Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2060 สมองเสื่อมสมชื่อตัว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2060 สมองเสื่อมสมชื่อตัว
หลินสวินเปิดประตูรั้ว
“เจ้านี่แม่งหูหนวกหรืออย่างไร ถึงกับปล่อยให้นายน้อยของพวกเรารอนานเช่นนี้!”
มือของผู้ติดตามคนนั้นที่กำลังเคาะประตูค้างอยู่กลางอากาศ ถือโอกาสฟาดใส่หน้าหลินสวิน
แค่พอฟังไม่เข้าหูก็ลงมือโดยตรง!
เห็นได้ชัดว่าผู้ติดตามคนนี้วางอำนาจแผลงฤทธิ์จนเคยชิน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้แน่
หลายปีนี้หลินสวินเจอเรื่องพวกนี้น้อยมาก จึงรู้สึกผิดคาดอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้
แต่การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ช้า
ฝ่ามือที่ผู้ติดตามซัดมาถูกหลินสวินคว้าไว้ได้ ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้เพียงคืบ
ที่ทำพาให้คนคาดไม่ถึงคือ ผู้ติดตามคนนี้ไม่ตระหนกกลับขุ่นเคือง เอ่ยว่า “ไอ้เจ้าสุนัข เจ้ายังกล้าต่อต้านอีกหรือ เบื่อชีวิตแล้วสินะ”
เขาพูดพลางเตะหลินสวิน
แข็งกร้าวยิ่งนัก ประหนึ่งว่าเขาลงมือได้คนเดียว ส่วนอีกฝ่ายได้แต่ตั้งท่ารอรับหมัดเท่านั้น
ผู้ติดตามคนหนึ่งยังกล้าหยิ่งผยองเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องมีความมั่นใจอย่างมาก มิฉะนั้นคนแบบนี้คงถูกฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!
กร๊อบ!
เท้าข้างหนึ่งของผู้ติดตามคนนี้เพิ่งเตะออกมา ข้อมือของเขาก็ถูกหลินสวินบิดจนหัก เจ็บจนเขาแผดเสียงร้องโหยหวน เงาร่างซวนเซ ถูกหลินสวินกำราบให้คุกเข่าโดยตรง
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้จบในรวดเดียว
หลินสวินไม่เคยส่งเสียง สีหน้าเรียบเฉย แต่ในดวงตาดำกลับฉายแววเยียบเย็น
มาหาเรื่องถึงที่โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ยามเคาะประตูยังป่าเถื่อนไร้เหตุผลเช่นนั้น พอเพิ่งเปิดประตูก็ทำตัวหยิ่งผยองและจองหองอีก หากไม่ใช่ว่ายังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด หลินสวินคงฆ่าไอ้เจ้าคนไม่รู้จักดีชั่วนี่ไปนานแล้ว
“บังอาจ!”
“เจ้ากล้าลงมือกับคนของ ‘เขาอสูรดาว’ อย่างพวกเรารึ!”
“ช่างรนหาที่ตายซะจริง…”
เหล่าผู้ติดตามซึ่งอยู่ข้างกายชายที่สวมชุดคลุมกระเรียนแดงเพลิงนั้นพากันตวาด จ้องหลินสวินเขม็ง ท่าทางไม่กล้าเชื่อ
ชายวัยกลางคนแห่งเรือนเร้นหมอกคนนั้นก็อึ้งไป สื่อจิตกล่าวอย่างรวดเร็ว ‘ผู้อาวุโส ท่านต้องใจเย็นลงก่อน ยอมอ่อนข้อให้สักหน่อย พวกนี้ล้วนเป็นคนของเขาอสูรดาว…’
จากคำอธิบายของชายวัยกลางคน เขาอสูรดาวก็คือขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งของโลกมืด อิทธิพลเป็นรองแค่สามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด
ชายที่สวมชุดคลุมกระเรียนแดงเพลิงนั้นก็คือทายาทสายตรงของเจ้าสำนักแห่งเขาอสูรดาว นามว่าสือเล่อจื้อ ฐานะสูงส่งหาใดเปรียบ
สถานที่ซึ่งปั่นป่วนอันตรายอย่างโลกมืด ไม่เคยขาดบุคคลร้ายกาจที่เหี้ยมโหดป่าเถื่อน แต่กลับมีน้อยคนนักที่ยอมล่วงเกินสือเล่อจื้อ
สาเหตุอยู่ที่บิดาผู้อาวุโสของเขาเป็นจอมมารที่ปกป้องพวกตัวเองอย่างมาก นิสัยก็อันธพาลเกเรฉุนเฉียวเป็นอย่างยิ่ง มีฉายาว่า ‘จักรพรรดิมารกลืนเงา’ !
