Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1949 บังแดดกันฝนให้เจ้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1949 บังแดดกันฝนให้เจ้า
ตอนที่ 1949 บังแดดกันฝนให้เจ้า
“ได้! ข้าจะรวมกำลังของเรือนมรรคจักรวาลของข้า”
ถูเชียนเจวี๋ยตอบรับโดยไม่ลังเลสักนิด ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลที่เข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้มีสามสิบกว่าคน
แปดคนที่ถูกคัดออกเพราะหลินสวิน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งกลุ่มเท่านั้น
“แม่นางอวี่โหรว เจ้าล่ะ”
สายตาจู่เฟยอวี่มองไปที่เยียนอวี่โหรว
“การร่วมมือกันของพวกเราเป็นเพียงการตัดสินใจส่วนบุคคล ข้าไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นในสำนักเพราะเรื่องของพวกเราอีก”
เยียนอวี่โหรวเอ่ยเสียงเบา “แต่ว่า ถ้าจะไปต่อกรจินตู๋อีจริงๆ ข้าก็จะเข้าร่วมแน่นอน”
จู่เฟยอวี่อึ้งไป ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ให้ข้ากับพี่ถูช่วยกันรวมกำลังพลมาก็พอ”
จากนั้นทั้งสามคนก็ออกเคลื่อนไหว
ที่โลกภายนอก พอเห็นหลินสวินทลายการล้อมโจมตีของจู่เฟยอวี่ ถูเชียนเจวี๋ยและเยียนอวี่โหรวอย่างราบคาบ เหล่าระดับจักรพรรดิก็ประหลาดใจอีกระลอก
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่าปีศาจชั้นยอดสามคนที่อยู่สิบอันดับแรกบนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ร่วมมือกัน หลินสวินต้องยากจะรอดแน่ๆ
ใครจะคิดว่าความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาจะทำให้พวกเขาเหนือความคาดหมายอีกครั้ง!
“เจ้าหมอนี่ แข็งแกร่งเหนือคาดจริงๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ก็ไปเทียบกับพวกหลิงหงจวง หวงฝู่เซ่าหนง หมีอู๋หยาได้แล้ว”
ไท่ซูหงเจ้าสำนักเรือนมรรคโลกาสวรรค์เอ่ยปากอย่างตกตะลึง
คำพูดนี้ออกมาจากปากเจ้าสำนักเรือนมรรคที่มีชื่อสะท้านทั่วหล้า เป็นการประเมินที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
“พี่ไท่ซู คนที่ข้าถือหางจะไปเทียบกับคนพื้นๆ ได้อย่างไร”
ซย่าสิงเลี่ยยิ้มดื่มสุราจอกหนึ่ง
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแห่งเรือนมรรคจักรวาล จักรพรรดิมารผลาญนภาแห่งเรือนมรรคเหล่ามารต่างปรากฏแววอึมครึมที่หว่างคิ้ว ความจริงแล้วในใจพวกเขาก็ตกตะลึงนัก คิดไม่ถึงว่าภายใต้การปิดล้อม หลินสวินกลับหลุดรอดออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้
“ตอนนี้ ศักยภาพของเจ้าหนุ่มนี่ปะทุออกมาแล้ว ต่อไปเกรงว่าจะกลายเป็นศัตรูที่อยู่ในสายตาทุกคน”
จักรพรรดิมารผลาญนภาเอ่ยอย่างเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น ในแดนลับโลกาสวรรค์แห่งนั้น เจ้านี่เหมือนไม่มีพวกพ้องที่เป็นพันธมิตรเท่าไร หัวเดียวกระเทียมลีบ ยากนักที่จะไปสุดทาง”
ซย่าสิงเลี่ยหัวเราะหยันออกมา “ข้าคนเดียวก็ค้ำยันตำหนักมหามรรคเก้าฟ้าไว้ได้ เหตุใดเจ้าหนุ่มนี่จะยืนหยัดจนสุดทางด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ พวกเจ้านี่นะ พอใจมีอคติแล้ว ถ้อยคำที่พูดออกมาล้วนเปลี่ยนเป็นน่าขันทั้งหมด”
พูดถึงตรงนี้เขาก็คร้านจะโต้เถียงอีก ความเป็นจริงได้ผลยิ่งกว่าถกเถียงกันเสมอ
เขาตั้งตาคอยการแสดงความสามารถของหลินสวินในภายหน้า
“ดี!”
