Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1976 ตายอนาถปุบปับ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1976 ตายอนาถปุบปับ
ตอนที่ 1976 ตายอนาถปุบปับ
เพียงแต่ยามหลินสวินตั้งใจจะฟังต่อไป จู่ๆ กลับพบว่าเหลยเฟิงเชวียและหญิงชุดหลากสีคนนั้นเริ่มสื่อจิตคุยกันแล้ว
หนำซ้ำระหว่างทางหลังจากนี้ การสนทนาของพวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนล้วนใช้การสื่อจิต
พวกเขาเหมือนกำลังป้องกันอะไรบางอย่างอยู่
ในใจหลินสวินยิ่งเริ่มรู้สึกไม่เข้าทีมากขึ้นเรื่อยๆ
‘จะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…’
สัญชาตญาณที่บ่มเพาะจากการต่อสู้นานปี ทำให้เวลานี้หลินสวินตัดสินใจลงมือโดยไม่ลังเลใดๆ
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่หลอมขึ้นจากโครงกระดูกขาวหลายชิ้นปรากฏขึ้นกลางฝ่ามืออย่างไร้เสียง บนคันธนูที่หยาบกร้านดุดัน ขึงสายธนูสีแดงฉานดุจโลหิต
และในมือซ้ายของเขา ศรเทพสองดอกปรากฏขึ้นเงียบๆ
สีขาวหิมะทั่วคัน แผ่แสงเงินขาวโพลน ปลายศรเย็นเยียบ ตัวศรหนาราวหัวแม่มือ บนนั้นสลักอักษรมรรคที่เฉียบคมชวนหวาดหวั่น…
แสงโชค!
กับศรแสงเทพน้ำเงินเข้มที่แผ่ประกายคล้ายภาพมายา บนนั้นสลักอักษรมรรคลึกลับ ‘เสี้ยวปีก’ สองคำเอาไว้
เสียงเพรียกของศรเทพสองดอกขานรับกันและกัน แสงเคลื่อนไหวหลากสีสัน กลิ่นอายล้วนยะเยือกเย็นจนทำให้คนใจผวา
ศรเทพสองดอกนี้ เป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากตอนที่หลินสวินบุกหุบเขาตะวันคล้อย อาณาเขตเผ่าอีกาทองในปีนั้น และพกติดตัวตลอดแต่ไม่เคยเอามาใช้งานเลยสักครั้ง
เช่นเดียวกับศรนภาคราม ศรนิรันดร์ ศรเทพสองดอกนี้ล้วนจัดเป็น ‘ศรเทพทั้งเก้า’ สมัยดึกดำบรรพ์ วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ พลังทำลายล้างก็น่ากลัวยิ่งยวด
สภาวะจิตของหลินสวินดุจหิมะน้ำแข็ง นัยน์ตาดำไม่ทุกข์ไม่สุข อันที่จริงเขาตัดสินใจลุยหน้าเต็มกำลังแล้ว
เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว ก่อนศัตรูจะไหวตัวทัน ต้องช่วยลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานในคราวเดียวให้ได้
หากยามต่อสู้แล้วปล่อยให้ศัตรูไหวตัวทัน ใช้พวกลู่ตู๋ปู้สองคนเป็นตัวประกัน เช่นนั้นก็วุ่นวายแล้ว
…
‘กล่าวเช่นนี้ ตลอดทางนี่ก็มีคนสะกดรอยตามพวกเราตลอดเลยหรือ’
เบื้องหน้า หญิงชุดหลากสีสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา
‘ถูกต้อง ศิษย์พี่ข่งเจาถึงขั้นสงสัยว่าเจ้าคนที่สะกดรอยตามพวกเราคนนั้นก็คือจินตู๋อี!’
