Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1986 จักรพรรดิอสนีดับสูญ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1986 จักรพรรดิอสนีดับสูญ
ตอนที่ 1986 จักรพรรดิอสนีดับสูญ
หลินสวินคิดแล้วก็ยังส่ายหน้า พูดไปตามจริงว่า “ไม่เคย”
“ไม่เคยหรือ”
ในกรงขัง เงาร่างนั้นพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคิดดูอีกที จวินหวนไม่เคยพูดถึงข้าสักประโยคเลยจริงหรือ”
เขาคล้ายตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ผู้น้อยย่อมไม่โกหก” หลินสวินเอ่ย
เงาร่างนั้นลุกพรวดขึ้น มือทั้งสองคว้าลูกกรงที่แปลงมาจากระเบียบอสนีไว้ทันทีแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง! จวินหวนจะไร้หัวใจขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าต้องจำผิดแน่ เจ้าคิดดูอีกที คิดดีๆ!”
เสียงเจือการขอร้องกลายๆ เสียอย่างนั้น
หลินสวินอึ้งไป คนผู้นี้แม้บาดแผลเต็มตัว แต่ท่าทางยังภาคภูมิดั่งเทพเหมือนเดิม คล้ายมีความรู้สึกพิเศษกับศิษย์พี่จวินหวนอย่างไรอย่างนั้น…
แต่ในที่สุดหลินสวินก็ยังพูดว่า “ศิษย์พี่จวินหวนเพียงแค่มอบภาพประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวให้ข้า”
เงาร่างนั้นเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “ตอนนั้นนางพูดว่าอะไร เจ้าพูดคำพูดจริงๆ ออกมาให้ข้าฟังซิ”
หลินสวินเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ตอนข้ามายังไม่เคยพบหน้าศิษย์พี่จวินหวน ขนาดประทับนั้นยังเป็นศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยฝากมาให้ข้า”
“อย่างนี้นี่เอง…”
เงาร่างนั้นอึ้งไป ครู่ใหญ่เขาจึงทรุดตัวลงไปกับกรงขังเหมือนเสียพลังทั้งร่างไป ดูอ้างว้างและเศร้าโศกหาใดเทียบ
แต่ไม่นานนักเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา ตบหน้าตักยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้ากับจวินหวนเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณด้วยกัน ทั้งยังไปสำรวจเขาปู้โจวนั้นด้วยกัน ในเมื่อนางมอบประทับที่เกี่ยวข้องกับเขาปู้โจวให้เจ้า นี่ก็พิสูจน์ได้ว่านางยังจำเรื่องในตอนนั้นได้ถึงจะถูก แม้ว่า… แม้ว่านางจะไม่เคยพูดถึงข้าเลย…”
เขาพูดไปเสียงก็เปลี่ยนเป็นต่ำลึกลงอีก สีหน้าเศร้าหมอง
ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจได้ว่าคนที่ถูกขังอยู่ในกรงขังระเบียบสายฟ้านี้ เห็นชัดว่าความรู้สึกหยั่งรากลึก เป็นทุกข์เพราะความรัก!
ก็เห็นว่าเงาร่างนั้นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “สหายน้อย เจ้าเป็นศิษย์น้องของจวินหวน เช่นนั้นก็ไม่ใช่คนนอก เจ้ากับข้าได้พบกันที่นี่ ยิ่งเป็นวาสนาที่ได้มาเจอกันเพราะชะตานำพา ถือโอกาสตอนข้ายังตื่นอยู่ เจ้า… เจ้าจะเล่าเรื่องจวินหวนให้ข้าฟังได้ไหม”
“ตื่นอยู่หรือ” หลินสวินตระหนักถึงจุดที่ไม่ชอบมาพากลได้อย่างฉับไว
เงาร่างนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “นานมาแล้วหลังจากข้าถูกขังที่นี่ เพราะได้รับ ‘แผลมรรค’ รุนแรง ทำให้สติสัมปชัญญะสับสนไปหมด ไร้ซึ่งการรับรู้… ที่คราวนี้ตื่นขึ้นมาได้ก็เพราะถูกศรนภาครามของเจ้ากระตุ้น แต่ขอเพียงกรงขังที่แปลงมาจาก ‘ระเบียบมรรคอสนี’ นี้ยังอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็จะตกอยู่ในห้วงสับสนอีกครั้ง…”
สายตาหลินสวินประเมินกรงขังที่แปลงมาจากระเบียบอสนีอันเปล่งประกายนั้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีทางทำลายได้หรือ”
เงาร่างนั้นส่ายหัว “นี่เป็นระเบียบมรรคอสนีของเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ไม่เหมือนกับทางเดินโบราณฟ้าดาราของพวกเรา พลังของมันลึกลับและน่ากลัว พอๆ กับพลังต้องห้ามที่กระจายอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้”
หลินสวินสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้เขารู้เป็นอย่างดีนักว่าพลังต้องห้ามที่กระจายอยู่ในพื้นที่แห่งนี้น่ากลัวปานไหน เทียบกันเช่นนี้แล้ว แค่คิดก็รู้ว่าระเบียบมรรคอสนีของเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้จะไม่ธรรมดาขนาดไหน
“นึกไปถึงตอนนั้น ข้ามีฉายาว่า ‘จักรพรรดิอสนีดับสูญ’ ในวิชามรรคอสนี เชื่อมั่นว่าตัวเองมีอำนาจเหนือฟ้าดารา ไม่มีใครเทียบได้ ต่อให้เป็นจวินหวน ตอนนั้นก็ยังชื่นชมข้าไม่หยุด…”
จู่ๆ เงาร่างนั้นก็เอ่ยปาก เจือน้ำเสียงหยันตัวเอง “แต่ใครจะไปคิดว่าพอมาเขตต้องห้ามเซียนโบราณแล้ว กลับแพ้ด้วยระเบียบมรรคอสนีที่คุ้นเคย… เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นตลกร้ายใหญ่เท่าฟ้าเรื่องหนึ่งหรือไม่”
จักรพรรดิอสนีดับสูญ!
