Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2350 พบภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกอีกครั้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2350 พบภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกอีกครั้ง
สุสานสมุทรฝังมรรค
ชื่อที่ฟังดูแปลกและน่ากลัวหาใดเปรียบ
เมื่อเข้าสู่ส่วนลึกอย่างแท้จริงก็เหมือนเข้าไปในนรก หมอกดำอบอวล มีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน ทุกหนแห่งล้วนเป็นภาพที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณบนโลกสิ้นหวัง
ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบ ยิ่งเดินเข้าไปลึก หมอกสีดำนั้นก็ยิ่งหนาทึบ
ร่างต้นของหลินสวินพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ในที่สุดก็หลุดจากการโอบล้อมของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนั้นมาถึงศูนย์กลางของสุสานสมุทรฝังมรรคนี้
ที่แห่งนี้มีเพียงแท่นมรรครัศมีหมื่นจั้งลอยอยู่บนผิวทะเล ปรากฏภาพเก้าวัง เก่าแก่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ย้อมด้วยเลือดสีสด
เมื่อหลินสวินมาถึงก็เห็นว่าทั่วสารทิศซึ่งมีแท่นมรรคแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง ล้วนถูกวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่มีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวล้อมอยู่แล้ว
มีคุนเผิงกระดูกมหึมาเหมือนผืนแผ่นดินใหญ่ลอยได้ มีร่างกำยำสวมชุดเกราะที่หมอกดำโหมกระหน่ำไปทั้งตัว มีซากศพเฒ่าชราสภาพยับเยินควบคุมอสนีบาตสีดำ มีนกยักษ์ที่กางปีกกระดูกขาว ไอมารท่วมเวิ้งฟ้าไปทั้งตัว…
ความแข็งแกร่งด้านกลิ่นอายของแต่ละตน ทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นแปด ถึงขั้นมีกลิ่นอายผิดแปลกและแข็งแกร่งบางส่วนที่สามารถเทียบกับบรรพจารย์จักรพรรดิได้!
ตูม โครม…
พวกเขาใช้พลังทำลายล้างชวนประหวั่นโจมตีแท่นมรรคเต็มกำลัง เสียงมรรคดังกึกก้อง ราวกับสายฟ้าเก้าสวรรค์กำลังปั่นป่วน
รอบแท่นมรรคปรากฏพลังผนึกที่ลี้ลับเกินคาดเดา ต้านทานและสลายการโจมตีที่มาจากทั่วสารทิศนั้นอย่างต่อเนื่อง
แต่เห็นชัดว่ายืนหยัดได้ไม่นานแล้ว
ภายใต้การถล่มจู่โจมที่บ้าระห่ำเช่นนี้ ทั้งแท่นมรรคสั่นคลอนรุนแรง พื้นผิวเผยรอยแตกระแหงมากมาย
บนแท่นมรรคมีหมอกดำโหมกระหน่ำ สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าเงาร่างของภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกนั้นเหมือนต้นหญ้าที่ใกล้จะถูกคลื่นซัดสาดฝังกลบ
สถานการณ์ล่อแหลมอันตราย!
หลินสวินเห็นดังนี้แล้วสูดหายใจลึก หยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรนภาครามออกมา ง้างสายธนูแดงสดดั่งโลหิตนั้นทันที
ฟุ่บ!
ศรนภาครามระเบิดพุ่งออกไปพร้อมเสียงพายุสายฟ้าสั่นสะเทือน ราวกับลำแสงสายหนึ่งที่ทะลวงผ่านปราการแห่งกาลนิรันดร์ ความเร็วฉับไว อานุภาพดุดัน ทั้งหมดล้วนบรรลุถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า
ไกลออกไปวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่สวมชุดเปื้อนเลือด แขนขาดแหว่งวิ่นตนหนึ่งคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตราย มันหันกลับมาแล้วตวัดทวนสีเลือดในมือทันที
และเป็นเวลาเดียวกันที่ศรนภาครามพุ่งเข้าใส่
ตูม!
ทวนสีเลือดระเบิดออกทั้งอย่างนั้น ละอองแสงพร่างพรายระเบิดกระจาย
วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่แขนขาดข้างหนึ่ง ทั้งมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นแปดตนนี้ ถูกแสงศรร้ายกาจนี้พิฆาตโดยตรง ร่างกลายเป็นจุณ!
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความโกลาหลและแตกตื่นในที่นั้นทันที เสียงร้องอุทานดังขึ้นโดยรอบ
“บัดซบ มีศัตรูบุกมา!”
