Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2121 นรกอำพรางชั้นที่หก!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2121 นรกอำพรางชั้นที่หก!
เงาร่างหลินสวินหยุดนิ่ง
เขาสังเกตเห็นกลิ่นอายที่น่ากลัวนั้นได้ก่อนหั่วหลัน
ตูม! ตูม! ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนไร้ระเบียบ ห้วงอากาศม้วนซัดอย่างรุนแรง
กลางฟ้าดินที่ห่างออกไปปรากฏวิญญาณร้ายดั่งภูเขามหึมาตนหนึ่ง ลักษณะคล้ายจระเข้ยักษ์ เท้าทั้งสี่ราวเสาค้ำสวรรค์ ศีรษะมีขนาดเท่าบ้าน ทั้งตัวปกคลุมด้วยเกล็ดแดงก่ำ ไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำหลั่งชโลมรอบตัวมันเหมือนหินหนืด
แค่ดวงตาทั้งคู่ก็มีขนาดเท่าโม่หิน แดงก่ำเยียบเย็น แผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหดและดุดัน
นี่คือวิญญาณร้ายที่กลายร่างมาจากจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง ยามก้าวเดินเหมือนผืนดินลอยได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ผู้คนจะดูตัวเล็กจ้อยเป็นพิเศษ
“โฮก…!”
มันแหงนมองฟ้าแล้วร้องคำราม คลื่นเสียงดั่งฟ้าคำรามปั่นป่วน ม้วนกลืนฟ้าดิน อานุภาพร้ายกาจที่น่าหวาดกลัวนั้น ราวกับทำให้ผู้คนพังทลายได้จริงๆ
หั่วหลันที่เดิมยังคิดว่าหลังจากวิญญาณร้ายตนนี้ปรากฏตัว คงทำลายความเหิมเกริมของหลินสวินได้ เวลานี้กลับหน้าเปลี่ยนสีกล่าวเสียงดัง
“เจ้าแซ่หลิน มัวนิ่งอึ้งอะไร รีบหนีเร็ว!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและร้อนรน
นางท่องอยู่ในโลกชั้นห้านี้มาหลายปี เคยห้ำหั่นกับจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้มาหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนได้แต่หนีหัวซุกหัวซุน ไม่กล้าฝืนปะทะแต่แรก
กลับเห็นหลินสวินสีหน้าสงบนิ่งกล่าว “แม่นางไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก แค่เดรัจฉานที่ตื่นรู้มีปัญญาตัวหนึ่งเท่านั้น หากกล้าขวางทางก็ฆ่ามันซะ”
หั่วหลันแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เจ้าหมอนี่… ไม่ใช่แค่กำเริบเสิบสาน แต่เย่อหยิ่งจองหองชัดๆ!
นางอดตวาดอย่างเดือดดาลไม่ได้ “เจ้าไม่อยากอยู่แล้วหรือ เดรัจฉานนี่มีอานุภาพระดับระดับครึ่งก้าวจักรพรรดิ แม้จะสู้ระดับจักรพรรดิแท้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิต้านทานได้!”
นางพูดพลางพุ่งไปข้างหน้า หมายคว้าตัวหลินสวินแล้วพาเขาไป เขาจะได้ไม่ไปรนหาที่ตาย
หลินสวินพลันจนปัญญา เบี่ยงตัวหลบพลางกล่าว “แม่นาง เจ้าคอยชมการต่อสู้เป็นอย่างไร”
อันที่จริงเขาก็ประทับใจยิ่งนัก
แค่พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น แต่หั่วหลันกลับกล่าวเตือนไม่หยุด ซื่อตรงมีน้ำใจ ต่อให้ถูกดูหมิ่นก็ไม่ทำให้คนโกรธ
“ชมการต่อสู้หรือ ดูเจ้าไปหาที่ตายน่ะสิ”
หั่วหลันโกรธจนเข่นเขี้ยว นางไม่เคยเจอใครที่ไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้มาก่อน!
“ทะเลาะกันทำไม พวกเจ้ามาหาที่ตายพร้อมกันไม่ดีกว่าหรือ”
ห่างออกไปจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์นั้นเอ่ยปาก เสียงดังกึกก้อง เจือความเพลิดเพลินและเหี้ยมโหด
ตูม!
โซ่สีเลือดเส้นหนาเท่างูเหลือมยักษ์พุ่งออกมาจากตัวของจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ ตวัดม้วนมาทางหลินสวิน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ห้วงอากาศถูกทำให้ปั่นป่วน โซ่สีเลือดนั้นวิวัฒน์มาจากกฎเกณฑ์มหามรรค แฝงกลิ่นอายดุดันที่ลี้ลับเกินคาดเดา แข็งแกร่งจนน่ากลัว
ชิ้ง! ชิ้ง!