มีอำนาจเหนือฟ้าดาราในมหามรรคอสนี!
หลินสวินใจสะท้านใจรุนแรง แทบไม่กล้าเชื่อ
ก็นั่นนะสิ บุคคลที่แข็งแกร่งจนถูกยกให้เป็นจักรพรรดิอสนีได้ กลับแพ้ภายใต้มหามรรคที่ตนถนัดที่สุด หากแพร่ออกไปใครจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และใครจะกล้าเชื่อ
“เรื่องในอดีตพวกนี้อย่าไปพูดถึงมันเลย”
เงาร่างนั้นถอนหายใจ “สหายน้อย ตอนนี้เจ้าจะเล่าเรื่องจวินหวนให้ข้าฟังได้ไหม”
หลินสวินคิดเล็กน้อยก็เล่าเรื่องที่บังเอิญพบจวินหวนสมัยทะยานผ่านฟ้าดาราให้เขาฟังทั้งหมด
“ฮ่าๆ จวินหวนยังแปลงเป็นผู้ชายท่องไปในฟ้าดาราเหมือนตอนนั้นเลย ด้วยฝีมือของนาง อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้ระดับจักรพรรดิบางส่วนยังมองไม่ออกว่านางเป็นผู้หญิง”
เงาร่างนั้นหัวเราะร่า เผยความสุขใจ ตัวเขาฉายแววที่บอกไม่ถูกบางอย่างออกมา เหมือนจะนึกถึงเงาร่างงามที่เคยทำให้เขาเฝ้าฝันหาคนนั้น
“ตอนข้าได้รู้จักนาง ก็รู้สึกประหลาดใจหาใดเทียบว่าเหตุใดโลกนี้ถึงมีชายที่งดงามโดดเด่นปานนั้นได้ ต่อมาหลังจากพวกเราสองคนเป็นเพื่อนร่วมทางท่องเที่ยวไปด้วยกันพักใหญ่ ข้าถึงรู้ว่าที่แท้จวินหวนเป็นผู้หญิง…”
เสียงเขาเจือแววหวนความหลัง สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยร้อยยิ้ม “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าดีใจแค่ไหน ในใจคล้ายมีเสียงกำลังบอกว่า ได้พบกับคนดีเช่นนี้สักคนบนมรรคาอันแสนยาวช่างเป็นสุขเพียงใด”
“แต่ว่า…” เขาพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ถูกความขมขื่นหนักหน่วงเข้าแทนที่ “แต่ในสายตาจวินหวน กลับมองข้าเป็นพี่น้องง เป็นเพื่อนรู้ใจ เป็นสหาย…”
หลินสวินพูดในใจว่าเป็นดังคาด
นี่อาจเรียกได้ว่าบุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก รสชาติของมัน ดูจากจักรพรรดิอสนีดับสูญที่เคยพลานุภาพสะเทือนฟ้าดาราคนนี้ก็รู้แล้ว
ถูกขังอยู่ในนี้มาไม่รู้กี่ปี การรับรู้สับสน บาดแผลเต็มตัว พอเพิ่งได้สติขึ้นมาบ้าง สิ่งที่คิดไม่ใช่จะปลดพันธนาการออกไปอย่างไร แต่เป็นการเฝ้าคิดถึงศิษย์พี่จวินหวนอยู่ตลอด…
ช่าเป็นคนคลั่งรักเสียจริง!