ทั้งอิทธิพลของเขาอสูรดาวก็แข็งแกร่งเหลือประมาณ โดยเฉพาะหลายปีนี้ยังมีทีท่าทีว่าจะตามสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืดทันอยู่รางๆ
“หึ น่าสนใจ”
สือเล่อจื้อที่สวมชุดคลุมกระเรียนแดงเพลิงยิ้มหัวเราะขึ้นมา
ผู้ติดตามที่ถูกกำราบอยู่บนพื้นนั่นตะเกียกตะกายขึ้นมา กล่าวอย่างคับแค้นใจ “นายน้อย ท่านต้องออกหน้าตัวแทนข้านะขอรับ!”
“ยังขายหน้าไม่พอหรือ”
สือเล่อจื้อซัดฝ่ามือลงไป
ปึง!
ศีรษะของผู้ติดตามคนนี้ระเบิดออกตรงๆ เลือดสดสาดกระเซ็น มุกโลหิตสองสามหยดกระเด็นเปื้อนใบหน้าของสือเล่อจื้อ แต่เขากลับไม่ใส่ใจ แลบลิ้นออกมาเลียเบาๆ พาให้คนกลัวจนตัวสั่นงันงก
พวกผู้ติดตามข้างกายเขาแต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี เงียบกริบดังจักจั่นเดือนหนาว
“สหาย เมื่อครู่ผู้ติดตามคนนี้ของข้าไร้มารยาทเกินไป ตอนนี้เขาได้จ่ายค่าตอบแทนแล้ว”
สือเล่อจื้อมองไปยังหลินสวิน น้ำเสียงอึมครึม “คำโบราณกล่าวไว้ดีแล้ว ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เจ้าบีบบังคับให้ผู้ติดตามคนนี้ของข้าคุกเข่าต่อหน้าข้า ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างด้วยหรือไม่”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างเหงื่อกาฬท่วมศีรษะ รีบร้อนกล่าว “คุณชายสือ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญของเรือนเร้นหมอกของข้า ท่านช่วยผ่อนปรนสักหน่อยได้หรือไม่”
“ถ้าเจ้าพูดมากอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
สือเล่อจื้อเหลือบมองเขาเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนหุบปากทันที ส่งสายตามาทางหลินสวินไม่หยุด คล้ายกำลังบอกเขาว่าทนได้ก็ทน อย่าวู่วามเด็ดขาด
หลินสวินกลับทำเหมือนมองไม่เห็น พลางกล่าวว่า “ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง หายไปจากตรงหน้าข้าตอนนี้ มิฉะนั้นต้องรับผลที่ตามมาเอง”
สือเล่อจื้ออึ้งไปสักพัก คล้ายไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
พวกผู้ติดตามข้างกายเขาก็สีหน้างงงวยกันหมด ราวกับคล้ายไม่อยากกล้าเชื่อว่ายังมีคนที่กล้าพูดกับนายน้อยของพวกเขาเช่นนี้
“เหมือนว่าเจ้าจะมีความมั่นใจมากสินะ”
สายตาสือเล่อจื้อประเมินหลินสวิน เหมือนได้รู้จักกันใหม่อีกครั้ง
แต่ด้วยสายตาของเขา ย่อมมองไม่ออกแต่แรก ว่าชายหนุ่มที่กลิ่นอายราบเรียบไม่ลึกลับซับซ้อนตรงหน้านี้เป็นคนที่น่ากลัวแค่ไหน
ประกอบกับตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้เขาแผลงฤทธิ์จนเคยชิน ต่อให้เจอคนที่แข็งแกร่งกว่า ก็ไม่กล้าหาเรื่องเขาง่ายๆ ด้วยหวาดกลัวฐานะของเขา
ดังนั้นท่าทีแข็งกร้าวที่หลินสวินเผยให้เห็นตอนนี้ กลับทำให้สือเล่อจื้อไม่คุ้นชินนัก
เขาขมวดมุ่นคิ้วเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้านั่งยานมาโลกมืดครั้งแรกใช่ไหม”
นี่เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง
เพียงแต่หลินสวินกลับหงุดหงิดอยู่บ้างแล้ว
สำนักเก่าแก่จรัสเทพสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์สองในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ล้วนถูกเขาฆ่าไปไม่รู้กี่คน ไหนเลยจะมาใส่ใจคุณชายคนหนึ่งของเขาอสูรดาว
แววตาเขาเยียบเย็น มองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าว “หากข้าสังหารพวกเขา เรือนเร้นหมอกของพวกเจ้าจะติดร่างแหด้วยหรือไม่”
ประโยคเดียวทำเอาพาให้ชายวัยกลางคนขนลุกขนชันไปทั้งตัว รีบร้อนกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะๆ มีอะไรพูดกันดีๆ ทำไมต้องต่อยตีสังหารกันด้วยเล่า”
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าได้ยินไหม เจ้าหมอนี่ถึงกับประกาศว่าจะฆ่าพวกเราด้วย”
สือเล่อจื้อโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ เขาคิดว่าตนอดทนมาพอแล้ว ใครจะคิดว่าคนตรงหน้านี้กลับไม่รู้ดีชั่วอย่างสิ้นเชิง!
