Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2034 ความประหลาดใจที่มาโดยกะทันหัน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2034 ความประหลาดใจที่มาโดยกะทันหัน
ทันทีที่รั่วซู่หยุดเท้า แสงสายหนึ่งก็ยิงออกมาจากวังวนเวิ้งฟ้า กึกก้องไปทั่ว แปรสภาพเป็นเงาร่างสีทองที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ ถือกระบี่จักรพรรดิ สวมเกราะจักรพรรดิ รองเท้าหุ้มข้อจักรพรรดิ
ต่างจากเงาร่างสีทองร่างอื่น เงาร่างนี้น่ากลัวถึงขีดสุด มีพลังเจตจำนงไม่ธรรมดา ประหนึ่งทัณฑ์สวรรค์จำแลง
“ให้ข้าจัดการ”
ชั่วขณะนี้ผู่เจินเหมือนเตรียมตัวไว้นานแล้ว กระโจนออกมา พลานุภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตูม!
ผู่เจินเข้าต่อสู้กับเงาร่างสีทองนั้นอย่างดุเดือด
การปะทะอันสูงส่งหาใดเทียบนั้นทำให้หลินสวินไม่อาจมองชัดสักนิด
เขาเห็นเพียงว่าขณะนี้สีหน้าพวกศิษย์พี่รั่วซู่ต่างเคร่งเครียดถึงที่สุด ไม่ได้เยือกเย็นเช่นก่อนหน้านี้
“ศิษย์น้องหลี่” รั่วซู่เอ่ยปาก
“ข้าเข้าใจ พวกท่านไปก่อน”
ดอกบัวสีเขียวหยกดอกหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่เสวียนเวย แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่มรรคเล่มหนึ่งเข้าไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู่เจินโดยไม่ลังเล
หลินสวินรู้สึกหนักอึ้งในใจไปครู่หนึ่ง
ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์พี่อย่างปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิงออกโรง ทั้งยังสามารถสกัดเงาร่างสีทองเหล่านั้นได้ทุกตน
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกัน เงาร่างสีทองที่แปลงจากพลังระเบียบต้องห้ามซึ่งพุ่งออกมาจากวังวนบนเวิ้งฟ้านั้น ยิ่งน่ากลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หาไม่แล้วจะทำให้ศิษย์พี่ผู่เจินกับศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยลงมือร่วมกันได้อย่างไร
“ไป”
รั่วซู่กับจวินหวนไม่ได้อธิบายอะไร พาหลินสวินเดินหน้าต่อ
หลินสวินหันกลับไปอย่างอดไม่ได้
ทางข้างหลังมีการต่อสู้ที่สามารถสะท้านหมื่นกาลได้เกิดขึ้นหลายศึก ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นเหมือนประชันหมากกับฟ้าเบื้องบน แพ้ชนะไม่อาจล่วงรู้
หลินสวินถึงได้รู้ชัดในยามนี้ ปู่ซ่วนจื่อ เซิ่นเหยียน ชิงถิง เฉิงอวี๋ จิ่งจงเยวี่ย หลันชางเจี่ย…
ศิษย์พี่คีรีดวงกมลที่ปรากฏตัวต่อเนื่องก่อนหน้านี้มีแค่เก้าคน
บวกกับรั่วซู่ จวินหวน หลี่เสวียนเวย ผู่เจินกับตัวเขาเอง ยังมีเพียงสิบสี่คนเท่านั้น
“ศิษย์พี่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเราคนอื่นล่ะ”
หลินสวินอดถามไม่ได้
“พอถึงเวลาพวกเขาต้องปรากฏตัวแน่นอน”
จวินหวนสีหน้าราบเรียบ “แต่ว่า… ก็มีศิษย์พี่บางส่วนที่… อาจจะปรากฏตัวอีกไม่ได้แล้ว…”
ในน้ำเสียงเผยความเจ็บปวด
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด “ท่านหมายถึง… พวกศิษย์พี่เก่ออวี้ผูหรือ”
“ไม่ ยังมีศิษย์พี่คนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ศิษย์น้องอย่าถามอีกเลยได้หรือไหม”
แววเจ็บปวดฉายวาบในดวงตาจวินหวน คล้ายว่าการพูดถึงศิษย์พี่ที่ไม่อาจปรากฏตัวขึ้นอีกเหล่านั้น จะเผยความเจ็บปวดและความแค้นที่ผนึกไว้ในส่วนลึกในใจนาง
หลินสวินถึงตระหนักได้ว่า แม้คีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดห้าสิบคน แต่ที่บาดเจ็บร่วงหล่นไป… เกรงว่าจะไม่ใช่ส่วนน้อย!