“ให้สหายน้อยเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
เงาร่างนั้นก็เหมือนสังเกตได้ว่าเสียอาการ จึงไม่พูดเรื่องในอดีตอีก แต่เอ่ยว่า “เวลาไม่มาก ก่อนสหายน้อยจากไปข้ามีสิ่งหนึ่งจะมอบให้”
ขณะพูด สายฟ้าขาวเปล่งปลั่งโปร่งแสงสายหนึ่งก็เคลื่อนออกมาคล้ายงูน้อยสีขาวโพลนตัวหนึ่ง สุดท้ายกลายเป็นรอยประทับรอยหนึ่ง
“ข้าแจ้งมรรคตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ฝึกมรรคอสนีอย่างยากลำบาก แม้ทางที่เดินไปจะเป็นทางเก่าที่มีคนข้างหน้า แต่ยามบรรลุจักรพรรดิก็ได้บุกเบิกอีกเส้นทางหนึ่ง โดดเด่นเพียงผู้เดียวในมรรคอสนี จวบจนเหยียบย่างธรณีระดับจักรพรรดิชั้นเก้า บนฟ้าดาราไม่มีใครกล้าประชันสูงต่ำในมรรคอสนีกับข้าอีก”
เสียงนั้นเผยให้เห็นความโอหังอวดดีหาใดเทียบ
“ในรอยประทับนี้ก็คือ ‘คัมภีร์มหาอสนีดับสูญ’ ที่ข้าสร้างเองกับมือ ภายในยังมีสิ่งที่หยั่งรู้และได้รับในระหว่างเสาะแสวงมรรคาบางประการ ต้องการมอบให้สหายน้อย ไม่ว่าตัวสหายน้อยจะหยั่งรู้เองหรือส่งต่อให้ผู้อื่น สุดท้ายก็ไม่ถึงขนาดทำให้สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาทั้งชีวิตึสิ้นสุดลงเท่านี้”
สายตาของเขามองไปที่หลินสวิน สีหน้าจริงจังเคร่งขรึม “ยังขอให้สหายน้อยรับไว้ด้วย”
หลินสวินสะท้านในใจ เอ่ยว่า “หรือผู้อาวุโสคิดว่าชาตินี้จะไม่อาจหลุดพ้นจากที่นี่ได้อีกแล้ว”
เงาร่างนั้นส่ายหัว “เวลาไม่พอแล้ว ตื่นมาคราวนี้ก็ใช้พลังที่ข้าเหลือไว้ไปเกือบหมดแล้ว ถ้าไม่เกินคาด พอการรับรู้ของข้าตกอยู่ในความสับสนอีกครั้ง… เกรงว่าจะตื่นขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว…”
“ข้าอยากลองดู”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปาก
“เจ้าหรือ”
เงาร่างนั้นพูด “ไม่ใช่ข้าจะโจมตีเจ้า แต่เพราะรู้ดียิ่งกว่าเจ้าว่าระเบียบมรรคอสนีนี้สูงส่งและแข็งแกร่งปานไหน ถ้าเจ้าคิดว่าจะอาศัยสมบัติจักรพรรดิบางอย่างก็ทำลายของพวกนี้…”
เขาไตร่ตรองเลือกคำพูด เอ่ยอย่างอ้อมค้อม คล้ายกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจหลินสวิน
แต่พูดได้ครึ่งหนึ่งเสียงของเขาก็หยุดลงทันที นัยน์ตาขยายกว้าง พูดอย่างตกตะลึงว่า “นี่มัน… ไม้โพธิ์หรือ”
ก็เห็นว่าหลินสวินเอาไม้โพธิ์แห้งเหี่ยวท่อนนั้นออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พยักหน้าพูดว่า “ก่อนมาศิษย์พี่รั่วซู่เคยบอกว่า ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณมีพลังอสนีมหามรรคที่โลกภายนอกไม่มีกระจายอยู่ อาจจะทำให้ไม้โพธิ์นี้คืนชีพได้”
“รั่วซู่หรือ นางเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่เก็บตัวที่สุด เงียบเชียบไร้ชื่อ แทบจะมีไม่กี่คนที่รู้ถึงการมีอยู่ของนาง แต่ขอเพียงเป็นคนที่รู้จักนาง ไม่มีใครไม่เลื่อมใสในความสง่างามของนาง”
เงาร่างนั้นเผยแววรำพึง “แม้แต่ตอนที่จวินหวนพูดถึงนาง ยังเจือความเคารพและชื่นชม…”
จู่ๆ เขาก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล “เดี๋ยวนะ ตามที่ข้ารู้มา รั่วซู่ไม่เคยมาเขตต้องห้ามเซียนโบราณ แล้วเหตุใดจึงรู้ว่าในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้มีพลังอสนีกระจายอยู่ หรือว่า…”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ข้าก็เพิ่งเข้าใจ ศิษย์พี่รั่วซู่พูดแบบนี้ จะต้องเป็นเพราะศิษย์พี่จวินหวนบอกนางแน่”
เงาร่างนั้นตื่นเต้นขึ้นมา เสียงสั่นเครือ “ที่แท้ ที่แท้จวินหวนก็ให้เจ้ามา… นาง… นางยังใส่ใจและห่วงใยข้า…”
หลินสวินพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ผู้อาวุโส ข้าก็เพียงลองดู แต่ไม่กล้ามั่นใจว่าไม้โพธิ์นี้จะช่วยให้ท่านหลุดจากพันธนาการได้จริงหรือไม่”
“ฮ่าๆๆ พอแล้ว ขอเพียงจวินหวนยังคิดถึงข้า ต่อให้ไม่มีทางออกจากที่นี่ได้แล้วจะเป็นอย่างไร แม้จะต้องอยู่ที่นี่ตลอดกาลข้าก็ไม่เสียใจ!”
