Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2000 คำเชิญประลองของหมีอู๋หยา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2000 คำเชิญประลองของหมีอู๋หยา
ตอนที่ 2000 คำเชิญประลองของหมีอู๋หยา
เมื่อเสวียนจิ่วอิ้นนั่งลงข้างๆ หลินสวิน สีหน้าของผู้แข็งแกร่งบางคนในที่นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตระกูลเสวียน เผ่าจักรพรรดิโบราณที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ถึงขั้นไม่รู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลเสวียน
มีแค่ขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ที่รู้ดีว่ารากฐานของตระกูลเสวียนเก่าแก่เพียงใด
ตระกูลนี้ใช้คำว่า ‘เสวียน’ มาเป็นแซ่ เดิมก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นัยที่แซ่นี้สื่อถึงสามารถทำให้บุคคลระดับจักรพรรดิบางคนตื่นตระหนก
ที่พำนักของตระกูลนี้ไม่มีใครล่วงรู้ ตระกูลนี้มีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีคนพูดได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยามที่คนในตระกูลเสวียนออกมาข้างนอก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ก็ไม่มีทางล่วงเกินได้ง่ายๆ
เหมือนตอนที่แดนลับโลกาสวรรค์ปิดฉากก่อนหน้านี้ ยามเผชิญหน้ากับเสวียนจิ่วอิ้นที่เรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน ผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็ไม่กล้าลงมือรุนแรง ได้แต่กักขังเสวียนจิ่วอิ้นไว้ ไม่ให้เขาก่อความวุ่นวาย
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าตระกูล ‘เสวียน’ นี่ไม่ธรรมดาระดับใด และเสวียนจิ่วอิ้นก็เป็นถึงทายาทของตระกูลเสวียน ย่อมไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเป็นธรรมดา
แต่ใครต่างคาดไม่ถึง ต่อให้รู้ดีว่าหลินสวินเป็นเศษเดนของคีรีดวงกมล เสวียนจิ่วอิ้นก็ยังนั่งอยู่กับหลินสวิน!
“เจ้าไม่กังวล แต่ข้ากังวล”
หลินสวินคิดไปคิดมา ก่อนเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าในประตูทลายออกมาทีละเรื่อง
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม สุดท้ายจะมีแค่คนเดียวที่เข้าไปในประตูทลายได้ ถึงตอนนั้นข้าไม่อยากห้ำหั่นกับเจ้าอีก”
สายตาหลินสวินมองยังเสวียนจิ่วอิ้น ท่าทางจริงจัง
“ให้ตายเถอะ ได้แค่คนเดียวหรือ…”
เสวียนจิ่วอิ้นตกตะลึง เกาหัวแกรกๆ พลางกล่าว “ช่างทำให้คนปวดกะโหลกเสียจริง”
จากนั้นเขาก็ตบเข่าฉาด พูดพลางยิ้มระรื่น “พี่หลิน เจ้าคิดว่าจะแข่งกับคนอื่นอย่างไรก่อนเถอะ”
เขากวาดตามองทั่วลาน “เจ้าดูสิ ถ้าตัวอันตรายมากเช่นนี้ลงมือพร้อมกันต้องเปิดฉากการต่อสู้ชุลมุนแน่ แต่ขอแค่เจ้ามีโอกาสชิงแท่นมรรคนั้นได้ พวกเขาจะต้องโจมตีเจ้าพร้อมกันแน่นอน ถึงตอนนั้นสถานการณ์ที่เจ้าต้องเผชิญก็คือศัตรูรอบด้าน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เจ้า ใครก็ตามที่ขึ้นไปอยู่บนแท่นมรรคนั่นย่อมต้องถูกล้อมโจมตี ดังนั้นจึงพูดว่าคิดจะเข้าไปในประตูทลายนั่นคงไม่ง่ายดายนัก”
สีหน้าหลินสวินราบเรียบไร้คลื่นลม กล่าวอย่างสบายๆ “ต้องการชิงมหาศุภโชค จำเป็นต้องแบกรับอันตรายใหญ่หลวง เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้”
“ช่างเถอะ ข้าจะคอยดูเรื่องสนุกแล้วกัน”
เสวียนจิ่วอิ้นกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “เดิมทีข้าก็ไม่สนใจมหาสมบัติแรกกำเนิดอะไรนั่นอยู่แล้ว ต่อให้แย่งมาได้ มีหรือจะกล้าแยกไปตั้งสำนักใหม่ หากเจ้าเฒ่าในตระกูลข้ารู้เข้าจะต้องฆ่าข้าตายแน่”
