที ถอนตัวออกจากงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้”
เฮือก!
เสียงสูดหายใจระลอกหนึ่งดังขึ้น ข่งเจานี่… ออกจะมั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว!
และสำหรับเฮ่อเฟยหนิงแล้ว คำพูดนี้ของข่งเจาก็เหมือนความอัปยศครั้งใหญ่อย่างหนึ่งชัดๆ ทำให้สีหน้าเขามืดทะมึน
สามกระบวนท่าก็คิดจะเอาชนะตน?
อวดดี!
และในเวลานี้เอง ข่งเจาบุกโจมตีอุกอาจ เงาร่างหายลับจากจุดเดิมทันควัน ในสายตาของผู้คนเห็นเพียงรุ้งวิเศษห้าสีที่พร่างพราวสายหนึ่งแล่นผ่านห้วงอากาศแวบหนึ่งเท่านั้น
ครู่ต่อมาตัวเขามาหยุดตรงหน้าเฮ่อเฟยหนิงแล้ว ฝ่ามือหนึ่งกดออกไป “กระบวนท่าแรก!”
ตูม!
พร้อมๆ กับหนึ่งฝ่ามือของเขาที่กดออกไป แสงมรรคห้าสีควบรวมเป็นประทับเทพบาดตาอันหนึ่ง แผดเสียงสนั่นประหนึ่งสะท้านฟ้าออกมา
เฮ่อเฟยหนิงนัยน์ตาหดรัด เข้าต้านเต็มกำลัง
ทว่าครู่ต่อมาทั้งตัวเขาก็ลอยคว้างออกไป หล่นตุ้บตรงห้วงอากาศห่างออกไปหลายสิบจั้ง ริมฝีปากกระอักเลือด ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเขาชนกระแทกจนพังถล่ม ผืนดินกว้างแตกเป็นเสี่ยง
คนมากมายหน้าเปลี่ยนสี
บุคคลโดดเด่นเหมือนอย่างพวกเขา แต่ละคนล้วนผ่านศึกมานับร้อย ดวงตาเฉียบคม ปราดเดียวก็ดูออกว่าเฮ่อเฟยหนิงหาใช่ถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว หากแต่ถูกซัดซึ่งๆ หน้าภายใต้สถานการณ์ที่มีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว!
ดูถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็คาดเดาได้อย่างหนึ่ง ‘หากเป็นการโรมรันฆ่าฟันฆ่ากันจริงๆ เฮ่อเฟยหนิงนี่เกรงว่าคงต้านไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ…’
คล้ายกับพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของหลินสวิน
กระบวนท่าที่สอง เฮ่อเฟยหนิงใช้พลังต้านทานเต็มกำลัง แต่ก็ยังคงถูกซัดสะเทือน ทั้งตัวล้วนถูกโจมตีจนกระแทกพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายบิดเกร็ง
ไร้เรี่ยวแรงปัดป้องอย่างสิ้นเชิง!
กระบวนท่าที่สาม เท้าข้างหนึ่งของข่งเจาเหยียบบนศีรษะของเฮ่อเฟยหนิง
ถึงตอนนี้ทั่วลานเงียบกริบ
แม้แต่อันดับหนึ่งในศึกถกมรรคแต่ละแคว้นสีหน้ายังเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ ในใจไม่อาจสงบได้ ประหนึ่งแม่น้ำม้วนตลบมหาสมุทรพลิกคว่ำ
เฮ่อเฟยหนิง อันดับสามแห่งแคว้น แข็งแกร่งปานใด
ทว่าในการต่อสู้กับข่งเจากลับถูกบดขยี้อย่างสิ้นเชิง!
ไม่ต้องสงสัยสักนิด หากข่งเจาต้องการ เพียงแค่ออกแรงที่ปลายเท้าก็สามารถปลิดชีพเฮ่อเฟยหนิงทิ้งได้แล้ว
ยามนี้มองดูข่งเจาที่เหยียบหัวของเฮ่อเฟยหนิง เงาร่างองอาจผึ่งผายประหนึ่งทวยเทพ ทุกคนถึงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าอันดับห้าของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์นั้นสำคัญปานใด!
“นี่น่ะหรืออันดับสามของแคว้น ช่างอ่อนแอซะจริงเชียว… คราวหน้าคนแบบนี้ก็อย่าเลือกมาอีก เลี่ยงไม่ให้อับอายขายขี้หน้า”
น้ำเสียงเฉยเมยและเหยียดหยันของข่งเจาดังก้องขึ้นในบรรยากาศที่เงียบสงัดแห่งนี้ เหมือนมีดคมกริบเล่มหนึ่งกรีดลึกลงไปในจิตใจของทุกคน
…………….