Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2202 นัยเร้นลับของระดับจักรพรรดิเก้าขั้น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2202 นัยเร้นลับของระดับจักรพรรดิเก้าขั้น
ต้าหวงถูกหัวเราะเยาะจนสีหน้าไม่น่าดู แยกเขี้ยวยิงฟัน อยากจะกัดหลินสวินสักคำ
แต่เวลานี้จ้งชิวพลันเอ่ยปาก “ศิษย์น้อง รับหมัดของข้าด้วย!”
ตูม!
ไม่สนว่าหลินสวินจะตอบรับหรือไม่ เขาก็ซัดหมัดหนึ่งออกไปแล้ว เรียบง่าย ตรงไปตรงมา อานุภาพราวกับไม่อาจทัดเทียม
ห้วงอากาศฟ้าดินไม่เกิดคลื่นสะเทือนใดๆ
ความจริงแล้วพลังของหมัดนี้อัดแน่นถึงขีดสุดนานแล้ว บรรลุถึงขั้นปาฏิหาริย์
ในสายตาของหลินสวิน หมัดนี้ก็เหมือนมหามรรคไร้รูป ไร้ท่วงท่า ไม่อาจพรรณนา!
ดูเหมือนเรียบง่าย แต่กลับดำรงอยู่ทุกแห่งหน เข้าถึงได้ทุกที่ จิตวิญญาณ สภาวะจิต ร่างกาย… กระทั่งทุกความคิดล้วนถูกหมัดนี้เข้าปกคลุม
สิ่งนี้น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
กลับเห็นหลินสวินไม่หลบหลีก สูดหายใจลึกแล้วซัดหมัดหนึ่งออกไป หมัดราวกับไอขุ่นมัว เรียบง่ายถึงที่สุดเช่นกัน
พริบตานี้ซย่าจื้อและจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงที่อยู่ข้างกายหลินสวิน พวกผีสุรา ต้าหวง ชิงอิงที่อยู่ห่างออกไปต่างกลั้นหายใจจดจ่อ จิตใจล้วนถูกภาพนี้ดึงดูด
เหตุการณ์ประหลาดปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อพลังหมัดของทั้งสองปะทะกันกลับไร้สุ้มเสียง ไม่ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนใดๆ
และไม่มีเสียงกึกก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
แต่หลินสวินกลับร่างไหวเอนเล็กน้อย อดประหลาดใจไม่ได้ “มหาสำเนียงไร้เสียง”
ห่างออกไป เงาร่างของจ้งชิวถอยออกไปหลายก้าว ดูเหมือนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เขากลับส่งเสียงหัวเราะลั่น
“ว่ากันตามจริงควรเรียกว่ามหาลักษณ์ไร้รูป!”
“ศิษย์พี่ ออมมือแล้ว” เงาร่างหลินสวินลอยล่องสู่พื้นดิน อมยิ้มประสานมือ
จ้งชิวเดินมาข้างหน้า ตบบ่าหลินสวินพลางกล่าวทอดถอนใจ “สิ่งที่แฝงอยู่ในหมัดของข้าก่อนหน้านี้คืออานุภาพของระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง ทั้งไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าหากเป็นข้าตอนอยู่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง พลังต่อสู้คงสู้เจ้าไม่ได้”
“ไป พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องมาคุยกันตามลำพังหน่อย”
จ้งชิวพูดพลางมุ่งตรงเข้ามาจับบ่าหลินสวิน เคลื่อนย้ายจากไป
ในที่นั้นเหลือแค่จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง ซย่าจื้อ พวกผีสุราที่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ส่วนต้าหวงเหมือนถูกทอดทิ้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้น
ผีสุราชิงทำลายความเงียบด้วยการยิ้มกล่าว “ข้าน้อยจักรพรรดิยุทธ์เมี่ยฉยง ท่านนี้คือแม่นางชิงอิง คาดว่าท่านคงเป็นจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงแห่งเรือนมรรคโลกาสวรรค์สินะ”
เขาพูดพลางมองไปยังซย่าจื้อ เจือความสงสัยเล็กน้อย
ตามข่าวลือเมื่อหลายวันก่อน มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวชุดดำคนนี้ด้วย บอกว่านางสำแดงอานุภาพไร้ขอบเขตบนทางเดินโบราณฟ้าดารา พลังต่อสู้น่ากลัวถึงที่สุด ทำให้ระดับจักรพรรดิพวกนั้นหวาดกลัวไม่หยุด
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงรีบร้อนกล่าว “เป็นข้าเอง ท่านนี้คือแม่นางซย่าจื้อ”
ทุกคนทักทายกันคร่าวๆ ไม่นานก็คุ้นเคยกัน แต่ซย่าจื้อกลับดูเงียบตลอด นิสัยใจคอเย็นชาดั่งหิมะ
แต่ไม่ทันไรทุกคนก็คุ้นเคย มุ่งไปยังโถงเรือนที่ห่างไกลพร้อมกับชิงอิง