“การมาที่นี่ครานี้ ข้าแค่อยากลองดูว่าเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่เป็นแดนอันตรายแบบไหนกันแน่ ถือโอกาสเรียนรู้ฝีไม้ลายมือของคนรุ่นเดียวกันไปด้วยสักหน่อย หากต้องสู้กับพวกเจ้าจริงๆ แล้วดันตายอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็คงจบเห่แล้ว”
พูดจบก็เอนกายลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน นั่งไขว่ห้างอย่างสบายๆ พลางกล่าว “ดังนั้นการดูเรื่องสนุกจึงดีที่สุด”
หลินสวินเหมือนคิดอะไรได้ “คงไม่ใช่ว่าไม่อยากจะฉีกหน้าข้า ดังนั้นจึงยอมแพ้ไปกระมัง”
เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะพรืดออกมา “พี่หลินหนอพี่หลิน ผู้ชายตระกูลเสวียนไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองไม่สบายใจ”
กล่าวถึงตอนท้ายปากเขาก็กล่าวพึมพำ “ยิ่งไปกว่านั้น… แค่มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นเดียว ตระกูลเสวียนของข้าก็ใช่ว่าจะไม่มี”
น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับเผยความโอหังโดยไม่ตั้งใจ
คราวนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ที่แท้ในตระกูลของเจ้าหมอนี่ก็มีมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งด้วย!
ตระกูลเสวียน เป็นเผ่าจักรพรรดิโบราณแบบไหนกันแน่
…
เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย
ประตูทลายที่สูงพันจั้ง ผุพังและเต็มไปด้วยหมอกควัน ภายในนั้นมีละอองแสงแห่งระเบียบมหามรรคแน่นขนัดส่องประกาย ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา
แต่เห็นจะมีเพียงแท่นมรรคที่ผ่านเข้าออกประตูได้ตามใจนั่นที่ยังไม่ปรากฏ
ทว่ากลับมีบุคคลแห่งยุคคนแล้วคนเล่าทยอยกันมา ทำให้บรรยากาศในที่นั้นเปลี่ยนเป็นกดดันและตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“พี่หลิน พลังกายของเจ้าฟื้นคืนถึงขีดสุดหรือยัง”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงที่ราบเรียบดั่งวารีดังขึ้น ทำลายความเงียบในที่นั้น เมื่อเห็นคนพูด ทุกคนต่างเผยสีหน้าประหลาด
คนผู้นั้นร่างผอมบาง สวมเสื้อคลุมขาว ผมขาวทั้งศีรษะ นัยน์ตาที่ผ่องแผ้วดุจทะเลสาบนิ่งสงบล้ำลึก
หมีอู๋หยา!
ศิษย์แกนหลักอันดับหนึ่งของเรือนมรรคยุทธจักร ตำนานที่ครองอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี!
ผู้ที่ถูกคนมองว่าเป็นบุคคลที่ไร้คู่ต่อกรอย่างแท้จริงในระดับมกุฎราชันอริยะ!
ตรงหน้าประตูทลายนี้ หากพูดถึงคนที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุด ย่อมเป็นหมีอู๋หยาโดยไม่ต้องสงสัย
เขาเอ่ยปากเวลานี้เพื่อการใด
ทุกคนล้วนใคร่รู้
มีเพียงผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
ในใจหมีอู๋หยามองหลินสวินนี่เป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ นานแล้ว เคยทอดถอนใจว่า ‘มรรคข้าไม่เดียวดาย ข้ามีคู่ต่อสู้แล้ว’
ด้วยเหตุนี้หมีอู๋หยาจึงปล่อยโอกาสที่จะไล่ล่าหลินสวินไปครั้งหนึ่ง บอกว่ายอมไม่แย่งชิงศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ ปรารถนาแค่จะประลองกับหลินสวินอย่างยุติธรรมสักครั้ง!
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรพวกนั้นเห็นศิษย์พี่หมีอู๋หยาที่ประหนึ่งกระสาป่าในพยับเมฆ ไม่สนใจเรื่องทางโลกเรื่อยมา ให้ความสำคัญกับคนผู้หนึ่งเช่นนี้
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นลืมตาขึ้น มองหมีอู๋หยาที่อยู่ห่างออกไปก่อนกล่าวเรียบๆ “ฟื้นตัวกลับมานานแล้ว ไม่ทราบว่าพี่หมีมีเรื่องใดชี้แนะ”
หมีอู๋หยากล่าวอย่างสบายๆ “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ แค่อยากถือโอกาสนี้มาสู้ตัดสินกับเจ้าสักครั้ง”
ตูม!
เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ม้วนกลืนทั้งที่นั้นเหมือนพายุ ทำให้ทุกคนแตกตื่น สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หมีอู๋หยา!
ราชันในตำนานที่เปล่งประกายบนฟ้าดาราคนหนึ่ง เวลานี้กลับส่งคำเชิญประลองด้วยตัวเอง!
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ถึงอย่างไรด้วยฐานะและชื่อเสียงของหมีอู๋หยาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
ด้วยในใจทุกคนเห็นว่า ต่อให้หลินสวินเย้ยฟ้าและแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไปเทียบกับหมีอู๋หยาได้ และไม่อาจยกขึ้นมาเทียบชั้น!
“อ้อ เจ้ามีจุดประสงค์ใดกันแน่”
หลินสวินยังนั่งอยู่กับพื้น ท่าทางไม่สะทกสะท้าน
หมีอู๋หยาคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “หนึ่งไม่แสวงชื่อ สองไม่หาผลประโยชน์ ก็แค่เจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี จึงอยากพ่ายแพ้สักครา”
“แค่นี้หรือ”
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว
“มีเพียงเท่านี้”
หมีอู๋หยาสีหน้าราบเรียบ ดวงตาจ้องมองหลินสวิน “ข้าอยู่ในขอบเขตที่ไร้คู่ต่อกรนี้มานานเกินไปแล้ว เดิมคิดว่าก่อนทะลวงปราณคงไม่มีคนที่พอจะประลองได้อีก ไม่คิดเลยว่าหลังจากได้เจอพี่หลิน จิตต่อสู้ที่เงียบไปนานแล้วในใจข้าจะตื่นขึ้นอีกครั้ง”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ในใจไม่อาจนิ่งสงบ
พวกเขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้ในใจของหมีอู๋หยา ก็ยอมรับหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถประลองด้วยไดเแล้ว!
หากกระจายออกไป ทั่วทางเดินโบราณฟ้าดาราคงโกลาหลไปด้วยแน่!
หลินสวินยืนขึ้น ปัดเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วยิ้มกล่าว “หากข้าคนแซ่หลินปฏิเสธอีก เกรงว่าคงถูกคนมองว่าหวาดกลัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้กันหน่อยจะเป็นไร”
“ศิษย์พี่หมี เปิดศึกตอนนี้คงไม่เหมาะอยู่บ้าง” ผู้สืบทอดของเรือนมรรคยุทธจักรคนหนึ่งรีบกล่าวเตือน
เหมือนการต่อสู้ของหลินสวินและจือไป๋ก่อนหน้านี้ จือไป๋แพ้แล้วก็ต้องออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบเชียบ แต่แม้ว่าหลินสวินจะชนะ พลังกายของเขาก็ผลาญไปค่อนข้างมากเช่นกัน
ตามเหตุผลแล้วการประลองนี้ของหมีอู๋หยากับหลินสวิน ต่อให้ไม่พูดถึงผลแพ้ชนะ หากแท่นมรรคนั้นปรากฏในช่วงที่ต่อสู้กัน สำหรับทั้งสองคนคงเสียเปรียบไม่น้อยแน่!
“การต่อสู้ของพวกเราใกล้จะเริ่ม มีหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้”
หมีอู๋หยากล่าวเรียบๆ ไม่สะทกสะท้าน
บุคคลแห่งยุคอย่างเขา ทันทีที่ตัดสินใจ เจตจำนงย่อมไม่สั่นคลอนเหมือนคนทั่วไป
ทุกคนที่อยู่ใกล้ต่างตื่นเต้นอยู่ในใจ
การต่อสู้นี้แม้ยังไม่ได้เริ่ม แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถสะท้านฟ้าดาราได้แน่ ยากจะพบเห็นในรอบพันหมื่นปี!