“ศิษย์น้อง เรื่องในอดีตเหล่านี้เต็มไปด้วยเลือดและความแค้น รอภายหน้าพวกเราตั้งหลักมั่นคงแล้ว จะเอาคืนทีละคนเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน!”
เสียงรั่วซู่ยังนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นเดิม แต่กลับเผยความแค้นเข้ากระดูกออกมา
หลินสวินอัดอั้นตันใจอย่างไม่มีสาเหตุ
ในอดีต ศิษย์พี่ชายหญิงคีรีดวงกมลเหล่านั้นประสบเภทภัยเช่นไรกันแน่
ตูม!
เสียงครั่นครืนกึกก้องจนหูแทบดับระลอกหนึ่งดังขึ้น เงาร่างแสงทองหมื่นจั้งร่างหนึ่งโจมตีมาจากฟ้าอย่างอำมหิตและสูงส่งหาใดเทียบ
“จวินหวน…”
รั่วซู่เพิ่งเอ่ยปาก ก็เห็นว่าจวินหวนกระโจนตัวแกว่งกระบี่พุ่งออกไป สำแดงยอดมรรคกระบี่ถึงขีดสุดแล้ว
เสื้อผ้าที่ปักกลีบกุหลาบสีชมพูเต็มตัวของนางปลิวไสว บนใบหน้างดงามจนหมื่นกาลยังหม่นหมองมีแต่ความแค้นและจิตสังหาร
“ไป”
รั่วซู่สูดหายใจเฮือกหนึ่ง พาหลินสวินเดินหน้าต่อ
ขณะนี้เหลือเพียงนางคนเดียวคุ้มครองหลินสวินออกไป ไม่ลังเล และไม่เคยหันหลัง
คล้ายขณะนี้ความเป็นความตายของพวกหลี่เสวียนเวย ผู่เจิน จวินหวนยังสำคัญไม่เท่าพาหลินสวินออกไป!
หลินสวินรู้สึกกลัวการสูญเสียอยู่ในใจ เขาไม่อาจเป็นเช่นรั่วซู่ ที่ไม่กังวลว่าพวกหลี่เสวียนเวยจะเป็นหรือตาย และยิ่งไม่อาจจากไปอย่างสบายใจเช่นนี้ได้
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ไม่ได้บอกหรือว่าขอเพียงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นมาได้ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวการสังหารของพลังระเบียบต้องห้ามอีกต่อไป พวกเราได้มาแล้ว เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้”
“ยังไม่ถึงเวลา”
เสียงรั่วซู่เจือพลังที่สามารถทำให้สงบใจลงได้ “การประชันหมากครั้งนี้อันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเรารอมาเกือบแสนปีแล้ว ไม่อาจปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้แม้แต่นิดเดียว และมหาสมบัติแรกกำเนิดที่เจ้าได้มานั่นก็เป็นไพ่ตายสุดท้ายของพวกเรา”
หลินสวินเอ่ย “แต่นอกจากมหาสมบัติแรกกำเนิดนี้ ข้ายังมีต้นอ่อนต้นโพธิ์อีกต้นหนึ่ง ผู้อาวุโสจี้เสวียนเคยบอกว่าต้นโพธิ์นี้ถือกำเนิดในแดนปริศนา และยังต้านทานและสลายพลังระเบียบต้องห้ามได้ด้วย”
รั่วซู่ยิ้ม “ถ้าต้นอ่อนต้นนี้โตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่เทียมฟ้า อาจจะสามารถต้านเคราะห์ตรงหน้านี้ได้ แต่ถ้าเป็นเพียงต้นอ่อนก็ไม่ได้หรอก”
นางไม่ได้อธิบายมากนัก
เพราะหลินสวินในตอนนี้ยังไม่อาจเข้าใจถึงความน่ากลัวของพลังระเบียบต้องห้ามได้อยู่ดี
พลังเช่นนี้ปกคลุมไปทั่วหล้าฟ้าดารา กีดกั้นเส้นทางสู่อีกฟากฝั่ง จะเอาชนะได้ง่ายดายปานนั้นได้อย่างไร
หลินสวินยิ่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ตอนนี้เขาถึงรู้สึกได้ถึงความไร้กำลังของตน!
