Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2349 แหวกเส้นทางเลือด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2349 แหวกเส้นทางเลือด
แท่นมรรคแท่นนั้น…
หลินสวินขมวดคิ้ว สำรวจความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้น
ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ปรากฏภาพแท่นมรรคที่ใหญ่โต มหึมา กว้างขวางแท่นหนึ่ง รัศมีกว้างถึงหมื่นจั้ง เผยโครงสร้างแผนผังเก้าวัง
แท่นมรรคหลอมขึ้นจากวัสดุเทพลึกลับ บนนั้นเปื้อนคราบเลือดแดงสด กาลเวลานับไม่ถ้วนผ่านไปก็ไม่เคยเลือนหาย แดงฉานบาดตา
หมอกดำขมุกขมัว วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงจำนวนมากกำลังล้อมโจมตีใส่แท่นมรรคจากสี่ทิศแปดทาง มียักษ์เพลิงที่สวมเกราะแตกหัก มีโครงกระดูกคุนเผิงที่ใหญ่โตประหนึ่งแผ่นดินใหญ่ มีศพที่เอวเหน็บกระบี่ศึก ทั่วร่างรายล้อมด้วยไอมาร มี…
ภาพน่าสยดสยองนัก
และบนแท่นมรรคนั่นมีเงาร่างอยู่สองสาย
คนหนึ่งเป็นเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิบนโครงกระดูกสีดำ สวมจีวรสีเลือดขาดรุ่งริ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวที่หักร้าวลายพร้อย เหมือนพระรูปหนึ่ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าพิสดารอึมครึมหาใดเปรียบ
บนศีรษะโล้นเกลี้ยงของเขาประทับดอกบัวสีดำที่เบ่งบานดอกหนึ่ง เสมือนมีชีวิตก็ไม่ปาน คละคลุ้งด้วยประกายแสงแปลกประหลาดน่าตกตะลึงอย่างหนึ่ง!
เขาหลับตาสนิท นิ่งไม่ขยับ จีวรสีเลือดขาดวิ่น ดุจดั่งมรณภาพไปแล้ว แต่กลับให้อานุภาพที่น่าสะพรึงอย่างหนึ่ง ราวนายเหนือหัวแห่งนรก
อีกคนกลับเป็นร่างอรชรที่คล้ายมีแต่ไม่มีสายหนึ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงที่ทำให้ฟ้าดินหมื่นชีวิตตล้วนสั่นสะท้านอย่างหนึ่งแผ่ออกมา
เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้หญิง รูปร่างอ้อนแอ้น เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนราง ทั่วร่างถูกพยับหมอกสีเทาหม่นปกคลุม มีพลังคลุมเครือไร้รูปปกคลุม ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้
นางเสมือนนายเหนือหัวที่ยืนตระหง่านกลางฟ้าดิน มีกลิ่นอายผงาดกร้าวเหนือโลกหล้า สามารถทำลายล้างหมื่นชีวิต น่าสะพรึงและพิสดารเกินไป
‘เป็นพวกเขา!’
ชั่วพริบตานี้หลินสวินก็สั่นไปทั่วร่างเช่นกัน จำได้ว่าเป็นพระตาบอดกับสตรีหมอกที่เขาเคยเจอในปีนั้น!
น่าเสียดาย สิ่งที่หลินสวินเห็นในเวลานี้ เป็นเพียงแค่ภาพในความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้นเท่านั้น ไม่ทันไรก็ไม่สามารถสอดส่องอย่างอื่นได้อีก
แต่การค้นพบนี้กลับทำให้หลินสวินระบุได้หลายเรื่อง
หนึ่ง ในสุสานสมุทรฝังมรรคที่ไอวิญญาณฟื้นคืนแห่งนี้ วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น เพื่อจะหลุดพ้นพันธนาการจึงล้อมโจมตีแท่นมรรคนั้นเต็มกำลัง
สอง พระตาบอดและสตรีหมอกน่าจะเป็นวิญญาณเจตจำนงที่ผู้มากความสามารถของดินแดนรกร้างโบราณเหลือทิ้งไว้ ดูแลอยู่บนแท่นมรรค เพื่อหยุดยั้งไม่ให้พวกน่าสะพรึงจากแปดดินแดนเหล่านี้หนีรอดไปได้
สาม ในสุสานสมุทรฝังมรรคตอนนี้ สถานการณ์วิกฤติอันตรายร้ายแรงแล้ว!