หั่วหลันพลันหน้าถอดสี ดึงดาบโค้งแดงเพลิงโชติช่วงสองเล่มนั้นออกมาโดยไม่ลังเล หมายจะต้านการโจมตีนี้
กลับเห็นหลินสวินพุ่งออกไปนานแล้ว มือเปล่าคว้าไปตามสะดวก ยึดโซ่สีเลือดที่เฆี่ยนมานั้นไว้แล้วสะบัดเบาๆ
โซ่สีเลือดที่ประทับกลิ่นอายซึ่งเทียบได้กับระดับจักรพรรดิ ระเบิดออกทีละน้อยราวอสรพิษสิ้นฤทธิ์ทันที
ส่วนหลินสวินก็พุ่งทะยานเข้าไปนานแล้ว เสียงชิ้งดังขึ้น ดาบไร้วิชาที่เจิดจ้าปรากฏขึ้นในมือ ฟาดฟันออกไปทันใด
ฟุ่บ!
ปราณดาบที่เจิดจ้าปรากฏ สาดส่องฟ้าดินจนขาวโพลนไปทั้งแถบ!
ปราณดาบที่ดุดันหาใดเปรียบนั้น มองข้ามอุปสรรคขวางกั้นทั้งปวง มีอานุภาพเผด็จการที่เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจอย่างหนึ่ง คล้ายว่าทำลายโซ่ตรวนหมื่นกาลได้ ฟาดฟันเครื่องกีดขวางได้ทุกอย่าง
หั่วหลันเพียงรู้สึกแสบตา จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉัวะดังสนั่น ต่อมาเสียงร้องทุรนทุรายราวสะท้านฟ้าสะเทือนดินของจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์นั้นก็ดังขึ้น
เมื่อลืมตาอีกครั้งก็เห็นเลือดแดงสดย้อมอากาศ บนร่างจระเข้ยักษ์ที่ใหญ่มหึมาดั่งขุนเขาถูกฟันเป็นรอยแผลชุ่มเลือดสายหนึ่ง กำลังหวีดร้องตะโกนลั่น
พอมองหลินสวินอีกครั้ง เงาร่างสูงตระหง่านราวกับแสงที่มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ มือกุมดาบศึก พุ่งสังหารขึ้นไป
เปรียบเทียบกับจระเข้ยักษ์นั้นแล้ว เงาร่างเขาดูเล็กจ้อยมากชัดๆ แต่หั่วหลันกลับสัมผัสได้ถึงความผงาดผยองอย่างหนึ่ง อานุภาพของเทพมารที่ทำให้นางใจสั่นสะท้าน
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ปราณดาบม้วนซัด ขาวโพลนดั่งหิมะ ร่ายรำอยู่กลางฟ้าดิน กรีดทึ้งห้วงอากาศ กำราบจระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่ามันจะโต้กลับและต้านทานอย่างไรล้วนเปล่าประโยชน์
เลือดเนื้อถูกเฉือนไปทีละส่วน ไหลหลั่งร่วงริน ก็เห็นจระเข้ยักษ์ที่ใหญ่มหึมาดั่งขุนเขา ไม่ทันไรก็เลือดไหลเหมือนสายน้ำ เนื้อหนังติดกระดูก ท่าทางน่าอนาถ
หั่วหลันอึ้งงันอย่างสมบูรณ์
นี่ยังใช่วิญญาณร้ายน่ากลัวตัวนั้นที่ทำให้นางหนีอย่างอนาถไปหลายครั้งหรือไม่ ทำไมถึงเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ไม่ว่าใครก็ฆ่าได้ตัวหนึ่ง เนื้อหนังถูกเฉือนอย่างต่อเนื่อง กระดูกโผล่ออกมา!
ตูม!
ตามหลังเสียงสะเทือนกึกก้อง จระเข้ยักษ์ดึกดำบรรพ์ที่ถูกปราณดาบตวัดตัดจนกลายเป็นโครงกระดูกมหึมา หลังจากกรีดร้องโหยหวนไม่ยินยอมแล้วก็ร่วงไปกองกับพื้นดังสนั่น
นี่ทำให้หั่วหลันที่ตื่นตระหนกอยู่ได้สติกลับมา ดวงหน้างามปรวนแปรไม่หยุดทันที ในใจรู้สึกมึนงงอย่างไม่อาจระงับ
วิญญาณร้ายที่มีอานุภาพระดับครึ่งก้าวจักรพรรดิตัวหนึ่ง ถูก… เฉือนตายในช่วงสั้นๆ ไม่กี่พริบตา!?
