Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1983 ครุ่นคิดสุดปัญญา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1983 ครุ่นคิดสุดปัญญา
ตอนที่ 1983 ครุ่นคิดสุดปัญญา
ข่งเจาตายแล้ว!
บรรยากาศทั้งที่นั้นเงียบสะงัดแปลกพิกล เหล่าจักรพรรดิไม่อาจสงบใจได้
ข่งเจาเป็นเสาหลักของผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ชื่อติดอันดับห้าของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า!
แต่ตอนนี้เขาก็ร่วงหล่นเช่นกัน สิ้นชีพไปในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ใครจะกล้าเชื่อ
ควรรู้ว่าด้วยฐานะผู้สืบทอดแกนหลักอย่างข่งเจา บนตัวต้องมีของรักษาชีวิตมากมาย เช่นสมบัติจักรพรรดิที่วิเศษหาใดเทียบ วิชาลับที่ประหนึ่งต้องห้ามเป็นต้น
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพิ่งเข้าเขตต้องห้ามเซียนโบราณได้เจ็ดวัน ข่งเจาก็ตายแล้ว!
อย่าว่าแต่จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น ต่อให้เป็นระดับจักรพรรรดิคนอื่นก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ปัง!
โต๊ะที่อยู่หน้าจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นระเบิดออก กลายเป็นฝุ่นปลิวว่อน
ส่วนสีหน้าของเขาก็อึมครึมเป็นอย่างยิ่งไปแล้ว กลิ่นอายโหดเหี้ยมน่าหวาดหวั่นแผ่พุ่งไปทั้งตัว คล้ายจะเสียการควบคุมได้ทุกเมื่อ
พอข่งเจาตาย ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั้นก็ไม่มีผู้สืบทอดจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อีกแล้ว! ความกระทบกระเทือนครั้งใหญ่เช่นนี้ทำให้จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแทบรับไม่ไหว
แต่ซย่าสิงเลี่ยดันเติมน้ำมันใส่กองเพลิง เอ่ยด้วยท่าทางปลอบใจว่า “น้องเจวี๋ยอิ้น เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ที่นั่นเป็นถึงเขตต้องห้ามเซียนโบราณ จะไม่ประสบกับอันตรายสักนิดได้อย่างไร”
ทุกคนสีหน้าพิกล เพราะเดิมทีคำพูดนี้ออกมาจากปากของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น ตอนนี้กลับถูกซย่าสิงเลี่ยยกขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว
ก็เห็นว่าจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นโกรธจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ทรวงอกกระเพื่อมไหว สายตาที่มองซย่าสิงเลี่ยเหมือนจะฆ่าเขาเสียให้ได้
ซย่าสิงเลี่ยกลับคล้ายไม่รู้สึก ถอนใจพูดเองเออเองว่า “แต่จะว่าไปความเสียหายของพวกเจ้าเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คราวนี้น่าอนาถเกินไปแล้วจริงๆ มีผู้สืบทอดแค่สิบสองคนที่มีคุณสมบัติเข้าเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ดูตอนนี้สิ… ตายทั้งหมดเสียแล้ว”
วาจาที่เผยความเสียดาย เสียใจ ทอดถอนใจเข้าหูของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น กลับเหมือนดาบแหลมคมแทงเข้าไปในดวงใจ ทำให้เขาเดือดดาลถึงที่สุด
เขาโกรธจนผมตั้ง ชี้ซย่าสิงเลี่ยแล้วเอ่ยเน้นทีละคำ “ซย่าสิงเลี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะคุ้มครองจินตู๋อีนั่น หวังว่าตอนเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดฉากลง เจ้าจะไม่เสียใจ!”
ซย่าสิงเลี่ยหรี่ตา
มีปัญหาดังคาด!
ฟังจากความหมายของเจ้าเฒ่าเจวี๋ยอิ้น ใครมีความสัมพันธ์กับเจ้าหนูหลินสวินนี่ คนนั้นก็เหมือนโชคร้าย นี่ชักจะผิดปกติเกินไปแล้ว
‘ดูท่าต้องไปสืบข่าวเสียแล้ว ความที่รู้สึกถูกปิดหูปิดตา… รับได้ยากจริงๆ’
ซย่าสิงเลี่ยลุกขึ้นจากไป
ไม่มีใครรั้งตัว ทั้งยังไม่มีใครขัดขวาง
……
เขตต้องห้ามเซียนโบราณ
ในบึงแห่งหนึ่งไอหมอกอบอวล ยอดเขาอัศจรรย์หินประหลาดลูกแล้วลูกเล่าเรียงราย ลึกลับและน่าหวาดผวา
มือหลินสวินถือจานหยกสีดำรูปร่างคล้ายกระดองเต่าใบหนึ่ง บนจานหยกมีเงาแสงแปรผัน เข็มเล่มหนึ่งลอยคว้างชี้นำทาง
สมบัตินี้ชิงมาได้หลังจากสังหารหญิงชุดหลากสีข้างกายเหลยเฟิงเชวีย มีประโยชน์หาโชคหลบเคราะห์ ชี้นำทางรอด
ก็เพราะอาศัยสมบัติชิ้นนี้ ทำให้พวกเหลยเฟิงเชวียหลบพ้นอันตรายตลอดทางไม่รู้กี่ครั้ง
และตอนนี้สมบัตินี้ก็กำลังนำทางให้หลินสวิน
หืม?