ทันใดนั้นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็ตาเป็นประกาย ชี้ไปที่แห่งหนึ่งในแดนลับโลกาสวรรค์ “ทุกท่านดูสิ เอาชนะบุคคลชั้นยอดในรุ่นเดียวกันเก้าคนได้ในการต่อสู้เดียว หวงฝู่เซ่าหนงจากเรือนมรรคจักรวาลของข้ามีความสามารถเป็นอย่างไร”
ที่นั่นเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง เพิ่งผ่านการห้ำหั่นดุเดือดมาครั้งหนึ่ง สุดท้ายมีเพียงหวงฝู่เซ่าหนงที่ยืนอยู่คนเดียว องอาจเกรียงไกร สูงใหญ่ดุจเทพ
เหล่าจักรพรรดิต่างพยักหน้าไม่หยุด
ความแข็งแกร่งของหวงฝู่เซ่าหนงไร้ข้อกังขามานานแล้ว
“แปลก เจ้าหมีอู๋หยานี่ ตั้งแต่เริ่มก็ยังไม่เคยเห็นโผล่มา ตอนนี้เข้าแดนลับโลกาสวรรค์มาหลายวันแล้ว เขากลับซุ่มซ่อนอยู่ในถ้ำใต้ดินมาตลอด นี่เขาจะทำอะไร”
และมีคนนิ่วหน้าเอ่ยปาก
หมีอู๋หยา!
ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคยุทธจักร อันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ บุคคลในตำนานผู้เฉิดฉายในฟ้าดาราคนหนึ่ง
แต่ในงานชุมนุมถกมรรคคราวนี้ เขากลับเก็บตัวเงียบเชียบหาใดเทียบ โดยเฉพาะหลังจากเข้าไปในแดนลับโลกาสวรรค์แล้วก็ซ่อนตัวมาตลอด ไม่มีความคิดจะลงมือแต่อย่างใด
นี่ย่อมทำให้ผู้อื่นแปลกใจ
“ในความคิดข้า เจ้าหนุ่มนี่คล้ายมังกรเร้นตัวในหุบเหวลึก ซ่อนคมเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เกรงว่าสำหรับเขาแล้ว การช่วงชิงยันต์ชีวิตจะไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูดอยู่แล้ว”
มีคนครุ่นคิด
“ได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนี่กดข่มระดับของตัวเองมาสามร้อยปีแล้ว มีศักยภาพแฝงน่ากลัวที่สามารถบรรลุระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้ว เขาถูกมองว่าไร้ศัตรูในระดับมกุฎราชันอริยะแล้วจริงๆ ช่วงหลายร้อยปีมานี้ไม่ได้ลงมือกับคนรุ่นเดียวกันคนไหนอีกแล้ว”
“เฮอะ นี่รังเกียจที่จะสู้กับคนรุ่นเดียวกันแล้วหรือ”
เหล่าจักรพรรดิสนทนากัน หมีอู๋หยาเป็นบุคคลในตำนานที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเมินได้คนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ตอนนี้ยังเป็นแค่มกุฎราชันอริยะ
แต่ด้วยรากฐานพลังกับชื่อเสียงที่เขามีตอนนี้ มรรคาในภายหน้าย่อมไม่อาจจำกัด!
……
ภายในแดนลับโลกาสวรรค์
หลังทลายการล้อมโจมตีและจากมาอย่างผ่าเผยแล้ว หลินสวินกลับไม่ดีใจแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงถูกคนอื่นลอบโจมตี และถูกคัดออกอย่างน่าสังเวชไปต่อหน้าต่อตาเขา เรื่องนี้ทำให้ในใจเขามีไฟโทสะที่ไม่อาจบรรยายได้
‘บัญชีนี้ พวกเรามาค่อยมาคิดทีหลัง’
หลินสวินพูดประโยคนี้ซ้ำในใจ
ก่อนหน้านี้ถ้าทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู้ เขามั่นใจว่าจะกำราบพวกถูเชียนเจวี๋ย จู่เฟยอวี่และเยียนอวี่โหรวได้เช่นกัน แต่สถานการณ์ตอนนั้นทำให้เขาสู้แบบนี้ไม่ได้สักนิด
สาเหตุง่ายดายนัก การใช้กระบวนค่ายกลใหญ่ขังพวกถูเชียนเจวี๋ยไว้ก่อนหน้านี้ดึงดูดความสนใจของคนไม่รู้เท่าไรไปนานแล้ว
ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นนกปากซ่อมสู้กับหอยกาบ ชาวประมงได้ประโยชน์ไปอีก