ผู้ติดตามพวกนั้นต่างหัวเราะขึ้นมา แววตาเยียบเย็น แค่มองก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่มาโลกมืดเป็นครั้งแรก ไม่รู้จักพลังที่เขาอสูรดาวมีเลยสักนิด!
“ยังไม่รีบไสหัวมาขอโทษนายน้อยของข้าอีก?”
คนผู้หนึ่งตวาดลั่น ไอสังหารแผ่กระจายไปรอบตัว
ผู้ติดตามคนอื่นก็พากันตวาดขึ้นมา แต่ละคนเผยไอสังหาร
“โง่งมก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
สุดท้ายหลินสวินก็ทนไม่ไหว ถอนหายใจเบาๆ
ตูม!
ครู่ต่อมาไอสังหารที่น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุดพุ่งปกคลุมฟ้าดินราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หลินสวินที่เดิมทีดูเรียบง่ายไร้ความไม่พิเศษในสายตาของทุกคน เวลานี้เหมือนเปลี่ยนเป็นเทพที่ก้าวออกมาจากนรกสังหาร!
ตึงๆๆ!
เสียงตึงๆ วุ่นวายดังรวนขึ้นระลอกหนึ่ง ผู้ติดตามพวกนั้นล้วนไม่ทันดิ้นรน ก็ถูกอานุภาพน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวของหลินสวินบีบกดจนคุกเข่า แต่ละคนหัวทิ่มพื้น กระดูกเข่าล้วนแตกละเอียด เสียงร้องโหยหวนต่อเนื่องเป็นระลอกดังก้องตามมา
“ไม่…!”
สือเล่อจื้อแผดเสียงคำราม ผมยาวพลิ้วไหว พยายามดิ้นรนสุดกำลัง
แต่เพียงพริบตาร่างกายก็ล้มคว่ำไปกับพื้นเหมือนถูกภูเขาเทพบีบกดทับ หมอบฟุบเหมือนหมาดมขี้ ผิวหนังแตกออกทั่วทุกที่ เลือดหลั่งออกมาไม่ขาดสาย
ชายวัยกลางคนอึ้งงันราวกับถูกฟ้าผ่า
ผู้ติดตามพวกนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากเขาอสูรดาว คนที่แข็งแกร่งมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ คนที่อ่อนแอก็มีพลังระดับราชันอริยะ
แต่ตอนนี้ล้วนไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกกำราบ!
ที่น่ากลัวที่สุดคืออีกฝ่ายยังล้วนไม่ทันได้ลงมือ แค่เพียงแค่อานุภาพที่แผ่ออกมาจากร่าง ก็ทำให้พวกเขาไร้แรงดิ้นรนต้านทานแล้ว!
ต้องรู้ว่าขุมอำนาจในโลกมืดไม่เหมือนโลกภายนอก ผู้สืบทอดที่รวมตัวกันในแต่ละสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่ระหกระเหินมาอยู่ในโลกมืด ไม่ขาดแคลนพวกเหี้ยมโหดป่าเถื่อนที่ใบดาบลิ้มรสเลือด
โดยเฉพาะเขาอสูรดาว ผู้สืบทอดทั้งสำนักมีชั่วเลวปะปน มีคนชั่วที่เข้าพงเป็นโจรป่า มีพวกเถื่อนที่สองมือย้อมคาวเลือด และมีปีศาจที่ก่อความผิดมหันต์ในโลกภายนอก…
ในกลุ่มผู้ติดตามข้างกายสือเล่อจื้อเหล่าพวกนั้น ก็ไม่ขาดแคลนพวกเหี้ยมโหดเช่นนี้
แต่ตอนนี้ทั้งหมดล้วนคุกเข่า!
รวมถึงผู้สูงศักดิ์หาใดเปรียบอย่างสือเล่อจื้อก็ไม่มีข้อยกเว้น!
พอมองหลินสวินอีกครั้ง สายตาของชายวัยกลางคนพลันเจือความกริ่งเกรงอย่างสุดซึ้ง
“ว่ามา ทำไมถึงมาหาข้า”
หลินสวินก้มมองสือเล่อจื้อที่อยู่บนพื้น แววตาล้ำลึก
“ถ้ามีปัญญาก็ฆ่าข้าซิ!”