ในใจหลินสวินขนลุกขึ้นมาครู่หนึ่ง หยุดเดินทันที ไกลออกไปถึงที่สุด มียอดเขาแปลกประหลาดถึงที่สุดลูกหนึ่งปรากฏอยู่กลางบึงหมอก
ภูเขานี้รูปร่างเหมือนเทพผีที่มาจากนรกตนหนึ่ง ซุ่มอยู่กับฟื้น หัวนกตัวสัตว์ เผยท่วงทำนองที่อัปลักษณ์ ดุร้าย และเย็นชา
นี่เป็นเพียงยอดเขาลูกหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำให้หลินสวินรู้สึกถึงอันตรายจนแทบหายใจไม่ออก
วิ้ง…
เข็มในจานหยกสีดำหมุนคว้าง กำลังเตือนว่าบริเวณใกล้เคียงมีอันตรายใหญ่หลวง!
เพียงแต่คราวนี้หลินสวินไม่ได้หลบหลีก หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเขาก็หยุดอยู่ในบึงที่อยู่ใกล้ๆ เงียบๆ
หลังคาดคำนวณเงียบๆ ครู่หนึ่งหลินสวินก็สะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลลายมรรคนับไม่ถ้วนถาโถมออกมา รวมตัวเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่กระบวนหนึ่งปกคลุมทั้งสี่ทิศที่เขายืนอยู่
ชั่วพริบตาเงาร่างของหลินสวินเหมือนหายลับไปกลางอากาศ แม้แต่กระบวนผนึกลายมรรคทั้งกระบวนยังเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดไป
ฟู่!
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ เริ่มฟื้นฟูพลังกาย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินสวินที่พลังกายฟื้นคืนมากึ่งหนึ่งก็ลืมตาขึ้นเงียบๆ มองไปนอกกระบวนผนึกลายมรรค
……
เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอยู่ในบึงที่อบอวลไปด้วยไอหมอกแห่งนี้ ผู้นำคือหวงฝู่เซ่าหนง
เขาสวมชุดมังกรสีเหลืองสว่าง สวมเกี้ยวประดับขนนก เยื้องย่างผ่าเผย ขณะที่ยกมือวาดเท้ามีท่วงท่าอหังการดั่ง ‘ราชันมาเยือนใต้หล้า นอกจากข้าแล้วจะมีใครอื่น’
“ศิษย์พี่หวงฝู่ แน่ใจได้ว่าจินตู๋อีนั่นเข้ามาในบึงนี้ แต่ร่องรอยของเขากลับหายไปจากบริเวณนี้แล้ว”
ชายชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้น เขาดวงตาเฉียบคมดั่งอินทรี ขณะที่มองไปรอบๆ สัญลักษณ์ลึกลับเป็นสายๆ ก็ผุดออกมาจากนัยน์ตา
เขามีนามว่าต้วนสิงซี เป็นผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาล มี ‘เนตรสมบัติ’ คู่หนึ่งแต่กำเนิด สามารถมองทะลุภาพลวงในโลกหล้าได้
เบื้องหน้าต้วนสิงซีมีโคมทองแดงสีดำดวงหนึ่งลอยอยู่ ไส้โคมมีเปลวเพลิงสีเขียวสดลุกโชน พอจะเห็นภาพอัศจรรย์ต่างๆ ฉายออกมาจากเปลวเพลิงอยู่รางๆ
โคมนี้มีนามว่า ‘โคมส่องวิญญาณ’ เป็นสมบัติลับเก่าแก่ที่ตกทอดมานานชิ้นหนึ่ง สามารถจับและสะท้อนการปลอมตัวหรือปิดบังใดๆ ได้ อัศจรรย์หาใดเทียบ
“ศิษย์พี่หวงฝู่ ยอดเขารูปร่างประหลาดข้างหน้านั่นผิดปกติมาก มีกลิ่นอายอันตรายเป็นที่สุดซ่อนอยู่”
อีกด้านหนึ่งหญิงวัยแรกรุ่นชุดเขียวคนหนึ่งก็รีบพูด ที่ข้อมือขาวสะอาดของนางมีกระดิ่งสีม่วงเล็กละเอียดแน่นขนัดพันรอบอยู่พวงหนึ่ง ขณะนี้กำลังสั่นหึ่งๆ ส่งคลื่นแปลกประหลาดคลุมเครือออกมา
หญิงสาวมีนามว่าเนี่ยเป่าอี๋ กระดิ่งสีม่วงที่ข้อมือมีนามว่า ‘กระดิ่งดูดปีศาจ’ เป็นสมบัติลับที่เป็นมรดกเก่าแก่ชิ้นหนึ่งเช่นกัน
