Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2101 มองคนเป็นเดรัจฉาน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2101 มองคนเป็นเดรัจฉาน
เมืองซีลั่ว
หนึ่งในเมืองมากมายที่ ‘เจ้าแคว้นเจินเจวี๋ย’ หนึ่งในหกเจ้าแคว้นใหญ่แห่งแคว้นพิณบูรพาครอบครอง
ในหอสุราแห่งหนึ่ง ตรงตำแหน่งข้างหน้าต่าง
หลินสวินในชุดสีขาวพระจันทร์กลิ่นอายราบเรียบราวกับเมฆดื่มกินเพียงลำพัง ในหัวคิดถึงแผนที่ในคันฉ่องทองแดงนำทาง
ตั้งแต่ออกจากแคว้นหนาวเหน็บจนถึงตอนนี้ เขาผ่านมาห้าเขตแคว้น เดินทางมาเดือนกว่าแล้ว
และเมื่อเทียบกับแผนที่ไปยังแดนอำพราง ก็เดินทางมากว่าครึ่งทางแล้ว หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน อีกประมาณยี่สิบวันก็จะถึงแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าหอสุรา ผู้นำเป็นเฒ่าชราผมขาว แผ่วพลิ้วราวกับเซียน ท่าทางน่าเกรงขาม
ข้างๆ เป็นชายหญิงกลุ่มหนึ่ง
การมาของพวกเขาดึงดูดความสนใจของแขกจำนวนไม่น้อยในหอสุรา
เหตุผลเพราะว่ากลิ่นอายบนตัวพวกเขาแตกต่างจากคนในโลกมืดมาก มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์สง่างาม เย่อหยิ่ง สว่างไสวราวกับแสงแรกแห่งตะวันที่ไม่ปกปิดความพร่างพราวบนร่างสักนิด
และโดยทั่วไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในโลกมืดมาเป็นเวลานาน แต่ละคนล้วนแฝงความดุดัน รุนแรงและเหี้ยมโหด เหมือนหมาป่าหิวโหยที่พร้อมสู้สุดชีวิตอยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถล้วนแฝงกลิ่นอายห้าวหาญ
นี่คือกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงโลกมืด ยังไม่ได้ถูกสภาพแวดล้อมอันคาวเลือดและปั่นป่วนแปดเปื้อน!
ตอนที่การคาดเดานี้ปรากฏขึ้นในหัวแขกเหล่านั้น สายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างเปลี่ยนไป
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นภาพนี้ ถึงขั้นสามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำ ว่าในใจแขกเหล่านั้นมีความดีใจ กระหายและไอสังหารพลุ่งพล่าน
ก็เหมือนหมาป่าหิวโหยฝูงหนึ่ง จับจ้องแกะอ้วนกลุ่มหนึ่ง
ทว่าหลินสวินเองก็ดูออกว่าหากคนเหล่านี้กล้าลงมือ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เฒ่าชราที่เป็นผู้นำ ก็เป็นระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่งเช่นกัน!
นอกจากนี้เหล่าผู้ติดตามข้างกายเขา หลายคนล้วนมีพลังของระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าขั้นสมบูรณ์!