นี่เหมือนไม่ใช่ความจริง ราวกับฝันไป
“แม่นาง ตอนนี้เจ้าน่าจะเชื่อแล้วกระมัง”
เสียงฉะฉานเจือรอยยิ้มดังขึ้นข้างหู หั่วหลันเงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก ก็เห็นคนที่นางคิดว่าเย่อหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังยิ้มพลางมองมาที่ตน
คำพูดแฝงความหยอกเย้า
หั่วหลันสูดหายใจลึก ควมคุมความตระหนกในใจแล้วแค่นเสียงเย็นชา “อวดดี!”
นางหมุนตัวเดินจากไป
‘โกรธแล้วหรือ’ หลินสวินอึ้งไป
หั่วหลันโบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง กล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าคล่องตัวขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้ากังวลใจเสียเปล่าแต่แรก ยังยืนบื้ออยู่ทำไม เห็นข้าเป็นตัวตลกรึ”
หลินสวินลูบจมูก ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้อยู่บ้าง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหญิงสาวที่ท่าทางองอาจกล้าหาญ ดุดันเต็มเปี่ยมคนนี้จะเจ้าอารมณ์เช่นนี้
“นี่!”
หลินสวินร้องเรียก
“ยังจะทำอะไรอีก”
หั่วหลันยังไม่หันกลับมาเหมือนเดิม
“ขอบคุณที่เตือนเมื่อครู่ รอเมื่อข้าคนแซ่หลินกลับมาจากชั้นเก้าแล้วจะมาขอโทษเจ้าแน่นอน”
ยามสิ้นเสียงหั่วหลันเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคเจิดจรัสที่มีขนาดเท่าบาตรพระก้อนหนึ่งตกลงมากลางฝ่ามือ หนักอึ้งและแผ่กลิ่นอายมหามรรคหนาแน่นราวกับจะถาโถมเข้าใส่
หั่วหลันหันกลับมาทันที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ใจแคบเช่นนั้น ทำไมต้องนำของสิ่งนี้มาชดเชยด้วย”
หลินสวินยิ้มพลางโบกมือ “ถือว่าพวกเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันครั้งหนึ่ง ทรัพย์หลังศึกย่อมต้องแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งเป็นธรรมดา นี่ก็คือกฎเกณฑ์ของข้าคนแซ่หลิน เจ้าไม่อยากรับก็ไม่ได้แล้ว ขอตัว”
เขาพูดพลางยิ้มแล้วหันหลังจากไป เหมือนกลัวว่าหั่วหลันจะคืนผลึกต้นกำเนิดมหามรรคก้อนนั้นกลับมาอีก
“ฮึ!”
หั่วหลันถลึงตามองเงาหลังเขาที่ห่างออกไปคราหนึ่ง จากนั้นก็มองผลึกต้นกำเนิดมหามรรคในมือพลางกล่าวพึมพำ “ของล้ำค่าเช่นนี้ ไม่รับไว้ก็เสียเปล่า”
จากนั้นนางก็ตระหนักถึงอะไรได้ นัยน์ตาพลันหดรัด เมื่อครู่เจ้าหมอนั่นพูดว่าอะไรนะ เขาจะไปชั้นที่เก้าหรือ!?
นี่ไม่ใช่การไปหาที่ตายหรือ
“นี่…!”
หั่วหลันอ้าปากหมายจะกล่าวเตือน แต่เพิ่งพบว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไม่มีเงาของหลินสวินนานแล้ว มีแค่เสียงของนางที่สะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน
ดวงหน้างามของนางปรวนแปรไม่หยุด เนิ่นนานกว่าจะกระทืบเท้าอย่างหนักหน่วงพลางกล่าว “ข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะกลับมาขอโทษข้าหรือไม่กันแน่! ข้าจะรอ!”