สือเล่อจื้อสีหน้าเดือดดาล ดวงตาปูดโปนแทบถลน เขาแพ้หมดรูปเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต และเป็นครั้งแรกที่ลิ้มรสชาติของการคุกเข่ารับความอัปยศ
“พวกเจ้าใครจะพูด”
สายตาหลินสวินมองไปยังผู้ติดตามพวกนั้น
ผู้ติดตามพวกนี้มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครตอบ
หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง
ปึง!
หว่างคิ้วของผู้ติดตามคนหนึ่งถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่ชุ่มเลือด ตายคาที่อย่างไร้สุ้มเสียง
“เจ้าว่ามาซิ”
สายตาหลินสวินมองไปยังหนึ่งในนั้น
คนผู้นี้สั่นไปทั้งตัว กล่าวเสียงสั่นเครือ “นายน้อย… ได้ยินว่าเจ้านำป้ายคำสั่งหยกม่วงของแม่นางชิงอิงนั่งยานนี้มา จึงสงสัยว่าเจ้าอาจมีเรื่องปิดบังบางอย่างกับแม่นางชิงอิง ก็เลยคิดจะมา… มาถามสักหน่อย”
หลินสวินขมวดมุ่นคิ้ว
ชิงอิงก็คือหญิงสาวที่ถือร่มโลหิต สวมชุดกระโปรงเขียว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายประหลาดและลึกลับคนนั้น
ปีนั้นที่โลกใต้ดินในเมืองหลินอัน หลินสวินก็เคยถูกความเจิดจรัสเฉพาะตัวที่ผู้หญิงคนนี้เผยออกมาทำให้ตกตะลึง
ผู้หญิงคนนี้เคยมอบป้ายคำสั่งสีม่วงแผ่นหนึ่งให้หลินสวิน เพื่อเป็นการชดเชยแก่เขา
ครั้งนี้หลินสวินนั่งยานข้ามแดนยานข้ามโลกของเรือนเร้นหมอก ทั้งยังได้เข้ามาอยู่ในเรือนเดี่ยวชั้นสูงที่สุดนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะเขาถือป้ายคำสั่งสีม่วงแผ่นนั้นมา จึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษเช่นนี้
เขาพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งสีม่วงนั้นปรากฏออกมา “เพราะสิ่งนี้หรือ”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ป้ายคำสั่ง”
ผู้ติดตามคนนั้นลังเลเล็กน้อย ไม่สนใจสายตาที่เกือบฆ่าคนได้ของสือเล่อจื้อ เอ่ยอย่างฝืนใจ “ผู้คนในโลกมืดนี้ล้วนรู้ว่านายน้อยของข้าหลงรักแม่นางชิงอิง มองเห็นนางเป็นเลือดเนื้อจิตใจ…”
คราวนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจ ที่แท้เป็นเพราะป้ายคำสั่งแผ่นนี้ที่ตนได้มา ทำให้สือเล่อจื้อสงสัยว่าตนมีความสัมพันธ์คลุมเครืออันดีกับชิงอิง ด้วยเหตุนี้จึงมาด้วยท่าทีเหิมเกริม ต้องการสืบเสาะหาข้อเท็จจริง
“ตามเกี้ยวผู้อื่นไม่สำเร็จแม่นางเขาไม่ได้ ก็ขวางไม่ให้คบหากับความสัมพันธ์ของคนใครอื่น เจ้านี่เผด็จการเสียจริง” หลินสวินยิ้มหยัน
สือเล่อจื้อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับชิงอิงกันแน่”
“ไม่มีความสัมพันธ์”
หลินสวินตอบลวกอย่างสบายๆ
แต่สือเล่อจื้อกลับไม่เชื่อ กล่าวขุ่นเคือง “ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ นางจะมอบ ‘ป้ายคำสั่งหยกม่วง’ ที่พกติดตัวให้กับเจ้าหรือ นั่นเป็นถึงสมบัติล้ำค่าที่นางพกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก! หลายปีนี้ที่ข้าไล่ตามนาง นางไม่เคยนำออกมาให้ข้าเห็นสักครั้ง!”
“แต่ตอนนี้ป้ายคำสั่งนี่กลับตกอยู่ในมือเจ้า เจ้ายังพูดว่าไม่มีความสัมพันธ์กับนาง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่จริงหรือ”
น้ำเสียงเจือความแค้นยากปกปิด
หลินสวินสีหน้าแปลกไป สายตาเจือแววประหลาด วุ่นวายตั้งนาน ด้วยเจ้าหมอนี่แค่เพราะริษยาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็วิ่งมาหาเรื่องตน…
เขาอดกล่าวไม่ได้ “ชื่อของเจ้าไม่เลวนัก”
สือเล่อจื้ออึ้งไป “หมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินตอบอย่างจริงจัง “ข้าว่าเจ้าสมองเสื่อมจริงๆ” (สมองเสื่อม ภาษาจีนออกเสียงว่า ซือเลอจื้อ)