ด้วยจุดนี้ ไม่อยากดึงดูดความสนใจของหลินสวินยังยาก
ควรรู้ว่าเดิมมกุฎกึ่งจักรพรรดิก็หายากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวหลายคน อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าล้วนมาจากขุมอำนาจเดียวกัน นี่ไม่ธรรมดามาก
กลุ่มของเฒ่าชราผมขาวนั่งลง สั่งสุราและอาหาร
หญิงสาวงดงามไร้ที่ติซึ่งคาดเข็มขัดใยทอง สวมชุดหรูหราคนหนึ่งในนั้นกวาดมองรอบๆ แล้วขมวดคิ้วพูด “กลิ่นอายของที่นี่ช่างน่ารังเกียจจริงๆ”
ประโยคเดียวทำให้หลายคนต่างเห็นด้วย
ชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งโบกพัดหยกพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ศิษย์น้องหลันหลิง ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือโลกมืด เต็มไปด้วยอันตราย ผู้คนเหี้ยมโหดดุดัน จะเอาโลกใหญ่หงเหมิงของพวกเรามาเทียบได้ซะที่ไหน”
ในคำพูดเผยความรู้สึกเย่อหยิ่งและเหนือกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แขกที่อยู่บริเวณนั้นหยุดพูดคุย แต่ละคนสายตาวูบไหว แต่ไม่ได้ส่งเสียง เพียงแต่ในใจคิดอย่างไรนั้น มีเพียงพวกเขาที่รู้ดี
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหลันหลิงพยักหน้าพูด “ศิษย์พี่เฟ่ยหล่างพูดถูก ข้าเองก็เคยได้ยินว่าโลกมืดถูกมองเป็น ‘แดนหมื่นอันตราย’ และมีเพียงพวกดุร้ายป่าเถื่อนไม่มีที่ยืนในโลกทั่วหล้า จึงหนีมาหลบภัยที่นี่”
คำพูดของพวกเขาไม่เกรงกลัว ไม่ปกปิดเลยสักนิด และเหมือนไม่กลัวคนได้ยิน ดูมั่นใจเต็มเปี่ยม
จู่ๆ เฒ่าชราหนวดเคราขาวดังหิมะ แผ่วพลิ้วดุจเซียนที่เป็นผู้นำก็หัวเราะขึ้นมา “มาถึงที่นี่ หากพวกเจ้ารู้สึกอึดอัดก็ลงมือได้เลย ความองอาจและความสุภาพไม่เคยมีในโลกมืด”
ประโยคเดียวทำให้ชายหญิงเหล่านั้นตาเป็นประกาย
ปัง!
ผู้ดูแลหอสุราเดินมา วางเหล้าและอาหารลงด้วยท่าทางหยาบกระด้าง เอ่ยว่า “ทั้งหมดเก้าหมื่นผลึกมรรค ใครจ่าย”
พวกเฟ่ยหล่าง หลันหลิงต่างอึ้งงัน
บนโต๊ะมีเพียงแค่เหล้าสองกา และอาหารพื้นๆ สี่จาน หากอยู่โลกภายนอก อย่างมากก็ไม่กี่พันผลึกมรรคเท่านั้น
แต่ที่นี่กลับกล้าเรียกเก้าหมื่นผลึกมรรค!
“เจ้าคงไม่ได้จะมองพวกเราเป็นแกะอ้วนกระมัง” เฟ่ยหล่างสีหน้าทะมึนลง
ผู้ดูแลกล่าวยิ้มเยาะ “ทุกท่าน นี่เป็นถึงโลกมืด ขาดแคลนทรัพยากร แห้งแล้งอย่างที่สุด โดยเฉพาะการเปิดหอสุราในแดนโกลาหลนี้จะต้องลงทุนมหาศาล ราคาเหล้าและอาหารที่นี่ แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับโลกภายนอกได้”
พวกเฟ่ยหล่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
แขกที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งพูดเสียงขรึม “พวกเจ้าเพิ่งมา เก้าหมื่นผลึกมรรคไม่แพงจริงๆ ไม่เชื่อก็ลองถามคนอื่นๆ”
“ดูพวกเจ้าแต่ละคนสวมใส่เสื้อผ้าก็ไม่ธรรมดา คิดว่าเป็นพวกที่สุดยอดเสียอีก ใครจะคิดว่า… จะถือสากับเก้าหมื่นผลึกมรรค น่าขันจริงๆ”
“จ่ายไม่ไหวก็รีบไสหัวไป”
แขกคนอื่นๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา
หลินสวินดูอยู่เงียบๆ เขารู้ว่าการหยั่งเชิงได้เริ่มขึ้นแล้ว หากคนที่เพิ่งมาเหล่านี้แสดงความขี้ขลาดออกมาเพียงเสี้ยวเดียวก็จะถูกจับจ้อง
แต่หลินสวินเองก็รู้ดีว่า การหยั่งเชิงเช่นนี้… ต่ำชั้นมาก
พวกเฟ่ยหล่าง หลันหลิงแต่ละคนสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีผลึกมรรค แต่รู้สึกเหมือนถูกหลอกอยู่
เพียงแต่พวกเขาเองก็สงสัยว่าเก้าหมื่นผลึกมรรคนี้เป็นราคาในท้องตลาดหรือไม่ หากเข้าใจผิดเองจริงๆ ก็จะเป็นการเอาเปรียบผู้ดูแลหอสุราคนนี้ไม่ใช่หรือ
ปัง!