หืม?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด แววเย็นชาฉายวาบในดวงตาหลินสวิน ในจิตรับรู้ของเขา ใกล้ๆ นี้มีผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งลอบตามมา
ชายสองหญิงหนึ่ง
หลินสวินระบุได้จากการแต่งกายของอีกฝ่าย ว่าพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งจากเผ่านักรบผีสวรรค์ หนึ่งในสิบเผ่านักรบใหญ่
“ตีชิงตามไฟหรือ”
หลินสวินหยุดเดิน เปิดโปงร่องรอยของอีกฝ่าย
“สหายยุทธ์จิน เคลื่อนไหวคนเดียวอันตรายเกินไป ไม่สู้มาร่วมมือกับพวกเราเป็นอย่างไร”
ชายสองหญิงหนึ่งกลุ่มนั้นมองตากันแล้วเดินออกมาจากความมืด ชายชุดดำที่เป็นผู้นำเอ่ยถามเสียงนุ่ม
เห็นชัดว่าพวกเขาจำฐานะหลินสวินได้
หลินสวินเอ่ย “ขอโทษที ไม่มีอารมณ์”
ชายชุดดำยิ้มแล้วพูดว่า “พี่จิน เจ้าไม่คิดดูอีกหน่อยจริงๆ หรือ”
ในเสียงเจือแววข่มขู่อันคลุมเครือ
หลินสวินอึ้งไป เหลือบมองทั้งสามคนคราหนึ่ง พอจะตัดสินได้แล้วว่าสามคนนี้ไม่รู้เรื่องการต่อสู้ของตนกับพวกถูเชียนเจวี๋ยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
หาไม่แล้วเกรงว่าจะไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับตนสักนิด
หลินสวินส่ายหัว ไม่สนใจอีก แล้วขยับตัวก้าวไปเบื้องหน้า
เขาไม่อยากเสียเวลาแล้ว ต้องรีบหาจินเทียนเสวียนเยวี่ยให้เจอ จากนั้นก็เริ่มเตรียมการแก้แค้นให้เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิง
“แค่อันดับหนึ่งของศึกถกมรรแคว้นเมฆาต๊อกต๋อยคนหนึ่ง เหล้าคารวะไม่กินจะกินเหล้าลงทัณฑ์!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดเงินอีกคนหนึ่งหัวเราะหยัน พลันกระโดดออกมาแล้วตวัดดาบฟัน
ฉัวะ!
ปราณดาบส่องสว่างประหนึ่งสายฟ้าเฉียบคมหลายพันจั้ง เผยให้เห็นกลิ่นอายทำลายล้างอันดุดันน่าสะพรึง มีนัยน์เร้นลับลายสัญลักษณ์เก่าแก่พวยพุ่งอยู่ในนั้น
ชายชุดดำหนังตากระตุก กำลังจะไปขัดขวางก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
ก็เห็นว่าหลินสวินไม่แม้แต่หันหน้า ข้างหลังกลับมีปราณกระบี่เจิดจ้าพุ่งออกมา
ฟุ่บ!
ปราณดาบที่สะพรึงดุจสายฟ้าแหลกกระจุย ส่วนชายชุดเงินกลับถูกปราณกระบี่เป็ฯสายๆ ฟันตัว ผิวหนังปริแตก เลือดสดๆ สาดกระเซ็น
ยังไม่ทันได้โหยหวนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลับโลกาสวรรค์
แต่เงาร่างของหลินสวินหายลับไปนานแล้ว ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้หันมามองสักครั้ง ถึงขั้นไม่เก็บยันต์ชีวิตที่ตกลงมาด้วย!
ชายชุดดำกับหญิงสาวที่อยู่ข้างกันล้วนสูดหายใจสะท้าน ศีรษะชาหนึบ ในใจตกตะลึง เพิ่งตระหนักได้ว่าเตะใส่แผ่นเหล็กผืนโตแล้ว
เดินหน้าไปอีกไม่นาน หลินสวินก็นิ่วหน้าอีกครั้ง
ในจิตรับรู้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสายหนึ่งอีกครั้ง กำลังพุ่งมาจากทางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ครู่ต่อมาหลินสวินก็ชะงักไป
ก็เห็นว่าในห้วงอากาศไกลลิบมีเงาร่างอรชรร่างหนึ่งทะยานมา งดงามดั่งเซียน สง่างามดุจเทพ
เพียงแต่ชุดสีขาวสะอาดดุจหิมะของนางกลับเปื้อนคราบเลือดสีแดงสดเป็นจุดๆ บาดตา ใบหน้างามก็ซีดขาวเล็กน้อย กลิ่นอายบนร่างมีเค้าลางปั่นป่วนอยู่กลายๆ
“เสวียนเยวี่ยหรือ”
หลินสวินนัยน์ตาเบิกกว้าง ทำไม… นางถึงกลายเป็นแบบนี้แล้ว
“คุณชาย!”
เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของหลินสวิน แววยินดีก็ปรากฏขึ้นในดวงตากระจ่างของจินเทียนเสวียนเยวี่ย นางเอ่ยถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ยังดีที่คุณชายเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง ไม่ได้เกิดเรื่อง”
“อย่าเพิ่งสนข้า ทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ”
หลินสวินเข้าไปหาก่อนแล้ว ประเมินจินเทียนเสวียนเยวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า จิตใจสั่นไหว
จินเทียนเสวียนเยวี่ยในตอนนี้ร่างกายมีทั้งแผลกระบี่ แผลดาบ รอยหมัด รอยกรงเล็บ… บางจุดแผลเหวอะหวะเห็นกระดูกอยู่รำไร!
ภาพบาดแผลเต็มตัวเช่นนั้นช่างน่าตกตะลึงนัก!
แววตาปวดใจและเป็นห่วงเป็นใยของหลินสวิน ทำให้ความอบอุ่นผุดขึ้นในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นระลอก
พอสงบใจลงนางถึงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินข่าวว่าคุณชายกำลังถูกพวกถูเชียนเจวี๋ยจากเรือนมรรคจักรวาลไล่ฆ่า จึงรีบรุดหน้ามาทันที ใครจะคิดว่าระหว่างทางกลับถูกลอบโจมตี ถูกปิดล้อมระหว่างทาง…”
พูดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ระบายขึ้นบนใบหน้าซีดขาวงามล้ำของนาง เงยมองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ยังดีที่พวกเขารั้งข้าไว้ไม่ได้ ตอนนี้ยังได้เห็นคุณชายปลอดภัย ข้าก็วางใจได้โดยสมบูรณ์แล้ว”
เสียงนุ่มนวลรื่นเริง ความรู้สึกปรีดาเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินสวินมองดูจินเทียนเสวียนเยวี่ยซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง จิตใจสั่นระรัว
นาง…
บาดเจ็บหนักเช่นนี้กลับคิดถึงแต่มาช่วยตน!
พอเห็นว่าตนปลอดภัยนางก็ยินดีปรีดาเช่นนั้น ไม่รับรู้เลยว่าบาดแผลบนร่างตัวเองสาหัสปานไหน!
ชั่วขณะหนึ่งในใจหลินสวินก็รู้สึกละอายอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นบนยานลมกรด จินเทียนเสวียนเยวี่ยมาติดตามข้างกายเขา เดิมเย่อหยิ่งจองหอง ตัวนางที่ถูกเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลจินเทียนประคบประหงมราวไข่ในหิน กลับเริ่มทำตัวเป็นผู้ติดตามอย่างมีน้ำอดน้ำทน ไม่ปริปากบ่นหรือโกรธแค้น…
ตลอดทางนางเชื่อฟังตนเสมอ ต้มชาให้ตน ดูแลเรื่องกินอยู่ของตน ช่วยตนแบ่งเบาภาระ ช่วยตน…
นางเป็นถึงลูกหลานจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์!
เป็นแก้วตาดวงใจที่จักรพรรดิกระบี่วายุประคบประหงมหาใดเทียบ!
ทุ่มเทให้ตนมากขนาดนี้ แต่ตนกลับเหมือนไม่เคยสนใจนัก…
หลินสวินอึ้งอยู่ตรงนั้น จิตใจปั่นป่วนเป็นธาราสมุทรพลิกคว่ำ ภาพในอดีตมากมายปรากฏในสมอง ทำให้ยามเขาเห็นรอยยิ้มปรีดาของจินเทียนเสวียนเยวี่ยนั้น เพียงรู้สึกจุกในใจไปครู่หนึ่ง
“คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยถามอย่างอดไม่ได้ นางรู้สึกว่าหลินสวินในวันนี้ออกจะผิดปกติ ในแววตาที่จ้องตนเขม็งนั้นมีคลื่นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนมากมายไหววูบ
“ไม่มีอะไร”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความรู้สึกถาโถมในใจไว้ มือทั้งสองกดลงบนไหล่ของจินเทียนเสวียนเยวี่ย เอ่ยว่า “เสวียนเยวี่ย จากนี้ไปเจ้าก็รักษาแผลอย่างไร้กังวลเสีย ข้าจะบังลมกันฝนให้เจ้าเอง”
พูดชัดถ้อยชัดคำ เจือน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ขัดขืน
——