“แม่งเอ๊ย ไม่แนะนำข้าก็ช่างเถอะ แม้แต่ตอนจากไปก็ไม่เรียกสักคำ เห็นชัดว่าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา”
ต้าหวงที่รอถูกแนะนำ ถูกกล่าวถึง ถูกทักทายมาตลอด นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เผยสีหน้าคับแค้นใจ
ระหว่างทางเมื่อรู้ว่าศิษย์พี่รองจ้งชิวของหลินสวิน ก็คือเจ้าหอวิหคทองแดงหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพลันตกตะลึงอ้าปากค้าง
ต่อให้ผ่าสมองออกมาเขาก็ไม่กล้าเชื่อ คนที่ถูกมองว่าหยิ่งทะนงที่สุดในใต้หล้านั้น เจ้าหอวิหคทองแดงที่เคยปฏิเสธการไปพบจักรพรรดิสวรรค์ดำรงคนนั้น ถึงกับเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับหลินสวิน!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ขุมอำนาจใหญ่ทั่วหล้านี้เกรงว่าคงนั่งกันไม่ติดกระมัง
…
ยามหลินสวินกลับมา ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรจากโลกภายนอก
ด้วยที่นี่คือแดนอำพราง เป็นอาณาเขตของเรือนเร้นหมอก
กลางโถงใหญ่ ทันทีที่นั่งลงจ้งชิวก็เอ่ยถาม “อาจารย์ไปที่ไหน”
หลินสวินอึ้งไป คิดดูครู่หนึ่งแล้วเล่าการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานซึ่งเกิดขึ้นในส่วนลึกของฟ้าดาราออกมาทีละเรื่อง
เมื่อได้ยินเรื่อง ‘ทวนหมื่นมายา’ ‘ขวานเบิกฟ้า’ ‘กระบี่สังหารเทพ’ ‘ทวนศึกดับโลกา’ ที่ต่างเป็นตัวแทนของสี่ตระกูลอมตะนั้น นัยน์ตาจ้งชิวเผยไอสังหารที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย กล่าวว่า
“วันหน้าเมื่อข้าไปอีกฟากฝั่ง ต้องไปคิดบัญชีกับตระกูลพวกนี้แน่!”
เมื่อได้ยินหลินสวินพูดถึงเด็กหนุ่มที่ประสบเคราะห์จิตใจและมีฉายามรรคว่า ‘คงเจวี๋ย’ นั้น แววตาจ้งชิวกลับไหววูบไปพักหนึ่ง เผยแววใคร่ครวญออกมา
“เอวห้อยน้ำเต้ากลืนกิน ก้าวเดินบนมหามรรค ชีวิตก่อนหน้าข้ามด่านเคราะห์มาสิบแปดครั้ง ชีวิตในภายหลังแจ้งอมตะ… ที่แท้ก็เป็นเขา ว่าไปแล้วผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเราต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาจริงๆ”
แววตาจ้งชิวเผยความทอดถอนใจ คนผู้นั้นถูกมองเป็นบุคคลชั้นผู้นำคนแรกในสมัยดึกดำบรรพ์ที่มุ่งหน้าไปอีกฟากฝั่ง เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร
เพียงแต่ไม่คิดว่าบุคคลเช่นนี้จะเจอ ‘เคราะห์จิตใจ’ ที่แปลกประหลาดและน่ากลัวเช่นนี้
“อาจารย์บอกว่ารอภายหน้าเมื่อข้าไปอีกฟากฝั่ง ให้ข้าพาอาจารย์อาคงเจวี๋ยกลับไปด้วย” หลินสวินกล่าว
จ้งชิวพยักหน้ากล่าว “นี่เป็นสิ่งสมควร เคราะห์จิตใจไม่กำจัด เขาต้องถูกคนอื่นลอบวางแผนและหลอกใช้แน่”
“อาจารย์ล่ะ” เขาเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“ไม่ทราบ” หลินสวินส่ายหัว เล่าเรื่องที่กายมรรคเจตจำนงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลหายไปออกมาเช่นกัน
“อาจารย์ไม่ได้บอกว่าร่างต้นของเขาไปไหนหรือ” จ้งชิวอึ้งไป
หลินสวินส่ายหัว
จ้งชิวผิดหวังอย่างอดไม่ได้ เนิ่นนานจึงทอดถอนใจ “ก็ถูก ด้วยนิสัยของอาจารย์ หากอยากจะบอกคงบอกไปนานแล้ว ในเมื่อเขาไม่พูด นั่นย่อมต้องมีเหตุผลแน่”
หลังจากนั้นพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็พูดถึงเรื่องแดนปรินิพพาน
จากคำพูดของจ้งชิวทำให้หลินสวินแน่ใจในที่สุด ที่แท้ศุภโชคของ ‘การบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์’ ก็คือกายมรรคเจตจำนงของอาจารย์ที่เหลือไว้ในลายเสี้ยวจันทร์สามดารา!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือศุภโชคนี้ไม่ใช่ทั้งมรดกและวาสนา แต่เป็นพลังเจตจำนงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล
ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องหลินสวินยามแจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิ!