…
นรกอำพรางชั้นที่หก
ในที่สุดหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามและพลังกดดันที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
ฟ้าดินที่นี่แดงก่ำ ทรุดโทรมและวังเวง ถูกความมืดมนหนาทึบเข้าปกคลุม
เมื่อเดินอยู่ภายในนั้น หลินสวินไม่อาจไม่โคจรพลังแท้จริง ถึงต้านทานและสลายพลังกดดันที่ดำรงอยู่ทุกแห่งนั้นได้
นี่ทำให้เขาชี้ชัดได้เรื่องหนึ่ง…
การที่ผู้ฝึกปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าทั่วไปมาที่นี่ ย่อมไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นรกอำพรางชั้นหกนี้น่าจะมีแค่ระดับจักรพรรดิที่เข้ามาฝึกฝนได้
‘แค่ชั้นหกก็น่ากลัวเช่นนี้แล้ว ปีนั้นศิษย์พี่รองกลับใช้พลังปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิบุกไปถึงชั้นเก้าได้ ช่างแข็งกร้าวดุดันจริงๆ…’
เวลานี้หลินสวินเพิ่งเข้าใจ ว่าศิษย์พี่รองจ้งชิวในปีนั้นทรงพลังระดับใด
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มเดินไปข้างหน้า
ตลอดทางพลังกดดันที่อยู่กลางฟ้าดินราวกับกระแสน้ำ ทำให้หลินสวินจำเป็นต้องโคจรพลังปราณตลอดเวลาจึงก้าวไปข้างหน้าได้
“น่าสนใจ หลายปีมานี้ข้าเพิ่งเคยเจอเจ้าหนูระดับกึ่งจักรพรรดิวิ่งมาหาที่ตายเป็นครั้งแรก ผู้อาวุโสของเขาไม่ได้บอกเขารึ ว่าชั้นที่หกไม่ใช่สถานที่ซึ่งมดปลวกตัวจ้อยระดับต่ำกว่าจักรพรรดิจะเข้ามาได้แต่แรก”
ทันใดนั้นเสียงที่ไหววูบพลิ้วล่อง เลือนรางลับล่อดังขึ้นกลางฟ้าดิน แต่เมื่อแยกแยะโดยละเอียดกลับหาที่มาของเสียงไม่เจอ
“ไม่ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว สมัยดึกดำบรรพ์ก็มีเจ้าหนุ่มระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งบุกเข้ามา พลังต่อสู้ทั้งตัวล้วนน่ากลัวกว่าระดับจักรพรรดิทั่วไป”
“อ้อ งั้นรึ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าหมอนี่เทียบกับคนผู้นั้นแล้วเป็นอย่างไร”
“หึๆ นั่นก็ต้องดูว่าเขาจะรอดชีวิตออกไปได้หรือไม่…”
“ทุกท่าน พวกเจ้าไม่ต้องแย่งกัน เหยื่อตัวน้อยนี่เป็นของข้า ข้าชอบร่างกายที่ดูหนุ่มแน่นของเขา แม้แต่โลหิตก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย้ายวน”
“เจ้าเฒ่า เจ้าไม่ใช่คนแล้ว!”
…เสียงเซ็งแซ่เหมือนวิญญาณร้ายในแดนผีสิงกำลังพูดคุยกัน ส่งเสียงกระซิบกระซาบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนขนพองสยองเกล้า
เสียงลอยล่องอยู่กลางฟ้าดิน ประหนึ่งผีร้ายนับไม่ถ้วนที่ซ่อนอยู่ในความมืด พร้อมจะพุ่งออกมาตลอดเวลา
สีหน้าหลินสวินไม่สะทกสะท้าน ทำหูทวนลม ร่างสูงตระหง่านก้าวเดินอยู่กลางฟ้าดินเพียงลำพัง กล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังแผ่แสงคลุมเครือ
ทันใดนั้นมือใหญ่ขาวซีดข้างหนึ่งทำลายพื้นดินออกมา ตะครุบไปทางหลินสวินทันที ปลายนิ้วที่แหลมคมล้อมรอบด้วยแสงแดงก่ำดั่งโลหิต
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้สามารถทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ
แต่หลินสวินกลับเหมือนคาดการณ์ไว้นานแล้ว หรือพูดได้ว่าชั่วพริบตาที่มือใหญ่ขาวซีดข้างนี้ปรากฏ เขาก็ลงมือโดยไม่ลังเล
ฟุ่บ!
ดาบไร้วิชาม้วนปราณดาบเจิดจ้าขึ้นมาแล้วฟันลงไปเต็มแรง ราวกับธารดาราตวัดม้วนไหลพุ่ง แสงมรรคไร้ใดเปรียบส่องสะท้อนฟ้าดิน
ฉัวะ!
มือใหญ่ขาวซีดนั้นถูกตัดขาด พื้นดินล้วนถูกฟันเป็นช่องแคบมหึมาสายหนึ่ง ดินโคลนพลิกตลบ สะท้านสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนลึกของช่องแคบมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องขึ้น เจือความตระหนกและขุ่นเคือง
เสียงกระซิบกระซาบที่สะท้อนอยู่กลางฟ้าดินอย่างต่อเนื่องนั้น เวลานี้ราวกับถูกทำให้หวั่นหวาดเช่นกัน เงียบหายไปชั่วขณะ
บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึกตัว เหลือบมองส่วนลึกของช่องแคบนั้นเล็กน้อยแล้วมุ่งหน้าต่อไป เงาร่างสันโดษ โดดเด่นเหนือธรรมดา
ท่าทีนิ่งเฉยเหมือนมองข้ามนี้ของเขา ราวกับยั่วยุและเหยียดหยันโดยไร้สุ้มเสียง ทำให้สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในที่ลับนั้น แต่ละตนล้วนเปลี่ยนเป็นลุกฮือขึ้นมา
ไอสังหารที่น่ากลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วฟ้าดินแถบนี้ ประหนึ่งความมืดมิดยามราตรีนิรันดร์มาเยือน