Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1966 คำว่าไสหัวไปของศิษย์พี่สาม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1966 คำว่าไสหัวไปของศิษย์พี่สาม
ตอนที่ 1966 คำว่าไสหัวไปของศิษย์พี่สาม
ชั่วขณะเดียวสายตานับไม่ถ้วนรวมตัวอยู่ที่หลินสวิน บรรยากาศกดดัน
ความแม่นยำในการคาดเดาของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ทำเอาหลินสวินอุทานในใจไม่หยุด
แต่นี่ก็เป็นเพียงความสงสัยอยู่ดี ไม่มีหลักฐานยืนยัน
ทว่าตอนที่หลินสวินกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เพียงเพราะจินตู๋อีได้อันดับหนึ่งก็ถูกสงสัยและกดข่มมากมายเช่นนี้ ผู้อาวุโสท่านนี้ ท่านไม่รู้สึกว่าเกินไปหน่อยหรือ”
เสียงเนือยๆ เจือความกังขาและถากถาง ดูไม่เคารพนัก
ขวับ!
สายตามากมายมองไป ก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดผ้าป่าน ใบหน้าหล่อเหลา ยืนเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น
สีหน้าทุกคนต่างตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าเผชิญหน้ากับบุคคลสูงส่งอย่างจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง เขาจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้
หลินสวินก็อึ้งไป เพราะจำได้ว่าเด็กหนุ่มชุดป่านนั้นก็คือเสวียนจิ่วอิ้น!
ทว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้ชอบดูเรื่องสนุกเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เข้ามาร่วมในคลื่นลมที่เกี่ยวข้องกับตนนี้
นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจ
“เกินไปหรือ เจ้าตัวจ้อยอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตำหนิว่าข้าทำเกินไป”
ในใจจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงโกรธนัก ถูกหลินสวินเถียงก็ทำให้นางไม่ชอบใจแล้ว ตอนนี้กลับกระโดดออกมาอีกคน ท่าทีถึงขั้นเหิมเกริมยิ่งกว่า เรื่องนี้ทำให้นางอับอายอยู่บ้าง
นางเป็นถึงระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
คนรุ่นหลังบางส่วนกลับกล้ามาท้าทายบารมีนางหรือ
ถ้าไม่ติดที่โอกาสไม่เหมาะ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงคงลงมือไปนานแล้ว!
แต่กลับเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดป่านเสวียนจิ่วอิ้นไม่เพียงไม่ถอยหนี กลับเท้าเอวเงยหน้าพูดเสียงดังว่า
“น่าขัน ตำหนิยายแก่อย่างเจ้าคนหนึ่งยังต้องมีสิทธิ์บ้าบออะไร ข้าแค่พูดว่าเจ้าทำเกินไปแล้ว ถ้าแน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าตอนนี้เลย ดูซิว่าข้าจะนิ่วหน้าไหม!”
คำพูดเดียวทำให้ผู้คนไม่รู้เท่าไรหน้าเปลี่ยนสี สูดหายใจสะท้านไม่หยุด นี่เป็นเพียงการไม่เคารพเสียที่ไหน เป็นการชี้หน้าด่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไปแล้ว!
‘เจ้าหมอนี่ทุ่มมากไปแล้วกระมัง…’
หลินสวินยังอึ้งไป แววตาที่มองดูเด็กหนุ่มชุดป่านไม่เหมือนเดิมแล้ว
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงโกรธจนหน้าคล้ำเขียว พายุมหามรรคน่ากลัวไหววูบในดวงตา ทำให้ฟ้าดินแห่งนั้นหวีดร้อง อานุภาพกดข่มน่าครั่นคร้ามอบอวลไปทั้งที่นั้น
ไท่ซูหงก้าวออกมาก้าวหนึ่งอย่างไม่ทิ้งร่องรอย โคจรพลังสลายอานุภาพจักรพรรดินี้ แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “สหายมรรค เจ้าหนุ่มนี่แซ่เสวียน”
เสวียน!
เพียงแค่แซ่หนึ่งเท่านั้น!
ขณะนี้กลับเหมือนน้ำเย็นราดรดหัวจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ชะไฟโทสะในใจนางให้สลายไป ทำให้นางสงบลง
เพียงแต่สายตาที่นางมองเสวียนจิ่วอิ้นก็ยังไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม “เจ้าหนู ตระกูลเบื้องหลังเจ้าปกป้องเจ้าได้ก็จริง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมีสิทธิ์ท้าทายระดับจักรพรรดิ ตอนนี้เจ้ายืนอยู่นิ่งๆ เสีย”
ขณะที่พูดนางก็ชี้ออกไปกลางอากาศ
เสวียนจิ่วอิ้นเหมือนถูกผนึก จะพูดยังพูดไม่ออก พลันโกรธจนอยากจะพ่นไฟโทสะออกมาตรงๆ แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรล้วนทำไม่ได้แม้แต่ดีดนิ้ว
นี่ก็คือระดับจักรพรรดิ!