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ดังนั้นตอนที่ข้ารู้ว่าลายเสี้ยวจันทร์สามดารานั่นถูกเจ้าเอาไป จึงมอบบททดสอบมากมายให้กับเจ้า ทั้งหมดก็เพื่อดูว่าคนที่ข้าจ้งชิวเฝ้ารอมาเนิ่นนาน มีคุณสมบัติอะไรกันแน่ถึงได้รับการยอมรับจากอาจารย์”
“เช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่พอใจหรือไม่” หลินสวินยิ้มถาม
จ้งชิวหัวเราะชอบใจ “ภายหน้าข้าจ้งชิวต้องถือศิษย์น้องอย่างเจ้าเป็นความภาคภูมิใจแน่!”
ทั้งสองคุยกันอยู่นาน ส่วนมากเป็นคำชี้แนะของจ้งชิวที่มีต่อศิษย์น้องเล็กอย่างหลินสวิน ในฐานะที่เป็นผู้แจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง ประสบการณ์ฝึกปราณของจ้งชิวแน่นอนว่ามากมายหาใดเปรียบ
ไม่ทันไรหลินสวินก็เข้าใจ ระดับจักรพรรดิเก้าขั้น หนึ่งขั้น หนึ่งปราการสวรรค์
สามขั้นแรก คือหนึ่งด่าน ถูกมองเป็น ‘ด่านปราการใจจักรพรรดิ’
เมื่อมองทะลุด่านปราการนี้ กายใจจะสามารถแปลงโลกได้!
ขั้นที่สี่ถึงหก มีหนึ่งพิบัตินามว่า ‘พิบัติพันธนาการ’
เมื่อทำลายพันธนาการนี้ ย่อมไม่ต้องกลัวฟ้าดิน!
ขั้นที่เจ็ดถึงขั้นที่เก้า มีหนึ่งเคราะห์นามว่า ‘เคราะห์ย้อนบรรพ์’
ยามแจ้งเคราะห์ย้อนบรรพ์ จะกลายเป็นจอมมรรคจักรพรรดิ!
หนึ่งด่านปราการ หนึ่งพิบัติ หนึ่งเคราะห์ นี่คือสามสันปันน้ำบนมรรคาระดับจักรพรรดิ
ก้าวผ่านพ้น พลังต่อสู้ก็จะเกิดการแปรสภาพอย่างถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก มีอานุภาพและแรงกำลังที่ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
ก้าวไม่พ้น หากมรรคาไม่หยุดอยู่ตรงนี้ชั่วชีวิตก็กายสิ้นมรรคสลาย
นี่ก็คือหนทางแห่งระดับจักรพรรดิ เก้าขั้นปราการสวรรค์ สามขั้นหนึ่งด่าน หกขั้นหนึ่งพิบัติ เก้าขั้นหนึ่งเคราะห์!
ส่วนกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิก็คือนัยเร้นลับมหามรรคที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดในการหยั่งรู้และควบคุมโลกหล้า กฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิที่หยั่งรู้ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งเดินบนหนทางจักรพรรดิได้เร็วขึ้น!
จ้งชิวกล่าวเตือนหลินสวินเป็นพิเศษ ถ้าอยากก้าวไปบนหนทางแห่งระดับจักรพรรดิให้ไกลขึ้น ยามสร้างงคัมภีร์ยอดมหามรรคของตน ต้องหลอมศาสตราจักรพรรดิมหามรรคที่คู่ควรออกมาด้วย!
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘อริยมรรคสรรสร้างวิชา ระดับจักรพรรดิสร้างคัมภีร์’
ยามอยู่ระดับอริยะต้องสรรสร้างวิชามรรค ยามอยู่ระดับจักรพรรดิก็ต้องสร้างคัมภีร์มรรคของตนเอง!