แน่นอนว่าหลังจากศึกนี้ คนที่แพ้ต้องบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนที่ชนะก็ย่อมใช้พลังกายไปมากเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สำหรับผู้ชมอย่างพวกเขาคือเรื่องดีอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
ถึงอย่างไรหมีอู๋หยาและหลินสวินก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นมากเกินไป
หมีอู๋หยาก้าวออกมา กลิ่นอายไม่ลึกลับซับซ้อน แต่กลับดึงดูดสายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
“พี่หลิน เชิญ”
เขาผายมือเชิญ
ของวิเศษย่อมเร้นลับ คนก็เช่นกัน เมื่อชะล้างสิ้นทุกสิ่ง มากด้วยประสบการณ์ ก็จะมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของการกลับคืนสู่สามัญ
หมีอู๋หยาในตอนนี้เหมือนยืนง่ายๆ อยู่อย่างนั้น แต่ในสายตาหลินสวินกลับแฝงความรู้สึกว่าสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ ไม่เปิดช่องให้จู่โจม
“เอาเถอะ วันนี้ข้าคนแซ่หลินจะเผยร่างเดิมเป็นการให้เกียรติ”
หลินสวินก้าวออกไปก้าวหนึ่ง
ร่างพลันเปลี่ยนเป็นร่างเดิมทันที ผมดำแผ่สยาย บุคลิกนิ่งสงบยากจับต้อง เทียบกับกายมรรคทองขาวแล้วดูเฉียบคมน้อยกว่า แต่มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ละโลกีย์ไร้มลทินมากขึ้น
ทุกคนต่างหันมามอง ในใจสะท้านไหว
สิ่งที่เจ้าหมอนี่ใช้ก่อนหน้านี้เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งหรือ ทั้งยังเอาชนะจือไป๋ได้ด้วย?
นี่จะทำให้คนใจสั่นเกินไปแล้ว!
ร่างแยกยังแข็งแกร่งเช่นนั้น ร่างเดิมของเขาจะทรงพลังระดับใด
กลับเห็นนัยน์ตาของหมีอู๋หยาฉายประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง “พี่หลินนี่เหนือความคาดหมายจริงๆ การประลองนี้… ต้องน่าสนใจมากแน่!”
หลินสวินสัมผัสพลังของร่างเดิม ประหนึ่งกลับคืนสู่ต้นกำเนิด ยามนี้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวล้วนขานรับราวกับโห่ร้องยินดี
นัยน์ตาดำของหลินสวินดูล้ำลึกพลางกล่าว “ขอถามแค่ประโยคเดียว ตัดสินเป็นตายหรือไม่”
หมีอู๋หยากล่าวเนิบช้า “สู้ให้สุดกำลัง ไม่สนเป็นตาย”
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า
เวลานี้บรรยากาศในที่นั้นหนาวเหน็บและตึงเครียดถึงขีดสุด กลิ่นอายการคุมเชิงที่น่าหวาดกลัวไร้รูปแผ่อวลออกมา
หลายคนต่างหน้าเปลี่ยนสี อกสั่นขวัญแขวน พากันถอยร่น ห่วงว่าจะถูกลูกหลง
วู้ม!
ทว่าในตอนนี้เอง เสียงกัมปนาทที่แปลกประหลาดพลันดังก้องมาจากประตูทลายนั้น ก็เห็นแท่นมรรคปรากฏ พุ่งออกมาจากละอองแสงระเบียบมหามรรคแน่นขนัดและส่องประกายนั่น
แท่นมรรคนี้สูงไม่เกินสามฉื่อ ลักษณะคล้ายดอกบัว ดูเก่าแก่ลายพร้อยเปี่ยมกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ทันทีที่ปรากฏตัวในฟ้าดินแห่งนี้ ก็ปลดปล่อยกลิ่นอายไพศาลที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตออกมาทันที บีบกดจนห้วงอากาศสั่นครืน เหมือนกำลังยอมจำนน
ทุกคนต่างอึ้งไป
ใครก็คิดไม่ถึงว่าขณะที่หมีอู๋หยาใกล้จะเปิดศึกกับหลินสวิน แท่นมรรคที่พวกเขาเฝ้ารออย่างลำบากมาแสนนานนี้ดันปรากฏขึ้น!
จากนั้นทุกคนพลันแตกตื่น ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนต่างขับเคลื่อนพลังดังกึกก้อง จิตต่อสู้ทะลุเมฆ แต่ละคนล้วนเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ
“ให้ตายเถอะ มาได้จังหวะจริงๆ…”
เสวียนจิ่วอิ้นพึมพำกับตัวเอง
หมีอู๋หยาสายตาวูบไหว สุดท้ายก็ทอดถอนใจ “การต่อสู้ชุลมุนใกล้มาเยือน สู้กันตอนนี้คงไม่เหมาะ พี่หลิน เจ้าว่าอย่างไร”
แววตาหลินสวินล้ำลึก มองแท่นมรรคที่พุ่งออกมาจากประตูทลายนั่นแล้วกล่าวง่ายๆ “มิสู้เจ้ากับข้าประชันสูงต่ำในการต่อสู้ชุลมุนนี้เลยเป็นอย่างไร”
……………………………..