แม้แต่คนที่มีชาติกำเนิดอย่างเสวียนจิ่วอิ้น ยังไม่มีพลังไปสั่นคลอนเจตจำนงของระดับจักรพรรดิได้สักนิด
“ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
สายตาของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงมองไปที่หลินสวิน สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา “วันนี้ไม่ว่าใครมา ก็ไม่มีทางขัดขวางความตั้งใจของข้าที่จะเปิดเผยตัวตน ฉีกหน้ากากเจ้าได้”
ระดับจักรพรรดิหลายคนสีหน้าต่างกันไป
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงสันนิษฐานว่าหลินสวินเป็นเศษเดนของคีรีดวงกมล นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจได้อยู่บ้าง ดังนั้นไม่ว่าใครล้วนไม่ขัดขวาง ต่างอยากเห็นว่าสิ่งที่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงพูดจะเป็นจริงหรือไม่
“สหายยุทธ์ ควรหยุดก็หยุดเถิด”
ไท่ซูหงนิ่วหน้าเอ่ย
“วางใจได้ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่เศษเดนของคีรีดวงกมล ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายเขาแม้แต่ปลายก้อย”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอ่ยเสียงเรียบ
นางดูมั่นใจหาใดเทียบ
นี่ทำให้ในใจซย่าสิงเลี่ยไม่สงบไปครู่หนึ่ง สงสัยว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่ เหตุใดถึงกล้ายืนยันหนักแน่นว่าฐานะของหลินสวินมีปัญหาเช่นนี้
หรือว่า…
นางจะไปสืบรู้ข่าวอะไรมาก่อนแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้ก็อันตรายถึงที่สุดแล้ว!
“เจ้าจะทำอะไร”
ซย่าสิงเลี่ยพูดอย่างอดไม่ได้
“ง่ายมาก ค้นตัว”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอ่ย “เจ้านี่ต้องพกสมบัติไว้กับตัวไม่น้อยแน่ ขอเพียงเขาเอาออกมาให้ตรวจสอบทีละชิ้นก็ได้แล้ว”
ซย่าสิงเลี่ยถามอีก “ถ้าค้นตัวแล้วยังไม่อาจพิสูจน์ได้ล่ะ”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงคล้ายเตรียมไว้ก่อนแล้ว เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ใช้จิตรับรู้ตรวจสอบร่างกายและจิตวิญญาณของเขา ร่างกายเปลี่ยนได้ แต่ความทรงจำกับประสบการณ์ของคนผู้หนึ่ง อย่างไรก็ปลอมไม่ได้”
เฮือก!
หลายคนสูดหายใจเย็น รับรู้ได้ว่าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกัดหลินสวินไม่ปล่อยแล้วจริงๆ ท่าทางถ้าสืบหาความจริงออกมาไม่ได้ก็จะไม่ยอมเลิกรา!
ซย่าสิงเลี่ยสีหน้าเคร่งเครียด “เกินไปแล้ว! ถ้าจินตู๋อีเป็นผู้สืบทอดของหกเรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ เจ้าจะกล้าใช้วิธีล้ำเส้นเช่นนี้ไหม”
ไม่ว่าจะเป็นค้นตัวหรือค้นจิตวิญญาณ สำหรับผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็ล้วนเป็นการล่วงเกินและล้ำเส้นต่อศักดิ์ศรีของเขาอย่างหยาบคายถึงที่สุด!
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นหลายคนก็ไม่สบายใจ แต่กลับติดที่อำนาจของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จึงได้แต่โกรธไม่กล้าพูดจา
ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ไอสังหารที่ไม่อาจกดข่มได้ไหวเคลื่อนอยู่ในใจ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเหตุผลใด เพียงแค่ถูกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเพ่งเล็งเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกโกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ค้นตัว!
ค้นจิตวิญญาณ!
เพื่อต่อกรกับตน ยายแก่นี่ไม่เลือกวิธีแล้วจริงๆ!