วิชามรรค คัมภีร์มรรค ต่างกันเพียงคำเดียว แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึง ‘คัมภีร์เตาหลอมมหามรรค’ ที่ตนสร้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ว่ากันตามจริงนี่น่าจะเป็นคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่ง ไม่ใช่ ‘คัมภีร์จักรพรรดิ’ ที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
ในใจหลินสวินเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังเช่นกัน หากนำ ‘คัมภีร์เตาหลอมมหามรรค’ มาปรับเป็นคัมภีร์จักรพรรดิของตน เช่นนั้นข้าควรหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่คู่ควรอย่างไร
ที่เรียกว่าศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ ก็คือสมบัติมรรคจักรพรรดิที่มีความเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับมรรคาของตน
ก่อนหน้านี้ยามอยู่ระดับอริยะ หลินสวินหล่อเลี้ยงดาบหักจนกลายเป็นอาวุธอริยะบริสุทธิ์ของตน
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม
หนึ่งคือเขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิ มรรคาไม่อาจเทียบกับแต่ก่อนได้นานแล้ว
อีกอย่างคือหลินสวินค้นพบมานานแล้ว ว่าในดาบหักมีวิญญาณอาวุธจำศีลอยู่ สิ่งนี้เลยไม่เหมาะจะนำมาหลอมเป็นศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของตนอีก
คิดไปคิดมา หลินสวินกลับค้นพบอย่างกะทันหันว่าสมบัติที่ตนครอบครองแม้จะมาก แต่เหมือนว่าไม่มีสักชิ้นที่เป็นของตนจริงๆ ไม่มีสมบัติที่ประสานเข้ากับมหามรรคของตนได้อย่างสมบูรณ์!
เห็นหลินสวินจมสู่ห้วงคิดเนิ่นนานไม่เอ่ยวาจา จ้งชิวอดกล่าวไม่ได้ “ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าจะสร้างคัมภีร์จักรพรรดิมหามรรคหรือหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ ด้วยรากฐานพลังของเจ้าย่อมไม่ใช่เรื่องลำบาก”
หลินสวินพยักหน้า
“หลังจากนี้ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับเจ้า”
จ้งชิวสีหน้าเคร่งขรึม “ศิษย์น้องคงรู้แล้วว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ คนที่คุกคามศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างเจ้ากับข้าได้อย่างแท้จริงคือใคร”
ในใจหลินสวินเคร่งเครียด พูดโดยไม่ต้องคิด “จักรพรรดิสวรรค์ดำรง”
จ้งชิวพยักหน้าพลางกล่าว “นอกจากเขาแล้วยังมีผู้หญิงที่ชื่อเหยี่ยนซิงอีกคนด้วย จอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนแม้จะถูกศิษย์พี่ใหญ่สังหาร แต่กลับมีเศษเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งรอดไปได้ ถูกเหยี่ยนซิงคนนี้ช่วยไว้ หากให้เจ้าเฒ่านี่ฟื้นกลับมา ต้องเป็นภัยคุกคามใหญ่อีกอย่างแน่”
เรื่องนี้หลินสวินก็รู้ดี
ปีนั้นหลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่นั่นสิ้นสุด เขาเคยมุ่งหน้าไปสำนักเร้นฤทธิ์เทพ คิดจะสืบเรื่องการไปแดนเจินหลงสักหน่อย
แต่เมื่อไปถึงสำนักเร้นฤทธิ์เทพ กลับพบว่าสำนักโบราณนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คนนานแล้ว
ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่เขาเจอหญิงชุดม่วงเหยี่ยนซิง และทำให้เขาเจอจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนที่เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งเช่นกัน
เหยี่ยนซิงเรียกคนผู้นี้ว่า ‘ท่านปู่เก้า’ !
ตอนนั้นยามเหยี่ยนซิงมุ่งหน้าไปสำนักเร้นฤทธิ์เทพ ก็ด้วยต้องการสืบหาเส้นทางไปแดนเจินหลงเช่นกัน
นี่ทำให้หลินสวินในตอนนั้นแคลงใจหาใดเปรียบ ว่าลั่วชิงสวินมารดาของตนหรือท่านลู่ มีโอกาสสูงที่จะหลบอยู่ในแดนเจินหลง
ไม่อย่างนั้นเหยี่ยนซิงคงไม่มีทางไปสืบเรื่องแดนเจินหลงโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแน่
และด้วยสงสัยในจุดนี้ ตอนนั้นหลินสวินจึงเปิดเผยร่องรอยของตนด้วยตัวเอง ดึงดูดความสนใจของเหยี่ยนซิงคนนั้น
สุดท้ายเมื่อมาถึงโลกมืด ซีลงมือต่อสู้กับเหยี่ยนซิงนั่น!
ตั้งแต่นั้นมาหลินสวินก็แยกทางกับซี จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เจอกัน
หลินสวินรู้แค่ว่าซีถูกศิษย์พี่รองช่วยไว้ ส่วนเหยี่ยนซิงนั่นก็หอบชีวิตหนีไปได้ ได้ยินว่ามุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสวรรค์ดำรงแล้ว
ยามหลินสวินคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็วก็ได้ยินจ้งชิวกล่าว “ช่วงนี้ข้าได้ข่าวว่าเหยี่ยนซิงนี่มีโอกาสสูงที่จะมุ่งหน้าไปแดนเจินหลงแล้ว”
“อะไรนะ!?” หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันควัน
………………………