“หืม? มกุฎมหาจักรพรรดิรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง? หลายปีมานี้ดินแดนรกร้างโบราณให้กำเนิดบุคคลร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พวกเจ้าไปจัดการคนผู้นี้ก่อน ไม่เกินครึ่งเค่อ พวกข้าย่อมถล่มแท่นมรรคนี้ได้ ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่พวกเราจะหลุดพ้น”
“ได้!”
ท่ามกลางเสียงพูดคุย หลินสวินง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารไว้ก่อนแล้ว ศรนิรันดร์ ศรแสงโชค ศรเสี้ยวปีกพุ่งออกมารวดเดียว รวดเร็วรุนแรงดุจอสนี
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงลมอสนีดังสะท้อนท้องนภา สะเทือนไปทั่วบริเวณ อึกทึกสนั่นหู
พลันเห็นว่าห่างออกไป ศัตรูพวกนั้นยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวก็มีร่างของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิระเบิดออกตนแล้วตนเล่า ถูกฆ่าตายคาที่
ภาพที่ดุดันและเผด็จการนั้น ทำให้ศัตรูที่มีสติปัญญาพวกนั้นแทบไม่กล้าเชื่อ
ในความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ของพวกมัน แค่มกุฎมหาจักรพรรดิระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้แน่!
แต่ความจริงกลับเหมือนฟาดกระบองใส่ในคราเดียว ทำให้พวกมันรับมือไม่ทัน
พลันนั้นพวกมันเหมือนถูกยั่วโทสะ หรือกล่าวว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรง ไม่กล้าลังเลอีก แบ่งกำลังคนกลุ่มหนึ่งพุ่งโจมตีไปทางหลินสวิน
ขณะเดียวกันวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนอื่นกลับเหมือนถูกกระตุ้น ถล่มใส่แท่นมรรคเก่าแก่หมื่นจั้งนั้นอย่างคลุ้มคลั่ง
หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อย ร่างสูงตระหง่านราวกับเปลี่ยนเป็นเหวลึกที่กลืนกินฟ้าดิน พลุ่งพล่านกู่ก้อง สารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณและมรรควิถีทั้งตัวปลดปล่อยออกมาเป็นประวัติการณ์ในพริบตาเช่นกัน
มาถึงตอนนี้่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องยั้งมืออีก
ต้องฆ่า!
ตีฝ่ามอบความสว่างสดใสคืนสู่ใต้หล้า!
“ทะยาน!”
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมฟ้าดิน ต้านทานและสลายทุกการโจมตีที่ถล่มมาจากทั่วทิศนั้น
ไม่อาจสั่นคลอน
ทรงพลังเกินต้านทาน!
เมื่อเสียงกระบี่ครวญดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน หลินสวินควบคุมกระบี่มรรคโจมตีออกไป อานุภาพยิ่งใหญ่ครอบคลุมท้องฟ้าแถบนี้
ตูม…
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นแล้ว ฟ้าถล่มดินทลาย น้ำทะเลระเหยหาย แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมาราวกระแสน้ำ อสนีบาตแหวกผ่านห้วงอากาศโดยรอบ
วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิสิบกว่าตนพุ่งเข้ามาปิดล้อมหลินสวินพร้อมกัน แต่ละตนต่างสำแดงพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมระดับจักรพรรดิขั้นแปด แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ
เพียงแต่ในสายตาของหลินสวินเวลานี้ กลับไม่อาจพูดได้ว่าเป็นภัยคุกคามอะไร
เมื่อกระบี่มรรคโผทะยาน…
ปึง! ปึง! ปึง!
วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนแล้วตนเล่าถูกฆ่าตายคาที่ ปราณกระบี่ที่ดุดันหาใดเปรียบนั้นโหมทำลาย ทรงพลังเกินต้านทาน
หลังจากวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้ถูกสังหาร ก็กลายเป็นไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำแปรปรวนฟุ้งกระจาย
กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าพลังต่อสู้ของพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นคงสร้างแรงกดดันบางส่วนให้หลินสวินได้แน่
ตูม!
ไม่นานเหล่าวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่ล้อมโจมตีเข้ามาก็ถูกฆ่าเสียกระบวน ดับสลายไปทีละตน
“บัดซบ แค่มกุฎมหาจักรพรรดิคนเดียวเท่านั้น ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้”
ห่างออกไปเหล่าวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่กำลังล้อมโจมตีแท่นมรรคอย่างบ้าคลั่งล้วนบันดาลโทสะ ยากจะเชื่อได้
เห็นว่าหลินสวินใกล้จะเข้ามาแล้ว ชายชราร่างขาดวิ่นคนหนึ่งละทิ้งการโจมตีแท่นมรรคทันใด พุ่งจู่โจมใส่หลินสวิน
เขาควบคุมอสนีบาตสีดำ กลิ่นอายเยียบเย็นแปลกประหลาด บนตัวเต็มไปด้วยไอความตายที่เหมือนเน่าเสีย ความแข็งแกร่งด้านอานุภาพ แทบจะเทียบกับคนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นเก้าได้
“ตาย!”