แทบจะในขณะเดียวกัน สายตาของพวกหวงฝู่เซ่าหนงก็พากันมองไปที่ยอดเขารูปร่างประหลาด แผ่กลิ่นอายดุร้ายอำมหิตที่อยู่ไกลลิบลูกนั้น มันตั้งตระหง่านกลางบึง อบอวลด้วยไอหมอก ดูมหัศจรรย์และน่าหวาดผวา
หวงฝู่เซ่าหนงนิ่งเงียบเล็กน้อย รีบสื่อจิตว่า ‘สำหรับเจ้าจินตู๋อีแล้ว ถ้าอยากทำสมาธิฟื้นพลังกายจะต้องเลือกที่ที่ปลอดภัยที่สุด และที่ที่อันตรายก็ยิ่งปลอดภัย’
‘ต้วนสิงซี เจ้าค้นหาเป้าหมายของเจ้าหมอนี่ต่อ’
เขาเอ่ยสั่ง
สัญลักษณ์ปริศนาปรากฏขึ้นในดวงตาต้วนสิงซี แล้วพยักหน้า
หวงฝู่เซ่าหนงมองคนอื่นแล้วสื่อจิตว่า ‘คนอื่นก็เตรียมพร้อมลงมือเต็มกำลัง จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเข้าใกล้ยอดเขาอันตรายพิสดารลูกนั้นเด็ดขาด’
‘ได้!’
คนอื่นก็พากันพยักหน้า
‘ตอนเจ้าหมอนี่อยู่ในแดนลับโลกาสวรรค์ ก็ตีฝ่าการล้อมโจมตีของพวกจู่เฟยอวี่ ถูเชียนเจวี๋ย เยียนอวี่โหรวได้ และก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็สังหารผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อย่างพวกข่งเจาได้ในคราเดียวอีก คราวนี้ข้าไม่อยากให้พวกเราต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น’
หวงฝู่เซ่าหนงแววตาเคร่งเครียด
คนอื่นต่างหวาดหวั่นในใจ ถึงตอนนี้ใครยังจะกล้าดูเบาจินตู๋อีคนนั้น ในใจพวกเขามองฝ่ายหลังเป็นศัตรูตัวฉกาจชั้นหนึ่งไปนานแล้ว
จู่ๆ ต้วนสิงซีก็สื่อจิตว่า ‘ทุกคนระวัง มีพลังกระบวนผนึกลายมรรคห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของพวกเราสามพันจั้ง ถ้าไม่ผิดจากที่คาด จินตู๋อีนั่นต้องซุ่มอยู่ในนั้นแน่ ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าจะสังเกตเห็นพวกเราแล้ว ทุกคนอย่ากระโตกกระตากไปก่อน’
พวกหวงฝู่เซ่าหนงรู้สึกฮึกเหิมในใจ แต่สีหน้ายังสงบนัก ไม่ได้เผยคลื่นอารมณ์ใดๆ ออกมา เหมือนไม่สังเกตเห็นอะไร
‘เจ้าหมอนี่ก็เจ้าเล่ห์จริง หลบอยู่ที่นี่ ต่อให้ร่องรอยถูกเปิดเผย ก็อาศัยยอดเขาพิสดารอันตรายลูกนั้นมาช่วยต้านภัยได้’
หวงฝู่เซ่าหนงสื่อจิตหัวเราะหยัน ‘ถ้าข้าเดาไม่ผิด ขอเพียงลงมือ เขาจะต้องจงใจไปทำลายยอดเขาประหลาดนั่น แล้วทำให้พวกเราตกอยู่ในที่อันตราย’
หลายคนสูดหายใจหนาวสะท้าน แววตาไหววูบ
‘เนี่ยเป่าอี๋ เจ้าคาดเดาอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในยอดเขาลูกนั้นได้หรือไม่’
หวงฝู่เซ่าหนงรีบสื่อจิตเอ่ยถาม
‘ยอดเขานั้นแปลกประหลาดถึงที่สุด สงสัยว่าจะมีพลังทำลายล้างซ่อนอยู่ แม้ไม่อาจล่วงรู้ได้แน่ชัด แต่ตามการคาดเดาของข้า ขอเพียงห่างจากเขาลูกนี้ห้าพันจั้ง ต่อให้เกิดอันตรายบางอย่างพวกเราก็จะหนีไปไกลได้ทันที’
เนี่ยเป่าอี๋ลูบกระดิ่งดูดปีศาจสีม่วงที่ข้อมือพวงนั้นพลางสันนิษฐานออกมาอย่างว่องไว
‘อย่างนี้นี่เอง’
หวงฝู่เซ่าหนงเผยสีหน้าครุ่นคิด ครู่สั้นๆ ก็เอ่ยขึ้นทันควันว่า ‘เจ้าหมอนี่อยากจะหลอกทำร้ายพวกเรา ไม่สู้พวกเราซ้อนแผนดีกว่า พวกเจ้าคิดว่าถ้าพวกเราดึงดูดพลังทำลายล้างของเขาลูกนั้นมาทันทีจะเป็นอย่างไร’
ทุกคนชะงักไปก่อน จากนั้นความฮึกเหิมแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจอย่างห้ามไม่อยู่ทันที
เอาแผนซ้อนแผน ย้อนสังหารกลับไปหรือ
ได้สิ!