เงาร่างนั้นหัวเราะร่าขึ้นมา เผยให้เห็นความเปรมปรีดิ์อย่างบอกไม่ถูก เป็นถึงจักรพรรดิอสนีดับสูญ บุคคลอหังการที่มีชื่อสะเทือนฟ้าดารา เขย่าขวัญไปสิบทิศ ขณะนี้กลับหัวเราะอย่างกับเด็กเสียอย่างนั้น
หลินสวินรำพึงในใจ คำว่ารักคำนี้ยากอธิบายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสาต่ำต้อย หรือคนแกร่งกล้าอย่างระดับจักรพรรดิ ก็คล้ายจะหนีไม่พ้นด่านนี้
ทันใดนั้นเงาร่างนั้นก็ส่งเสียงอู้อี้คล้ายเจ็บปวดถึงที่สุด แต่เขากลับยังหัวเราะ “ในชั่วกาลที่ผ่านมานี้ ก็วันนี้ล่ะที่มีความสุขที่สุด!”
หลินสวินกลับไม่อาจทอดถอนใจได้แล้ว เพราะเขาสังเกตเห็นว่าสภาพของเงาร่างนั้นไม่ชอบมาพากล คล้ายมีเค้าลางการรับรู้สับสน
เขาขว้างไม้โพธิ์ในมือไปที่กระแสพายุอสนีที่ปกคลุมฟ้าดินนั้นโดยไม่ลังเล
เปรี้ยง!
ก็เห็นว่าระเบียบมรรคอสนีดั่งมหาสมุทรนั้นเหมือนฉลามได้กลิ่นคาวเลือด ส่งเสียงดังครั่นครืนสะท้านโลก พุ่งไปหาไม้โพธิ์
ชั่วพริบตา ไม้โพธิ์ที่เดิมเหี่ยวแห้งก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝุ่นผง พลังด่านเคราะห์ต้องห้ามที่ถูกผนึกอยู่ในนั้นก็ถูกกำจัดจนเกลี้ยง!
หลินสวินอึ้งไปทันที ออกจะตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้หรือ
“หมายจะนิพพานเกิดใหม่ ต้องยกระดับถึงขีดสุดท่ามกลางความพินาศ นี่ก็คือมรรคอสนี”
เสียงเงาร่างนั้นดังขึ้น หนักแน่นดั่งระฆั่งไหวกระเพื่อม “วสันต์อสนีเคลื่อนไหว สรรพชีวิตสะดุ้งตื่น ปริศนาแก่นแท้ของมรรคอสนี ก็อยู่ในการดับสลายและเกิดใหม่ สหายน้อยดูก่อน”
พอเสียงพูดเงียบลง ก็เห็นว่าท่ามกลางการโจมตีของพายุอสนีถาโถมนั้น พอจะเห็นหน่ออ่อนหน่อหนึ่งกำลังรวมตัวท่ามกลางไอทึบ ไม่เตะตาเป็นที่สุด
แต่พอเวลาผ่านไป ต้นอ่อนนี้ก็จับตัวแน่นและลึกล้ำขึ้นทีละน้อย กลิ่นอายชีวิตที่ไม่อาจพูดได้ก็อบอวลออกมา กลิ่นอายชีวิตนั้นแรกเริ่มเลือนรางและเจือจาง แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้น!
จิตใจหลินสวินยังถูกดึงดูดอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นกลิ่นอายชีวิตราวกับแรกไอขุ่นมัว ทะลวงเปลือกเกิดใหม่ การแปรสภาพอันลึกลับที่นิพพานท่ามกลางความพินาศนั้น ทำให้จิตใจของเขาสั่นระรัว
——