เสียงของชายชราเยียบเย็นดั่งใบมีด พลันเห็นอสนีบาตสีดำทั่วฟ้าปกคลุมไปทางหลินสวิน เหมือนอสนีเคราะห์แห่งความตายสายแล้วสายเล่าตกลงมาจากฟากฟ้า
ห้วงอากาศแถบนี้ยุบทลาย ปั่นป่วนระเบิดกระจุย อสนีบาตสีดำอาจองดั่งโซ่กระหวัดเฆี่ยนโลกา น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการ
พริบตานี้ในใจหลินสวินก็เครียดขมึง กลิ่นอายบนตัวชายชรา ถึงขั้นเทียบได้กับศิษย์พี่สี่ยามลงมือเต็มกำลัง!
แน่นอนว่าศิษย์พี่สี่ในตอนนั้นใช้แค่พลังระดับจักรพรรดิขั้นสี่เท่านั้น
“ฟัน!”
หลินสวินตวาดลั่น เหยียบอากาศก้าวไปข้างหน้า กระบี่มรรคพลันฟันออกมา
ตูม!
ท้องนภาราวกับถูกฉีกออก ปราณกระบี่ไร้สิ้นสุดเจิดจรัสบาดตา ขาวโพลนไปทั้งแถบ ย้อมโลกที่หมอกดำอบอวลนี้ด้วยแสงประกายเจิดจ้า
เมื่อแสงกระบี่หายไป
ชายชราที่อยู่ห่างไกลมึนงง ริมฝีปากส่งเสียงพึมพำอย่างเหม่อลอย “นี่… นี่คือพลังของมรรคกระบี่ระดับใด…”
เสียงแผ่วต่ำลงเรื่อยๆ
เงาร่างของชายชรากลับกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องทั่วฟ้าดินโดยไร้สุ้มเสียง
หนึ่งกระบี่ สังหารวิญญาณอาฆาตที่ทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นเก้าตนหนึ่ง!
แต่สำหรับหลินสวิน ชายชราคนนี้ยังห่างจากระดับบรรพจารย์จักรพรรดิราวฟ้ากับดิน สุดท้ายวิญญาณอาฆาตที่สิ้นชีพไปไม่รู้กี่กาลเวลา ต่อให้มีกลิ่นอายและพลังน่าหวาดกลัวล้นฟ้าเพียงใด แต่กลับไม่มีเจตจำนงและปณิธานอาจหาญ
ยิ่งขาดอานุภาพที่มีอยู่ในตัวของบรรพจารย์จักรพรรดิ!
หลายปีนี้หลินสวินเคยสู้กับระดับบรรพจารย์จักรพรรดิมาไม่น้อย ย่อมรู้ชัดถึงอานุภาพที่แท้จริงของบรรพจารย์จักรพรรดิเป็นธรรมดาว่าแข็งแกร่งระดับใด
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าชายชราคนนี้มีอานุภาพของบรรพจารย์จักรพรรดิจริง ย่อมไม่มีทางถูกฆ่าในกระบี่เดียวแน่
ห่างออกไปวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่กำลังโจมตีแท่นมรรคเหลือเพียงเก้าตน เวลานี้ล้วนสั่นไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
แค่มกุฎมหาจักรพรรดิระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น ใช้กระบี่เดียวก็สังหารพวกพ้องที่เทียบเคียงกับพวกเขาได้ นี่น่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
แท่นมรรคส่ายสั่นคล้ายจะทรุดทลาย พื้นผิวแตกระแหงเป็นรอยแยกเหมือนใยแมงมุมชวนสยอง จวนจะพังทลายอยู่รอมร่อ
แต่เวลานี้วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้กลับไม่กล้าคิดเรื่องพวกนี้อีก ด้วยหลินสวินพุ่งสังหารเข้ามาแล้ว!
“ไป!”
เงาร่างที่ถือกระบี่ศึก ทั่วร่างเต็มไปด้วยหมอกควันตวาดลั่น หันหลังหนีไปอย่างไม่จำยอม
วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนอื่นเห็นดังนี้ก็ตามไปทันที
ชั่วพริบตาก็หายลับจากไป
“เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!”