เหลยเฟิงเชวียสายตาเกรี้ยวกราด รีบเอ่ยสื่อจิตทันควัน ‘ดังนั้นครั้งนี้พวกเราต้องรอบคอบกันหน่อย เตรียมพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา ขอเพียงมีลมพัดหญ้าไหวแม้แต่น้อย ต้องโจมตีเต็มกำลังในทันที’
‘ได้!’
หญิงชุดหลากสีและคนอื่นๆ ต่างตอบรับ แต่ละคนล้วนลอบสั่งสมกำลัง พลังขับเคลื่อนรอบกายอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมบุกตะลุยทุกขณะ
ฮูม!
ไม่ทันไรเสียงประหลาดระลอกหนึ่งก็ดังลอยมาจากหนองน้ำสีเขียวที่อยู่ไม่ไกล
“ฆ่า!”
พวกเหลยเฟิงเชวียที่เตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ ล้วนเคลื่อนไหวทันที เรียกสมบัติและวิชามรรคต่างๆ ออกมา พากันโจมตีสังหารเข้าไป
ก็เห็นแสงมรรคก้องกระหึ่ม ประกายแสงร่ายระบำ ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ทว่าครู่ถัดมาพวกเหลยเฟิงเชวียก็สีหน้าแข็งทื่อไป
ก็เห็นหนองน้ำสีเขียวแถบนั้นถูกซัดกระหน่ำจนเป็นรูพรุน น้ำโคลนพุ่งกระเซ็น ต้นไม้ใบหญ้าไหม้เกรียม ไม่เพียงไม่เห็นเงาของศัตรู ตรงข้ามกลับมีผีเสื้อราตรีสีเขียวมรกตฝูงหนึ่งบินกรูออกมา ร่ายรำทั่วฟ้า ส่งเสียงแผดร้องเดือดดาล
พวกเหลยเฟิงเชวียมองหน้ากัน ในใจอดอักอ่วนไม่ได้ รู้ตัวว่าทำพลาดไปแล้ว การตอบสนองก็ดูมากเกินปกติเล็กน้อย
ภาพเหตุการณ์นี้… ก็เหมือนเสียงนกร้องสายลมไหว พานสงสัยว่าเป็นศัตรูอย่างไรอย่างนั้น…
วู้มๆๆ!
ผีเสื้อราตรีเหล่านี้แต่ละตัวขนาดราวกำปั้น ทั้งตัวเขียวมรกต ยามปีกกระพือไหวก็เรียกฝุ่นละอองสีเขียวที่คลุ้งโขมงราวหมอกควันขึ้นมา
พวกมันราวถูกยั่วโทสะ หวีดร้องพลางพุ่งเข้าใส่พวกเหลยเฟิงเชวีย
“หนีเร็ว!”
พวกเหลยเฟิงเชวียนัยน์ตาหดรัด เตรียมหนีโดยไม่ลังเล สัตว์อันตรายในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้ล้วนน่าสะพรึงถึงขีดสุด
อย่ามองว่าผีเสื้อราตรีพวกนี้ไม่สะดุดตา แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับพิศวงและอึมครึมหาใดเปรียบ ทำเอาในใจพวกเหลยเฟิงเชวียขนลุกซู่
และในเวลานี้…
ศรเทพสองสายแหวกอากาศ พุ่งมาจากไกลๆ ประหนึ่งแสงเคลื่อนไหวที่คล้ายภาพมายาสองสายแหวกมิติหมื่นยุคมาเยือน
ระดับความเร็วน่าตกใจสะเทือนขวัญ!
ที่วิเศษอัศจรรย์ที่สุดคือ ศรเทพสองสายบิดหมุนกลางอากาศ ส่งเสียงดังติ๊งกังวานคราหนึ่ง ถึงกับหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตัวศรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงและพร่างพราว หนำซ้ำอานุภาพก็พุ่งทะยานขึ้นช่วงใหญ่ในพริบตา กลิ่นอายเคร่งขรึมที่ชวนสะท้านอย่างหนึ่งก็พลอยแผ่คลุ้งออกมาด้วย
“แย่แล้ว!”
เหลยเฟิงเชวียหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ได้กลิ่นภัยคุกคามถึงชีวิตวูบหนึ่ง
เวลานี้พวกเขาต่างกำลังหลบหนีผีเสื้อราตรีเขียวมรกตฝูงนั้น ไหนเลยจะคิดว่าจะมีเคราะห์สังหารมาเยือนแบบปุบปับ
เร็วเกินไป เร็วจนเหลยเฟิงเชวียยังไม่ทันร้องเตือน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังตูมคราหนึ่ง
พวกพ้องคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกลนักถูกหนึ่งศรเสียบทะลวงหน้าอก ร่างกายพลันแตกระเบิดตามไป น้ำเลือดแดงสดพุ่งกระเซ็นสูงลิ่ว
“ศิษย์น้องหวัง!”
เสียงอุทานแตกตื่นระลอกหนึ่งดังขึ้น
ชั่วอึดใจ ก็โจมตีผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งในเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเขา ภาพการตายที่มาแบบปุบปับนี้ ทำเอาพวกเขาเริ่มใจฝ่อกันถ้วนทั่ว
และนี่ แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น!
เมื่อสองศรเทพอย่างแสงโชค เสี้ยวปีกพุ่งยิงออกมา หลินสวินเคลื่อนไหวเต็มกำลังนานแล้ว บุกตะลุยสังหารเข้ามา
ชิ้ง!
ดาบหักพุ่งโฉบ โรยร่วงราวธารดารา ประกายคมสะเทือนจักรวาล ฟันเข้าใส่หญิงชุดหลากสี
สวบๆๆ!
ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนหอบม้วนออกมาราวห่าฝนสาดกระหน่ำ บดฟ้าบังตะวัน หว่านครอบไปทางเหลยเฟิงเชวีย
และหลินสวินก็พุ่งตรงใส่ชายที่สวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง ในมือเขา หอบหิ้วลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานสองคนเอาไว้
เร็ว!
เร็วเกินไปแล้ว!
ไม่ออกมือยังพอทำเนา พอออกมือก็เป็นการโจมตีแบบอุกอาจสะเทือนไหว!
“คิดช่วยคนรึ อย่าหวัง!”
ชายชุดคลุมสีเทาตะโกนลั่น ทั่วร่างเปล่งแสง ฝ่ามือออกแรง ถึงกับไม่มัวห่วงความปลอดภัยของตัวเอง หมายจะยื้อแย่งชิงฆ่า ลู่ตู๋ปู้สองคนที่ถูกเขาหิ้วอยู่ในมือตัดหน้าหลินสวิน
แต่ที่ไวกว่าการเคลื่อนไหวของเขา คือดรรชนีหนึ่งของหลินสวิน
ฉัวะ!
แสงคมแสบตาวูบหนึ่งแล่นปราดออกจากปลายนิ้ว ควบหลอมจนถึงขีดสุด และดุกร้าวถึงขีดสุด จ้วงสังหารมาเยือนผ่านอากาศ
หนามแสงคม!
อภินิหารพรสวรรค์ของกายมรรคทองขาว
พรวด!
หัวคิ้วชายชุดคลุมสีเทา ถูกเสียบทะลุเป็นรูเลือดอย่างไร้สรรพเสียง จิตดั้งเดิมของเขาถูกเสียบทะลวงกำจัดชั่วอึดใจ!
และพลังที่รวบรวมอยู่กลางฝ่ามือของเขายังไม่เคยซัดปล่อยออกไป เดิมทีอีกนิดเดียวก็สามารถโจมตีสังหารพวกลู่ตู๋ปู้สองคนได้ ก็พลอยจางหายไปในเวลานี้ด้วย
เสียงดังปึงคราหนึ่ง ชายชุดคลุมสีเทาล้มฟุบลงบนพื้น จนตายยังเบิกตากว้าง สีหน้าฉายแววตกใจปนเดือดดาลและสิ้นหวัง
เหมือนคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าโลกในบี้จะมีพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร
และเวลานี้ หลินสวินก็ช่วยลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานไว้ได้นานแล้ว
ตูมโครม!