คิดถึงตรงนี้หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล
เขาได้ข้อมูลต่างๆ จากความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้นแล้ว ย่อมต้องรู้ชัดว่าหากแท่นมรรคนั้นถูกทำลาย ผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดไหน
ระหว่างทางหลินสวินรีบบอกข้อมูลที่ตนได้รับให้พวกอาหูฟังทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรพวกอาหูต่างหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา
“คุณชาย ยังจำได้เหตุการณ์ในปีนั้นที่ข้าพาท่านมาซ่อนตัวในสุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนี้ เพื่อเลี่ยงการไล่ล่าสังหารได้หรือไม่” จู่ๆ อาหูก็กล่าวขึ้น
“จำได้” หลินสวินมีหรือจะลืมลง ปีนั้นก็เพราะ ‘สตรีหมอก’ ผู้นั้นออกมือ โจมตีเหล่าศัตรูทั้งกลุ่มนั้นให้
“ผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มากความสามารถสมัยดึกดำบรรพ์ มีอานุภาพปกฟ้าคลุมดิน ในศึกมรรคสิบทิศเคยสังหารศัตรูแปดดินแดนอยู่ที่นี่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”
อาหูกล่าว “คุณชาย ไม่อาจปล่อยให้เจตจำนงวิญญาณที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นเหลือทิ้งไว้… หายไปทั้งอย่างนี้ได้เด็ดขาด…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง กล่าวว่า “ข้าจะทำเต็มที่แน่นอน”
จากนั้นเขาก็เก็บพวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่เข้าไปในในเจดีย์ไร้สิ้นสุด ก่อนพุ่งไปยังส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคคนเดียวลำพัง
ในเขตแดนทะเลอันพิสดารแถบนี้มีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงมากมาย พวกอาหูช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว
วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือให้เขาโจมตีเต็มกำลังคนเดียว!
พยับหมอกหนาทึบ เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางพื้นที่ทะเลกว้างใหญ่ เงาร่างหลินสวินดุจดั่งแสงเคลื่อนไหวที่โลดแล่นสายหนึ่ง ความเร็วน่าตกใจ
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามา!”
ไม่ทันไรเสียงตะโกนลั่นสนันหูระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น
ก็เห็นว่าพื้นที่ไกลๆ กองทัพใหญ่ที่รวมวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนปิดผนึกฟ้าดินแถบนั้น มีอยู่ทุกแห่งหน เบียดเสียดแน่นขนัด
ทันทีที่หลินสวินปรากฏตัว กองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นก็เหมือนได้รับคำสั่งบุกโจมตี กรูเข้ามาสังหารหลินสวิน
เงาร่างพวกเขาถูกไอชั่วร้ายสีเทาปิดครอบ แฝงไอสังหาร น่ากลัวยิ่งยวด เวลานี้ออกโจมตีเต็มกำลัง ประหนึ่งปิดครอบฟ้าดินชัดๆ ลำพังแค่อานุภาพเหล่านั้นก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึงล้นฟ้า
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกไป หนึ่งแบ่งเป็นสอง สองแบ่งเป็นสี่… เปลี่ยนแปลงไม่ขาดสาย เพิ่มมากขึ้นไม่หยุด ไม่ทันไรก็กลายเป็นผืนทะเลปราณกระบี่แถบหนึ่ง พวยพุ่งปิดครอบออกไป
ตูม!
วิญญาณอาฆาตนับร้อยนับพันระเบิดแหลกกลางทะเลปราณกระบี่ประหนึ่งกระดาษเปื่อย อย่าว่าแต่ตอบสนอง แม้แต่ต่อต้านและขัดขืนก็ยังไม่มี
ถูกบดขยี้โดยตรง!
เพียงแต่กองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นเหมือนไม่มีวันหมด แน่นขนัดแออัด อีกทั้งไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัว เพิ่งฆ่าไปกลุ่มหนึ่งก็มีอีกกลุ่มโผล่มา
หลินสวินไม่คิดจะเสียเวลา เงาร่างเขาเคลื่อนย้าย ดั่งเพลิงกล้าลมกรรโชก ฉีกทึ้งห้วงอากาศ พุ่งโฉบเข้าไปกลางกองทัพวิญญาณอาฆาต
เพียงไม่กี่อึดใจ
ในกองทัพวิญญาณอาฆาตที่ปิดครอบเหนือพื้นที่ทะเลแถบนี้ประหนึ่งกระแสน้ำหลาก ก็ถูกทุบแหวกเป็นรอยแยกสายหนึ่งตรงๆ แผ่ขยายไม่ขาดสาย ยืดยาวไม่หยุด…
สองฝั่งของรอยแยก ล้วนเป็นวิญญาณอาฆาตที่ระเบิดแตกต่อเนื่อง!
ไม่ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน ขอเพียงขวางอยู่ตรงหน้าล้วนถูกหลินสวินซัดทะลวงตลอดทาง
อานุภาพดุจผ่าลำไผ่!