กลับเห็นเฒ่าชราผมขาวยกมือขึ้น หน้าโต๊ะสุราที่อยู่ไม่ไกลนัก ชายที่ส่งเสียงขรึมคนนั้นถูกสังหารตรงๆ ร่างล้มลงพื้น
ร่างกายแม้จะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่จิตวิญญาณของเขาถูกกำจัดไปแล้ว!
บรรยากาศที่เดิมคึกคัก พลันถูกความกดดันและเงียบสงัดเข้าแทนที่ แขกที่นั่งอยู่ต่างอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
ในประสบการณ์ของพวกเขา คนใหม่ที่เพิ่งมาโลกมืดแม้ศักยภาพจะแข็งแกร่งแค่ไหน ในตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนก็จะมีความอดทนอย่างมาก
ใครจะคิดว่าเฒ่าชราคนนั้นกลับลงมือฆ่าคนโดยไม่พูดอะไรสักคำ!
ผู้ดูแลหอสุรารับรู้ได้ถึงความไม่เข้าที ยกเท้าหมายจะหนี ทว่าพริบตาถัดมาเงาร่างของเขากลับส่ายไหวเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นล้มลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาเบิกโพลง เต็มไปด้วยความงุนงง
ภาพนี้ทำให้พวกหลันหลิง เฟ่ยหล่างเองก็อึ้งงันเช่นกัน
คนที่ส่งเสียงเยาะเย้ยนั่นอาจจะสมควรตาย แต่ผู้ดูแลหอสุราคนนี้… เหมือนว่าจะไม่สมควร
และตอนนี้เอง เฒ่าชราผมขาวพูดเรียบๆ “ในโลกมืดฆ่าคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”
“จำไว้ว่าพวกเราไม่เหมือนพวกเขา พวกเขาเป็นพวกชั่วที่เข้าสู่เส้นทางสายมืด ทุกคนล้วนมีโทษสมควรตาย”
“ไม่ฆ่าพวกเขาถือเป็นความเมตตา ฆ่าพวกเขาเป็นการทำความดีแทนฟ้า ช่วยประชาชนทั่วหล้ากำจัดเภทภัย”
“ว่ากันถึงแก่น ขอเพียงแค่พวกเจ้ามีความสุข แม้ฆ่าล้างเมืองก็เป็นการทำดีเพื่อโลกหล้า ไม่จำเป็นต้องมีกังวลใดๆ”
เฒ่าชราท่าทางสง่างาม คำพูดแม้จะเรียบเฉย สิ่งที่เผยออกมากลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม นั่นเป็นความดูถูกจากขั้วกระดูก
พวกเฟ่ยหล่างและหลันหลิงตาเป็นประกาย คล้ายว่าเข้าใจกระจ่างแล้ว
บรรดาแขกที่นั่งอยู่แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไป ร้อนๆ หนาวๆ จู่ๆ พวกเขาก็พบว่านี่เป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเสือหุ้มหนังแกะ
แขกหลายคนอดลุกขึ้นไม่ได้ หมายจะออกจากที่นี่
ฟุ่บ!
จู่ๆ เฟ่ยหล่างก็ลุกขึ้นชักดาบฟันออกไป ปราณดาบงดงามโฉบพุ่ง กะพริบเบาๆ คราหนึ่งก็ฟันศีรษะของแขกหลายคนลง
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ แม้ปราณดาบจะดุดันเผด็จการ แต่ไม่กระเทือนหอสุราเลยสักนิด ไม่เช่นนั้นหอสุราแห่งนี้คงถูกดาบเดียวทำลายในชั่วพริบตา
ซ่า…
เลือดสดสาดกระเซ็น ศพหัวขาดหลายร่างร่วงลงพื้น
เฟ่ยหล่างเก็บดาบเข้าฝัก สีหน้าแฝงความคึกคัก เอ่ยว่า “อาจารย์ลุง จู่ๆ ข้าก็พบว่าโลกมืดแห่งนี้ช่างเป็นที่ที่ดีในการเดคี่ยวกรำวิชายุทธ์”
“ในโลกภายนอก อยากจะต่อสู้และเข่นฆ่ามีกรอบและข้อจำกัดมากเกินไป ต้องกังวลหลายเรื่อง แต่อยู่ที่นี่สามารถเข่นฆ่าได้ตามชอบใจ!”