ศิษย์พี่รั่วซู่แข็งแกร่งปานไหน เพียงชั่วดีดนิ้วก็ทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิตกอยู่ในกำมือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังด่านเคราะห์ต้องห้ามนั้นกลับดูเคร่งเครียดได้ปานนั้น
ตนเล่า ยังอยู่แค่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ขนาดระดับจักรพรรดิยังสู้ไม่ได้ เทียบกับศิษย์พี่รั่วซู่แล้วยิ่งห่างชั้นไม่รู้เท่าไร
ถ้าคราวนี้ไม่ได้พวกศิษย์พี่รั่วซู่คุ้มครอง ตนคนเดียวจะหลุดพ้นจากด่านสังหารเต็มฟ้าคราวนี้อย่างไร
ยิ่งคิดในใจหลินสวินก็ยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งเศร้าซึม…
“ศิษย์น้อง!”
ทันใดนั้นเสียงของศิษย์พี่รั่วซู่ก็เหมือนสายฟ้าฟาดดังขึ้นในใจหลินสวิน
“การบำเพ็ญมหามรรคห้ามจิตใจหวั่นไหวเด็ดขาด เจ้าฝึกปราณจนตอนนี้ ไม่ถึงร้อยปีก็มีมรรควิถีเช่นตอนนี้แล้ว ก้าวล้ำความสำเร็จที่คนรุ่นเดียวกันชั่วกาลมีมา จะว่าในกาลนิรันดร์มีเพียงผู้เดียว ครองอำนาจเหนือทั่วหล้าก็ไม่เกินไป อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด!”
“การประชันหมากที่เจ้าได้เห็นในวันนี้ ต่อให้บุคคลระดับจักรพรรดิก้าวเข้ามาก็ต้องจบลงด้วยความตายไม่มีรอด ต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิก็พ้นเคราะห์ได้ยาก เพราะว่านั่นเป็นพลังระเบียบต้องห้าม เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและอัปมงคลที่สุดตั้งแต่โบราณมาจนตอนนี้”
“ถ้าสภาวะจิตของเจ้าถดถอยเพราะเรื่องนี้ ภายหน้า… จะไปพูดถึงการเอาชนะมัน ก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร”
หลินสวินสะท้านไปทั้งตัว ความคิดฟุ้งซ่านกับความรู้สึกแง่ลบในใจถูกขับออกไปราวกระแสน้ำ ถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่งและหนักแน่น
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงตาดำลุ่มลึก มองดูวังวนกลางท้องฟ้านั้นแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่พูดถูก ข้าในตอนนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งข้าจะเหยียบมันไว้ใต้เท้า!”
ประโยคเดียวกึกก้องทรงพลัง
คล้ายว่าประโยคนี้ไปยั่วโมโหพลังระเบียบต้องห้ามนั้น เงาร่างสีทองร่างหนึ่งพุ่งโจมตีออกมาพร้อมเสียงครั่นครืนสะเทือนฟ้าดิน
กลิ่นอายของเงาร่างนี้ถาโถมซัดสาด ถูกระเบียบต้องห้ามแน่นขนัดปกคลุม ประหนึ่งยอดทวยเทพ เพียงแค่กลิ่นอายระดับนั้นก็กดข่มให้ท้องฟ้าสั่นระรัวแล้ว
รั่วซู่สีหน้าเคร่งเครียดอย่างพบเห็นได้ยาก
ก็ในตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้น “ศิษย์พี่ ให้ข้าจัดการเถอะ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้รั่วซู่อึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด พลันเผยแววประหลาดใจ “ศิษย์น้องห้า! เจ้า… อภัยให้ศิษย์พี่แล้วหรือ”
เสียงเจือความสั่นเครือเล็กน้อย
ตูม!
เงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาห้ำหั่นกับเงาร่างสีทองนั้นอย่างดุเดือด
พอได้ยินเสียงของรั่วซู่ เงาร่างนี้จึงหัวเราะร่า “ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้เพราะข้าวู่วามเกินไป กล่าวโทษความตั้งใจของท่าน คราวนี้… ข้ามาชดเชยความผิด!”
ชายหนุ่มท่าทางอวดดี อหังการหาใดเทียบผู้นี้พลังต่อสู้รุนแรง ต่อสู้ราวบ้าคลั่ง ตัวเขาเหมือนภูเขาไฟปะทุพลุ่งพล่านลูกหนึ่ง
รั่วซู่ยิ้มแล้ว ยิ้มจากใจจริง เอ่ยกับหลินสวินว่า “ศิษย์น้อง ผู้นี้คือศิษย์พี่ห้าของเจ้า ฉายามรรค ‘ชื่อจวิน’ พลังต่อสู้ของเขาร้ายกาจกว่าข้ามาก”
น้ำเสียงเผยความยินดีปรีดาหาใดเทียบ
หลินสวินก็ดูออกว่าศิษย์พี่ห้าของตนผู้นี้พลังต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์เป็นที่สุด มีพลานุภาพเหิมเกริมอวดดี สะท้านใจคน
“ศิษย์พี่ ท่านพาศิษย์น้องออกไปก่อน ที่นี่มีข้าชื่อจวินอยู่ ต่อให้เจ้าเฒ่าราชันสวรรค์อยากบุกเข้ามา ก็ต้องถามว่าข้ายอมหรือไม่!”