กลางฟ้าดินมีเสียงข่มขู่เจือความโกรธแค้นลอยล่อง สะท้อนก้องเนิ่นนาน
หลินสวินลอบเป่าปากโล่งอก ไม่ได้รุกไล่และไม่สนใจคำขู่นั้น
ก่อนหน้านี้เขาก็กังวลว่าหากพวกผีบ้านี่ไม่สนความเป็นความตาย ไปโจมตีแท่นมรรคเต็มกำลัง ต่อให้ตนสามารถสังหารพวกมันได้ทั้งหมดก็เกรงว่าคงปกป้องแท่นมรรคแห่งนี้ไม่ได้
ยังดีที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
แท่นมรรคหมื่นจั้งเสียหายหนักหน่วง มีรอยแยกนับไม่ถ้วนเหมือนเครื่องแก้วที่ใกล้แตกออกจากกัน แบกรับการทำลายล้างที่รุนแรงไม่ได้อีก
ตรงกลางแท่นมรรค กะโหลกสีดำลอยคว้าง ภิกษุตาบอดที่สวมจีวรเปื้อนเลือด เหนือศีรษะมีลวดลายบัวดำ เบ้าตาว่างเปล่า นิ่งเงียบไม่ไหวติงเหมือนหมดลมไปในท่านั่งสมาธิ
สตรีหมอกนั่งอยู่ด้านข้าง เงาร่างทรงสง่าเจือกลิ่นอายถดถอยและเสื่อมสูญเช่นกัน
“ซิงเจีย เด็กน้อยเมื่อปีนั้นมาช่วยพวกเราแก้ไขสถานการณ์แล้ว แท่นมรรครกร้างโบราณไม่พังทลาย หากเจ้าไม่เชื่อ… ก็ลองดู…”
เสียงของหญิงสาวที่หมอกควันปกคลุมขาดๆ หายๆ ดูอ่อนกำลังหาใดเปรียบ
แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ภิกษุตาบอดที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ขยับสักนิด
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน จอมมุนีซิงเจีย!?
ทันใดนั้นเขานึกถึงสถูปเจดีย์สมบัติที่เคยเห็นใน ‘แดนธรรมสถูป’ ของแดนมกุฎขึ้นมา รวมถึงจอมมุนีซิงเจียที่ทิ้งเจดีย์สมบัติไว้ด้วย!
ยังจำได้ว่าในเจดีย์สมบัติเมื่อปีนั้น จอมมุนีซิงเจียที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนั้นเคยทิ้งคำพูดไว้ว่า ‘ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์ ถึงรู้ชัดในทุกข์แห่งสรรพชีวิต’
ทั้งเคยถูกอีกฝ่ายมองเป็น ‘คนรุ่นเดียวกัน’ เรียกขานด้วยคำว่า ‘สหายยุทธ์’
ถึงตอนนี้หลินสวินก็ยังลืม ‘จิตสถูปปลิดชีพ’ ที่จอมมุนีซิงเจียมอบให้ไม่ลง!
ปล่อยให้จิตสถูปปลิดชีพของข้า ทลายวิถีเกิดดับในตัวเจ้า!
นึกถึงตรงนี้ ยามหลินสวินมองภิกษุตาบอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดคนนั้นอีกครั้ง แววตาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หรือว่า… เขาก็คือจอมมุนีซิงเจีย
แต่จากนั้นหัวใจของหลินสวินก็หล่นวูบ
ด้วยเขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของภิกษุตาบอดรูปนี้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงร่างกายที่เยียบเย็นแน่นิ่ง
ความรู้สึกเศร้าสลดที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจของหลินสวิน เขามีหรือจะไม่รู้ว่าภิกษุตาบอดรูปนี้ตายเพื่อปกป้องแท่นมรรคแห่งนี้!
“สหายน้อย มาพูดคุยกันหน่อย”
หญิงที่หมอกควันปกคลุมตัวนั้นเอ่ยปาก น้ำเสียงดูอ่อนกำลังยิ่งกว่าเดิม เห็นชัดว่าเหมือนจะยืนหยัดได้ไม่นานแล้ว
หลินสวินขึ้นไปบนแท่นมรรคนั้นโดยไม่ลังเล
เวลานี้เองในที่สุดเขาก็เห็นรูปร่างของหญิงที่ทั่วร่างถูกหมอกควันบดบังคนนั้นอย่างชัดเจน ทั้งตัวอึ้งงันอยู่ตรงนั้นราวกับถูกฟ้าผ่า
ทำไม… ทำไมถึงเป็น… นาง!?
……………………………