แววตาของทุกคนไม่มีความเห็นอื่น หวงฝู่เซ่าหนงสื่อจิตเอ่ยว่า ‘เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้พวกเราแสร้งทำเป็นยังไม่พบร่องรอยของเจ้าหมอนี่ หันกายจากไปก่อน เรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง’
ทุกคนต่างพยักหน้า
เพียงแต่ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ คลื่นกระบวนผนึกลายมรรคระลอกหนึ่งก็อุบัติขึ้นไกลออกไป และเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้นตามมาติดๆ
นี่ทำให้พวกหวงฝู่เซ่าหนงต่างอึ้งไป นึกไม่ถึงเป็นอย่างยิ่งว่าหลินสวินจะเผยตัวออกมาเองในตอนนี้
ชั่วขณะเดียวทำให้แผนของพวกเขาดำเนินได้ยากนัก
“ในเมื่อทุกท่านมาแล้ว เหตุใดถึงจะจากไปอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่ามีเจตนาร้าย คิดจะทำเรื่องต่ำช้าบางอย่างกระมัง”
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
ตั้งแต่ตอนที่สังเกตเห็นร่องรอยของพวกหวงฝู่เซ่าหนง เขาก็กำลังคิดอยู่ว่าจะยืมพลังทำลายล้างของยอดเขาพิสดารลูกนั้นโจมตีศัตรูเหล่านี้ถึงตาย
ใครจะคิดว่าพวกหวงฝู่เซ่าหนงกลับยังไม่ลงมือสักที ทั้งยังสื่อจิตคุยกันอยู่ตลอด เรื่องนี้ทำให้หลินสวินสังหรณ์ได้ทันทีถึงความไม่ชอบมาพากล
นี่เหมือนตอนแอบไล่ตามพวกเหลยเฟิงเชวียก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ดูคล้ายไม่มีช่องโหว่อะไร แต่ความจริงถูกข่งเจานั่นมองทะลุมานานแล้ว
หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกหวงฝู่เซ่าหนงจะสังเกตเห็นตนมานานแล้ว ถึงได้แสดงออกอย่างประหลาดเช่นนี้
“ลงมือ!”
หวงฝู่เซ่าหนงไม่ตอบสักนิด
สวบๆๆ!
บอกว่าลงมือ แต่พวกเขากลับเคลื่อนย้ายตรงดิ่งไปนอกบึงเต็มกำลัง เหมือนกำลังหลบหนี
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลงทันที และเคลื่อนย้ายออกไปไกลโดยไม่ลังเลเช่นกัน คล้ายจะไล่โจมตีอย่างไรอย่างนั้น
แต่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การวิ่งไล่จับอะไร แต่เป็นการหลบเภทภัย!
จนกระทั่งมาถึงรอบนอกของบึงนี้ หวงฝู่เซ่าหนงจึงหยุดลงทันที หมุนตัวไปมองหลินสวินที่ประชิดเข้ามาเอง เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา “จินตู๋อี ถ้าไม่มีพลังของยอดเขาลูกนั้นคุ้มหัว เจ้าที่พลังกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จะยังเอาอะไรมาสู้กับพวกเรา”
พวกต้วนสิงซีต่างยิ้มเหี้ยมอย่างอดไม่ได้
คิดจะโยนหายนะให้คนอื่นหรือ
ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว!
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนรับเคราะห์ไปด้วยกันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
กลับเห็นว่าหลินสวินยกยิ้ม ทันใดนั้นก็เอาธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมา แล้วยิงศรหนึ่งเข้าใส่ยอดเขาไกลๆ ที่อยู่ในส่วนลึกของบึงลูกนั้น
——