“ซย่าสิงเลี่ย เจ้าพูดถูกแล้ว ก็เพราะข้าสงสัยฐานะเขาถึงได้ทำแบบนี้ ถ้าเขามีฐานะที่ไม่อาจทำให้ผู้อื่นกังขาได้ ข้าจะไปมากความกับคนรุ่นหลังทำไม”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเอ่ยเสียงเรียบ
ขณะพูดนางยกมือขึ้นตะปบไปทางหลินสวิน “เจ้าหนู ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจปิดบังได้อีกแล้ว!”
หลินสวินย่อมไม่ยอมนั่งรอความตาย
ไม่ว่าจะเป็นการค้นตัวหรือค้นจิตวิญญาณ สำหรับเขาแล้วต่างเป็นการโจมตีถึงตาย จะทำให้ฐานะของเขาถูกเปิดเผยออกมาโดยสมบูรณ์
“ผู้อาวุโส…”
ในตอนที่หลินสวินคิดจะพึ่งพลังของซี จู่ๆ ก็ชะงักไป
เพราะชุดนักพรตสมประสงค์ที่กลายเป็นวงแสงเงินล้อมรอบปลายนิ้วเขาพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วในพริบตานี้ เกิดเป็นแสงมรรคทะลวงเมฆาสายหนึ่ง
“ยังกล้าต่อต้านหรือ ไม่ประมาณตน!”
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยิ้มเหี้ยม เมื่อได้เห็นภาพนี้นางยิ่งแน่ใจว่าฐานะของหลินสวินมีปัญหาแล้ว จึงโบกมืออย่างไม่ลังเล
ฝ่ามือเปลวเพลิงดุจบังฟ้าสายหนึ่งกดลงมา ตบใส่ชุดนักพรตสมประสงค์
ตูม!
ละอองแสงปลิวว่อน ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ที่ทำให้ทุกคนงุนงงก็คือ ชั่วพริบตานี้พลังฝ่ามือของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกลับถูกแสงเงินพร่างพราวนั้นบดขยี้
พวกไท่ซูหง จักรพรรดิมารผลาญนภา ซย่าสิงเลี่ยต่างนัยน์ตาหดรัด
สมบัติจักรพรรดิชิ้นหนึ่ง เหตุใดถึงมีพลังน่ากลัวเช่นนี้ ยังต้านการลงมือของระดับจักรพรรดิคนหนึ่งได้ด้วยหรือ
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด
พวกหมีอู๋หยา หวงผู่เซ่าหนงต่างก็มึนงงไปครู่หนึ่ง ระดับจักรพรรดิลงมือ กลับถูกสมบัติชิ้นหนึ่งขวางไว้ นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนักอย่างไม่ต้องสงสัย!
หน้าจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงแขวนไว้ไม่อยู่แล้ว ส่งเสียงหัวเราะหยัน สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วใช้พลังที่แท้จริง
“สยบ!”
นางแผดเสียงมรรค กฎเกณฑ์เปลวเพลิงเป็นสายๆ อุบัติขึ้นกลางอากาศ ถักทอเป็นภูเขาเทพเปลวเพลิงลูกหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากฟ้า คล้ายจะสยบโลกาเผาสวรรค์!
สิ่งนี้น่ากลัวหาใดเทียบ เป็นอานุภาพที่แท้จริงของระดับจักรพรรดิ!
ซย่าสิงเลี่ยยังอดไม่ไหวหมายจะลงมือขัดขวาง เพราะกังวลว่าด้วยการโจมตีนี้ แม้แต่หลินสวินยังจะโดยลูกหลงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
แต่ก็ในตอนนี้เอง…
เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางฟ้าดิน
“ไสหัวไป”
เพียงคำเดียว เป็นคำที่ลบหลู่ผู้อื่นถึงที่สุดคำหนึ่งชัดๆ แต่เสียงนี้กลับนุ่มนวลอ่อนหวานปานนั้น
เปรียบดั่งลมวสันต์ต้องใบหน้า
แต่พร้อมกับคำนี้ ภูเขาเทพเปลวเพลิงที่ตกลงมาจากฟ้าลูกนั้นก็ถอยออกไปจากห้วงอากาศจริงๆ แตกกระเจิงดังสนั่นกลายเป็นละอองแสง
ส่วนจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงผู้ยืนผยองอยู่บนยอดเขา บารมีจักรพรรดิดุจทะเล สูงส่งล้ำเลิศ ก็เหมือนถูกหัตถ์สวรรค์หวดร่าง
เกิดเสียงดังปึงครั้งหนึ่ง ร่างกายพลิกตลบในทะเลเมฆไปไกล…
ทั้งที่นั้นเงียบกริบ ฟ้าดินยังเหมือนตกอยู่ในความนิ่งสงัด แม้แต่เสียงลมยังหยุดชะงัก
เหล่าคนรุ่นหลังในที่นั้นต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง แววตาเหม่อลอย
จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าสะท้านยุคแห่งเรือนมรรคจักรวาล บารมีแผ่กว้างผู้หนึ่ง สามารถทำให้สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนเคารพยำเกรงได้
ใครเคยเห็น… นางกลิ้งตลบยับเยินบ้าง
ด้านระดับจักรพรรดิที่อยู่ในที่นั้นเหล่านั้น ในใจต่างสั่นสะท้านรุนแรง สายตาแทบจะมองไปทางเดียวกันในทันที
กลางทะเลหมอกในที่ไกลลิบ มีเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรฉายขึ้นร่างหนึ่ง เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน มวยผมปักปิ่นไม้ รูปลักษณ์งามสง่า ผิวพรรณผุดผ่อง นุ่มนวลอ่อนหวาน
แต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหญิงผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอย่างไท่ซูหง ซย่าสิงเลี่ย จักรพรรดิมารผลาญนภาหรือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น ล้วนหยุดหายใจอย่างอดไม่ได้
มีเพียงสายตาของคนระดับพวกเขาถึงมองเห็นว่าร่างของหญิงผู้นี้มีแสงเทพนับไม่ถ้วนอุบัติขึ้น มีแสงมรรคมากมายไหลเวียน แปลงสภาพเป็นวงแหวนแสงกลมเกลี้ยงโอบล้อมรอบทิศ
พอนางเยื้องย่าง ฟ้าดินต่างสั่นสะเทือน หมื่นลักษณ์อุบัติ มหามรรคขับขาน ประหนึ่งจอมมรรคองค์หนึ่งมาเยือนจากเก้าชั้นฟ้า!
ภาพสูงส่งดั่งเป็นอมตะนั้น ทำให้ระดับจักรพรรดิในที่นั้นต่างรู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านในใจ ตกตะลึงอย่างที่สุด
“นี่มันระดับไหนกัน”
ระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่งศีรษะชาหนึบ กลิ่นอายที่ตัวหญิงผู้นี้มีทำให้พวกเขามองไม่ขาด ดูไม่ออก นี่เพียงพิสูจน์ได้ว่าระดับห่างไกลกันมากนัก!
“ในวงล้อมหมื่นลักษณ์ กลางแสงมงคลมากมาย… นางถึงกับไปถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเช่นนี้แล้ว…”
รุ้งเทพเปล่งประกายพวยพุ่งในดวงตาของซย่าสิงเลี่ย ความรู้สึกตื่นเต้นผุดขึ้นในใจ
เขาเป็นจักรพรรดิกระบี่ยอดมาร เจ้าตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า ลำพองเหนือฟ้าดารา ไม่หวั่นกลัวศัตรูใดในใต้หล้า เดิมก็เป็นผู้ที่หยิ่งผยองจองหองหาใดเทียบ
แต่ตอนนี้ต่อหน้าหญิงผู้นี้ ขนาดเขายังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ตีกระทบหน้า!
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็เห็นผู้หญิงคนนี้เช่นกัน ชุดนักพรตสมประสงค์ที่กำลังส่งเสียงหึ่งๆ อย่างเปรมปรีดิ์ที่นิ้วเขาคล้ายจะหลุดออกจากมือ
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงคนผู้หนึ่ง แววประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาอย่างอดไม่ได้ ใจก็ตื่นเต้นไปด้วย
เป็น…
ศิษย์พี่สามจริงๆ หรือ
หญิงที่นุ่มนวลสะอาดสะอ้านมายังข้างกายหลินสวินอย่างเงียบๆ มุมปากอมยิ้มน้อยๆ นุ่มนวล สื่อจิตเอ่ยว่า
‘ศิษย์น้องเล็ก ได้ยินว่าเจ้าอาจจะถูกรังแก ข้าก็เลยมา’
เป็นศิษย์พี่สามจริงๆ!
หลินสวินพลันนึกถึงคำพูดที่ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเคยพูดไว้
‘ในหมู่พวกเราคีรีดวงกมล ศิษย์พี่รั่วซู่ได้รับการยอมรับว่าอ่อนโยนและเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ชุดที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องใส่ล้วนเป็นชุดที่นางเย็บด้วยตัวเอง ต่อไปถ้านางเจอเจ้า จะต้องตัดเย็บชุดคลุมให้เจ้าด้วยตัวเองแน่นอน’
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงโดยเด็ดขาด ว่าการพบกับศิษย์พี่สามครั้งแรกจะอยู่ในสถานการณ์อันตรายไม่อาจคาดเดาเช่นนี้