“เร็ว! มีศัตรูมารุกราน!”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินจวนจะพุ่งออกจากแนวป้องกัน เสียงตะโกนลั่นเยียบเย็นสายหนึ่งก็ดังขึ้น
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด เงาดำปิดฟ้าสายหนึ่งก็พุ่งลงมา ไอสังหารเหี้ยมเกรียมที่เยียบเย็นน่าสะพรึงดุจพายุคลั่งก็ไม่ปานจับจ้องหลินสวินโดยพลัน
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง
บนเวิ้งฟ้า เงาร่างนกโครงกระดูกตัวหนึ่งปรากฏ สองปีกสยายออก กินพื้นที่ถึงพันจั้ง บนโครงกระดูกสีเทาขุ่นมีเปลวเพลิงสีดำอันลุกโหมแผดเผา อานุภาพที่แผ่ออกมาอย่างน้อยก็สามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นสาม
ตูม!
นกกระดูกกระพือปีกสองข้าง เปลวเพลิงสีดำที่คลุ้งกลิ่นอายมรณะม้วนตลบลงมา เผาห้วงอากาศจนหลอมละลาย น้ำทะเลเดือดปุดๆ พยับหมอกพลิกม้วน
“ตาย” ริมฝีปากหลินสวินเอ่ยออกมาคำเดียว
คลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลายเป็นลมกรรโชก หอบม้วนพุ่งไปทางเวิ้งฟ้าอย่างแรง เปลวเพลิงสีดำนั่นยังไม่ทันเฉียดใกล้ ก็ถูกสายลมรุนแรงนั่นพัดดับสลาย
จากนั้นเสียงโหยหวนอันวังเวงหาใดเปรียบสายหนึ่งดังก้องขึ้น ก็เห็นนกกระดูกที่มีอานุภาพระดับจักรพรรดินั่นถูกคลื่นเสียงทำลายร่างกายตรงๆ กลายเป็นเถ้าธุลีเต็มฟ้า!
ภาพระดับนี้เรียกความสนใจของเจตจำนงน่าสะพรึงมากมายในพื้นที่ทะเลไกลโพ้น
“ใต้หล้านี้มีคนเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ดูเหมือน… จะเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิหนุ่มคนหนึ่ง!”
“รีบหยุดเขาเร็ว! ต่อให้ฆ่าเขาตายไม่ได้ ก็ห้ามปล่อยให้เขาเข้าใกล้แท่นมรรคเด็ดขาด!”
“เร็ว!”
….
เจตจำนงเหล่านี้เพิ่งพูดจบ ก็เห็นกลางพยับหมอกสีดำไกลๆ อุบัติกลิ่นอายน่าสะพรึงสายแล้วสายเล่าออกมาพลัน พุ่งทะลวงเวิ้งฟ้า ปั่นป่วนเมฆลม
พื้นที่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแถบนี้ล้วนพลิกม้วนกึกก้องถึงที่สุด คลื่นยักษ์ม้วนซัดเป็นหมื่นระลอก
ครืน…
ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่มที่อื้ออึงสะท้านฟ้า ก็เห็นวิญญาณอาฆาตที่แผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิสายแล้วสายเล่าทะลวงห้วงอากาศมาเยือน
เงาร่างต่ล้วนไม่สมบูรณ์ บ้างก็ถึงขั้นเหลือแต่โครงกระดูกแตกหัก รูปร่างก็ประหลาดพิสดาร มากหน้าหลายตา แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ล้วนมีกลิ่นอายระดับจักรพรรดิ ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายมรณะที่น่าสะพรึงพิสดาร
ไกลออกไปหัวคิ้วของหลินสวินขมวดขึ้น
เขาน่าจะใกล้ถึงบริเวณที่แท่นมรรคนั้นตั้งอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้ชักนำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้
อย่างตอนนี้ แค่จำนวนวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่ออกเคลื่อนไหวก็มากถึงหลายสิบตนแล้ว!
“ฆ่า!”
เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น ห้วงอากาศปั่นป่วน
วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิหลายสิบสายที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันพุ่งล้อมกรอบหลินสวิน พลังโจมตีน่าสะพรึง ไอชั่วร้ายท่วมฟ้า
“ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ…”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำวาบประกายเย็นเยียบ
วู้ม!