ชื่อจวินหัวเราะเสียงดัง โจมตีราวบ้าคลั่ง
“ไป”
รั่วซู่พาหลินสวินเดินหน้าต่อ
ไม่นานนักก็มีเงาร่างสีทองอีกร่างหนึ่งพุ่งมา กลิ่นอายน่าสะพรึงถึงที่สุดเช่นกัน
คราวนี้ไม่ทันรอให้รั่วซู่ตอบโต้ เสียงอึกทึกระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น
“ศิษย์พี่สาม พวกเราก็มา”
“ศิษย์พี่สาม หลายปีมานี้… พวกเรากับศิษย์พี่ห้าโทษท่านผิดไป…”
“ศิษย์พี่สาม…”
เงาร่างสายแล้วสายเล่าทั้งหญิงทั้งชายปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนต่างมีกลิ่นอายสะท้านฟ้า ครอบครองพลานุภาพน่ากลัวอันไม่อาจจินตนาการได้
ชั่วขณะเดียวแววตกตะลึงก็ฉายวาบในดวงตารั่วซู่ พอมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น ในใจนางก็ตื่นเต้นและดีใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้
“ที่แท้พวกเจ้าก็มาหมดแล้ว… ดี… ดียิ่งนัก…”
ขณะนี้หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าในดวงตาของศิษย์พี่รั่วซู่มีน้ำตารื้นอยู่รางๆ คล้ายความรู้สึกที่กดข่มมานานในส่วนลึกของจิตใจผุดออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้ในชั่วขณะนี้
ครั้นมองดูเหล่าศิษย์พี่ชายหญิงที่ทยอยมาเยือนไม่ขาดสายนั้น ความซาบซึ้งระลอกหนึ่งผุดขึ้นในใจหลินสวินอย่างอดไม่ได้
เขามองออกแล้วว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านี้ในอดีตคล้ายเข้าใจศิษย์พี่สามผิด และขัดแย้งกันเพราะเหตุนี้เหมือนกับศิษย์พี่ห้าชื่อจวิน
แต่ตอนนี้ พวกเขามาด้วยกันแล้ว!
“ศิษย์น้องซิงเชวีย เจ้าไปกำจัดวิญญาณต้องห้ามนี้ คนอื่นมากับข้า เคลื่อนไหวร่วมกับศิษย์พี่รั่วซู่”
ชายหนุ่มชุดดำร่างสูงโปร่ง สูงตระหง่านดั่งภูผาคนหนึ่งตะโกนออกคำสั่ง
เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่มาเยือนต่างรับคำสั่ง เริ่มออกเคลื่อนไหว
ยามนี้รั่วซู่จึงกลับมาสงบใจได้ ไม่ได้ปฏิเสธ คุ้มครองหลินสวินพลางเคลื่อนไหวต่อ ท่ามกลางเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ห้อมล้อมหนาแน่น
ระหว่างทางรั่วซู่บอกฐานะของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ให้หลินสวินรู้ทีละคนอย่างรวดเร็ว
นอกจากศิษย์พี่ห้าชื่อจวินแล้ว ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนอื่นที่มามีทั้งสิ้นหกคน อยู่ลำดับต่างๆ กันไป ฉายามรรคก็แตกต่างกัน แต่ละคนล้วนมีความสง่างามและพลานุภาพไม่เหมือนกัน
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกฮึกเหิมไปครู่หนึ่งเช่นกัน ขณะนี้คีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดยี่สิบเอ็ดคนมารวมตัวกันที่นี่แล้ว!
ก่อนหน้านี้หลินสวินคิดไม่ถึงสักนิด ว่าในการประชันหมากเทียบฟ้าที่อันตรายหาใดเปรียบนี้ จะยังมีเรื่องประหลาดใจน่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
ระหว่างทางรอยยิ้มรั่วซู่แจ่มกระจ่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “ผ่านไปหลายปี พวกเราทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง ต่อให้ข้า… เกิดเหตุไม่คาดฝันในศึกนี้ ในใจก็ไม่รู้สึกผิดอีกแล้ว…”