ในลานเสียงดังสนั่นไม่หยุด ฟ้าดินสะเทือนไหว ผีเสื้อราตรีสีเขียวฝูงหนึ่งที่แต่เดิมพุ่งกรูไปทางพื้นที่แถบนี้ ส่งเสียงหวีดร้องไม่หยุด ประสบควันหลงอันน่ากลัว ร่างร่วงหล่นตุบๆ กลายเป็นเศษเถ้าธุลี
หญิงชุดหลากสีเงาร่างซวนเซ ถูกดาบหักฟันจนเซถอยกรูด
เหลยเฟิงเชวียแผดคำราม สู้ยิบตาสุดกำลัง จึงสลายปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนที่กรูเข้ามาจากสี่ทิศแปดทางนั่นได้ แต่ตัวเขาก็บาดเจ็บหนัก ปรากฏรอยกระบี่โชกเลือกมากมาย
ยังมีคนหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่ทันตอบสนอง จนกระทั่งเวลานี้จึงส่งเสียงตะโกนลั่นแสนตกใจปนเดือดดาลออกมาสายหนึ่ง “เจ้าปีศาจ…!!”
เสียงสะเทือนชั้นเมฆ
ทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นแทบจะในพริบตา ชั่วพริบตาก็ปิดฉากลง เร็วจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ
และในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ก่อนหลังหลินสวินโจมตีสังหารไปสองคน ช่วยลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานสองคนมาได้อย่างหวุดหวิด
มาดเข่นฆ่าที่ดุกร้าว ฉับไว เผด็จการระดับนั้น ปั่นป่วนจักรวาลแถบนี้!
ควรรู้ว่า ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณได้ ล้วนไม่มีใครใช่พวกธรรมดาทั่วไปกันทั้งนั้น ทว่าเวลานี้ กลับถูกหลินสวินฆ่าจนตั้งตัวไม่ทัน
หนึ่งคือจังหวะออกมือของเขา แม่นยำเหี้ยมเกรียมหาใดเปรียบ โจมตีในจุดที่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัว
สองคือด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของเขา ซ้ำยังลุยสุดกำลังพุ่งโจมตีสังหารศัตรู ทอดสายตาหาคนรุ่นเดียวกันทั่วหล้า เกรงว่าคงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานได้
“จินตู๋อี เป็นมารปีศาจอย่างเจ้าดังคาด!”
เหลยเฟิงเชวีย หญิงชุดหลากสีและชายชุดผ้าไหมอีกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน สีหน้าล้วนเขียวคล้ำหาใดเปรียบ โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แค้นจนกัดฟันแน่น
ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนรอบคอบและเตรียมป้องกันมาตลอด แต่ก็ยังคิดไม่ถึง เพราะการปรากฏตัวของผีเสื้อราตรีเขียวมรกตสมควรตายฝูงนั้น ทำให้ศัตรูจับจุดบอดได้!
“พี่จิน เจ้าถึงกับมาจริงๆ…”
ลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานหนีรอดจากความตาย ล้วนมีความรู้สึกไม่สมจริงราวกับฝันไป
โดยเฉาะตอนที่เห็นว่าคนที่ช่วยพวกเขายังคงเป็นหลินสวินดังเดิม ทั้งสองคนต่างไม่รู้จะบรรยายความซาบซึ้งและละอายภายในใจได้อย่างไร ถึงขั้นที่รู้สึกว่าตนเป็นตัวถ่วงที่ไร้ประโยชน์ ถึงได้ถ่วงลากจนหลินสวินต้องเสี่ยงอันตรายมาช่วยพวกเขาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
“คนที่ควรละอายคือข้า หากไม่ใช่เพราะข้า ทั้งสองคนไหนเลยจะถูกกระทเช่นนี้ได้”
หลินสวินทอดถอนใจเบาๆ
“พูดได้ดี!”