เตากระบี่ปรากฏ สาดแสงมรรคเรืองรองศักดิ์สิทธิ์มากมาย พริบตานั้นถึงกับส่องให้พื้นที่ทะเลที่รายล้อมด้วยพยับหมอกสีดำแถบนี้สว่างไสว แสบตายิ่งยวด
เสียงมรรคกึกก้องรอบกายหลินสวิน ทั่วร่างเปล่งแสง พลานุภาพไต่ทะยานขึ้นถึงขีดสุดในพริบตา เงาร่างสูงสง่ามีกลิ่นอายกลืนกินแปดทิศ อานุภาพสะท้านทั่วหล้าอยู่กลายๆ
ร่างของเขาพริวไหวเบาๆ กายมรรคทั้งห้าทะยานออกไป แต่ละร่างถือศาสตราจักรพรรดิยืนเคียงไหล่กับหลินสวิน ทุกร่างล้วนแผ่อานุภาพปกฟ้าคลุมดิน
ดุจดั่งเทพสวรรค์มาเยือน!
“ฆ่า!”
ร่างต้นของหลินสวินไม่มัวโอ้เอ้ พุ่งออกไปก่อน เตากระบี่ส่งเสียงกึกก้อง ทะยานสูงขึ้นไป
ที่โจมตีมาหน้าสุดคือโครงกระดูกสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่ง เลือดเนื้อเน่าเปื่อยไปนานแล้ว ถือทวนศึกกระดูกขาวเล่มหนึ่ง กลิ่นอายเย็นเยียบเหี้ยมโหด น่าสยดสยองถึงขีดสุด
แต่ว่าเมื่อเตากระบี่ทะยานขึ้น เสียงปึงดังหนึ่งครา โครงกระดูกที่สูงสิบกว่าจั้งนี้ก็ถูกสยบตรงๆ กลายเป็นกระแสไอชั่วร้ายสีดำแผ่ซ่านสลายไป
ถึงกับรับการโจมตีเดียวไม่ไหว!
และเมื่อกระบี่มรรคโฉบพุ่งออกมาจากเตากระบี่ ก็ฟันกลางห้วงอากาศ แสงกระบี่ยาวหมื่นจั้งสายหนึ่งลากลำแสงโชติช่วงเรืองรอง กรีดกลางเวิ้งฟ้า ฟันห้วงอากาศออกเป็นสองส่วน อานุภาพกระบี่ระดับนั้น สังหารวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิได้ไม่รู้เท่าไหร่
ตูม!
แสงกระบี่ร่วงหล่น มีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิสามสายถูกบดขยี้ ณ ที่นั้น ร่างกายดับสลายท่ามกลางแสงกระบี่เต็มฟ้า เลือนหายหมดสิ้น ผิวทะเลถูกฟันออกเป็นร่องขนาดมหึมา แผ่ขยายไปไกลโพ้น
หนึ่งกระบี่แยกทะเล!
อานุภาพกระบี่เล่มนี้สั่นคลอนฟ้าดิน
แต่สำหรับวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น คล้ายไม่สะทกสะท้านด้วยซ้ำ หรืออาจกล่าวว่าเพื่อขัดขวางหลินสวิน พวกมันไม่สนใจความตาย โถมเข้าใส่หลินสวินอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
“ทะยาน!” “โอม!” “มา!” “ฟัน!” “ไป!”
ก็เป็นเวลานี้ กายมรรคทั้งห้าออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน แต่ละคนล้วนอานุภาพน่าสะพรึง ต่างสำแดงพลังพรสวรรค์สูงสุดออกมา กระตุ้นศาสตราจักรพรรดิ ทำลายและสลายพลังโจมตีของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น
และอาศัยโอกาสนี้ ร่างต้นของหลินสวินเคลื่อนย้ายตรงไปเบื้องหน้า ดุดันว่องไว
ระหว่างทางยังมีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพุ่งออกมา พยายามหยุดยั้งหลินสวิน แต่ล้วนถูกหลินสวินใช้เตากระบี่ฆ่าได้อย่างง่ายดาย
แทบจะไม่ถูกขัดขวางใดๆ
อันที่จริงวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้ กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็วิวัฒน์มาจากเจตจำนงวิญญาณที่หลงเหลือเมื่อกาลก่อน แม้จะมีสติปัญญา แต่กลับไม่สามารถเทียบชั้นกับมหาจักรพรรดิระดับเดียวกันได้อย่างแท้จริง
หนำซ้ำพลังต่อสู้ของพวกเขา อย่างมากที่สุดก็เทียบได้แค่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดเท่านั้น สำหรับหลินสวินย่อมไม่มีพลังคุกคามให้พูดถึงสักนิด ภายใต้การโจมตีเต็มกำลัง ก็สามารถสังหารได้ราวฆ่าไก่เชือดหมู!
ก็เห็นว่า…
ท้องทะเลพลิกม้วน หมอกดำหนาทึบเป็นชั้นๆ
ศัตรูกรูเข้ามาหน้าหลังไม่ขาดสาย
หลินสวินบุกทะลวงตลอดทาง
ห้อทะยานไม่เห็นฝุ่น!
…………………….