พวกหลันหลิงอึ้งงัน มองเฟ่ยหล่างที่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พันธนาการบางอย่างในใจคล้ายถูกทำลาย
เฒ่าชราผมขาวชื่นชมพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าทำถูกแล้ว มีเพียงเคี่ยวกรำผ่านประสบการณ์นองเลือดและเกี่ยวข้องกับความเป็นตาย จึงจะเป็นหินลับมีดที่ดีที่สุด ในโลกภายนอกมีผู้สืบทอดสำนักโบราณมากมายล้วนเลือกมาฝึกฝนที่โลกมืด ก็เพื่อใช้การเข่นฆ่าเคี่ยวกรำตัวเอง คนแบบนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกหลอม”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถลงมือกับพวกเขาได้งั้นหรือ”
หลันหลิงอยากรู้อยากลอง
เฒ่าชราผมขาวหัวเราะลั่น “แน่นอน เจ้าสามารถมองพวกเขาเป็นต้นหญ้า เป็นหมูหมา เป็นเดรัจฉาน… สรุปแล้วอย่ามองพวกเขาเป็นคนเหมือนตัวเองก็พอแล้ว”
หลินสวินที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดขมวดคิ้ว คำพูดประโยคนี้เท่ากับด่าเขาไปด้วย
โดยเฉพาะทัศนคติของเฒ่าชราคนนี้ ราวกับมองโลกมืดเป็นโรงฆ่าสัตว์ ไม่เห็นคนที่นี่เป็นคน
ทำให้หลินสวินต่อต้านเล็กน้อย
เขามายังโลกมืดเกือบครึ่งปีแล้ว แต่ไม่เคยมองคนอื่นเป็นเดรัจฉาน ในใจยึดมั่นเพียงแนวคิดที่ว่า ‘ใครไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็จะไม่ล่วงเกิน’
และไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ตามอำเภอใจ
ต่อให้เขาจะรู้ดีว่าในโลกมืดแทบไม่เจอคนดี แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ใครจะสามารถฆ่าคนตามอำเภอใจได้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความคิดที่ปะทุขึ้นมาเท่านั้น หลินสวินยังไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้
“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ท่านโปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!”
แขกเหล่านั้นต่างตกใจ คุกเข่าลงพื้นดังตุบเพื่ออ้อนวอน
“สารเลวอย่างพวกเจ้า ยังจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือ”
หลันหลิงสูดหายใจลึก พลิกมือหยก แสงประกายแดงเพลิงแถบหนึ่งม้วนตัวออกไป
ชั่วพริบตาก็มีคนถูกเผาตาย กลายเป็นขี้เถ้าปลิวว่อน
และมีคนบางส่วนแตกตื่น หมายจะพุ่งหนีออกจากประตู แต่กลับถูกพวกเฟ่ยหล่างร่วมมือกันสังหารจนสิ้น
คาวเลือดเข้มข้น ในสายตาของพวกเขาแต่ละคนแฝงความฮึกเหิมเสี้ยวหนึ่ง
มีคนอดเคลื่อนสายตามองมาทางหลินสวินที่ไม่เคยเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ในแววตามีไอสังหารพลุ่งพล่าน
อันที่จริงในหอสุราตอนนี้ นอกจากพวกเฟ่ยหล่างแล้วก็เหลือเพียงแขกอย่างหลินสวินคนเดียวที่ยังนั่งอยู่
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเฒ่าชราผมขาวเอ่ยปาก หยุดการกระทำของพวกเฟ่ยหล่าง
เขาเคลื่อนสายตาไปมองหลินสวิน เผยสีหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าไม่ร้องขอชีวิตและไม่หนี”
พวกเฟ่ยหล่าง หลันหลิงเองก็มองไปยังหลินสวิน เพียงแต่ในสายตาของพวกเขา มีความกระเหี้ยนกระหือรือมากกว่า คิดว่าแม้หลินสวินจะดูเหมือนมีความแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็เป็นคนที่สามารถเข่นฆ่าได้อย่างไร้กังวลเช่นกัน
หลินสวินไม่ได้สนใจ ดื่มเหล้ากาหนึ่งจนหมดแล้วจึงลุกขึ้น แบกกล่องกระบี่สำริดเดินออกไปนอกหอสุรา
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองคนอื่นแม้แต่แวบเดียว
ทว่าในสายตาของพวกเฒ่าชราผมขาว หลินสวินทำเช่นนี้มีเพียงประโยคเดียว
ไม่เห็นใครในสายตา!