ทันใดนั้น เสียงปรบมือระลอกหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ก็เห็นข่งเจาพาผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์หกคน เคลื่อนย้ายผ่านอากาศมาเยือน
แววตาเขาดุจสายฟ้า มองสำรวจหลินสวิน กล่าวชม “ทุกคนดูสิ เพื่อจะช่วยสองสวะ ถึงขั้นยอมเปิดเผยร่องรอย นี่เรียกว่าองอาจใจถึง ฮึกหาญไม่มีสองทีเดียว”
เสียงเจือแววถากถางรุนแรง
เห็นขบวนข่งเจามาถึง พวกเหลยเฟิงเชวียต่างถอนใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาถูกภาพที่หลินสวินบุกโจมตีปุบปับเมื่อครู่ทำเอาตกใจ หากพวกข่งเจาไม่มา พวกเขาเกรงว่าคงไม่มีความกล้าไปต่อต้านกับหลินสวินอีกต่อไปแล้ว
“ที่แท้ พวกเจ้าก็มองร่องรอยของข้าออกตั้งแต่ต้นแล้ว”
และเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หลินสวินไหนเลยจะไม่เข้าใจ ตอนอยู่ในเขาวิญญาณหิมะแดงนั่น ข่งเจาเกรงว่าคงมองเค้ารอยของตนออกนานแล้ว
พวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่ตัวล่ออย่างหนึ่งเท่านั้น
“ฉลาด!”
ข่งเจาดีดนิ้วคราหนึ่ง สีหน้าเจือแววนึกสนุกและอำมหิต “น่าเสียดาย เจ้าจินตู๋อีครั้งนี้อย่าว่าแต่ช่วยคนเลย ชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเกรงว่าคงต้องทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว”
“แค่พวกเจ้าเนี่ยนะ?”
นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึก ราบเรียบดังเดิม ถึงจะถูกปิดหน้าล้อมหลัง แต่กลับไม่เกรงกลัวสักนิด
ข่งเจาลูบปลายคาง เอ่ยปากเนิบนาบ “ไม่เชื่อรึ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ ว่าทำไมเจ้าถึงช่วยสองคนนี้ไว้ไม่ได้”
กล่าวพลาง ริมฝีปากเขาจู่ๆ ก็เปล่งเสียงแปลกพิกลคลุมเครือออกมากะทันหัน
ปึง!
ไร้สรรพเสียง ร่างของซูมู่หานแตกกระจุยฉับพลัน ละอองเลือดสาดกระเซ็น ย้อมแดงทั่วห้วงอากาศและผิวดิน ติดตาน่าตกใจ
นัยน์ตาดำหลินสวินนิ่งทื่อ ในใจราวถูกค้อนยักษ์ฟาดเข้าอย่างจัง
ความหดหู่และเดือดดาลที่ไม่อาจพรรณนาปะทุขึ้นมาจากก้นบึ้งภายในใจราวกับหินหนืด ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มด้วยความเดือดแค้น
ตายแล้วหรือ
ถูกศัตรูฆ่าตายใต้จมูกตนไปเช่นนี้เลยหรือ
พริบตาเดียว หลินสวินก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนอยู่แดนลับโลกาสวรรค์ เถิงอี๋เฉินและกุยซานสิงสองคนถูกจู่เฟยอวี่บุกจู่โจม ถูกคัดออกต่อหน้าตนขึ้นมา
เวลานั้น ในใจเขาก็ทรมานหาใดเปรียบ เช่นกัน แต่ก็รู้ดี พวกเถิงอี๋เฉินสองคนแค่ถูกคัดออก แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
แต่ตอนนี้…
ซูมู่หานกลับตายคาที่ปุบปับต่อหน้าตนทั้งที่ยังเป็นๆ เช่นนี้!
……………………………