Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2381 การแปรสภาพอันน่าตกใจของเสี่ยวเทียน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2381 การแปรสภาพอันน่าตกใจของเสี่ยวเทียน
พลังระเบียบน่าพรั่นพรึงพุ่งเข้าโจมตีการทดลองของหลินสวิน บีบอัดทั้งร่างมากขึ้นจนหายใจไม่ออก ร่างโงนเงน
จนกระทั่งเขาหยุดเก็บพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคอย่างเด็ดขาด พลังระเบียบที่น่ากลัวนั้นถึงกลับคืนสู่ความสงบ
เป็นอย่างที่เฒ่าประลองหมากกล่าวอย่างเห็นได้ชัด พลังของต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางถูกดูดกลืนและกลั่นหลอม!
ทว่ามีหรือหลินสวินจะยอม เขาก็แค่หยั่งเชิงดูเท่านั้น
คิดอยู่พักหนึ่งเขาก็โบกแขนเสื้อขึ้น
ซย่าจื้อที่ยังอยู่ในสภาพหลับใหลฝึกปราณปรากฏออกมา และถูกเขาวางลงอย่างระมัดระวังท่ามกลางความขุ่นมัวนี้
จนกระทั่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับแรงบีบอัดของพลังระเบียบนั้น หลินสวินถึงวางใจลง
‘ถ้าเป็นเช่นนี้ซย่าจื้อเองก็คงสามารถซึมซับพลังของต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่นี่ได้ และด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้การฝึกปราณของตนได้รับประโยชน์’
หลินสวินคิดเล็กน้อยแล้วหยิบรังมังกรสีทองรังใหญ่นั้นออกมาวางไว้อีกด้านหนึ่ง
จ้าวจิ่งเซวียนและลูกที่อยู่ในท้องยังคงหลับลึกอยู่ในรังมังกรสีทองนี้เช่นเดิม จนถึงยามนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะกะเทาะเปลือกออกมา
แต่ถึงกระนั้นหลินสวินก็ยังสังเกตเห็นว่า คลื่นชีวิตที่เปล่งออกมาจากรังมังกรสีทองมีสัญญาณน่าตกใจขึ้นทุกที…
‘ไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยนั่นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง…’
หลินสวินมองรังมังกรสีทองเงียบๆ จิตใจเหม่อลอย จนกระทั่งยามนี้พอคิดถึงว่าตัวเองเป็นพ่อคนแล้ว เขาก็ยังคงตื่นเต้นและกังวลอย่างบอกไม่ถูกเช่นเดิม
พ่อ
สำหรับหลินสวินที่ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของพ่อลูกแล้ว บทบาทเช่นนี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดายิ่ง
ผ่านไปพักใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่ห่อหุ้มซย่าจื้อและรังมังกรสีทองนั่น หลินสวินถึงค่อยๆ หลับตาลง เริ่มนั่งลงทำสมาธิ หยั่งรู้มหามรรค
นี่คือต้นกำเนิดหมื่นมรรคของดินแดนรกร้างโบราณ ซุกซ่อนสมบัติมหามรรคที่เป็นแก่นแท้และดั้งเดิมที่สุด การหยั่งรู้มหามรรคที่นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่ผู้ฝึกปราณบนโลกก็ไม่กล้าจิตนาการ
ถ้าแพร่ออกไป ถึงขั้นสามารถทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิอิจฉาริษยาได้
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในสมองของหลินสวินก็หายไปสิ้น หลงลืมตัวตน ประหนึ่งหวนคืนสู่ยามเป็นทารกในครรภ์มารดา จมสู่ใจกลางการโอบล้อมของพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคท่ามกลางความขุ่นมัวนี้
สามเดือนต่อมา
หลินสวินตื่นจากการหยั่งรู้ ในใจเอ่อท้นไปด้วยความพอใจและปิติอย่างบอกไม่ถูก
เพราะเพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น เขาก็หยั่งถึงและเข้าใจนัยเร้นลับมหามรรคใหม่สิบเก้าชนิด ทำการควบรวมเป็นกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ หลอมเข้าสู่มรรควิถีแห่งตนได้สำเร็จ!
จุดนี้เกี่ยวข้องกับมรรควิถีแห่งตนของเขา
ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นห้าแล้ว ยามหยั่งรู้พลังมหามรรคแบบใหม่ชนิดหนึ่ง ย่อมไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกปราณทั่วไป
ก็เหมือนผู้ฝึกมรรคกระบี่ ยามบรรลุถึงจุดสูงสุดแล้วไปฝึกปราณดาบต่อ แค่อาศัยประสบการณ์ในอดีตก็สามารถทำได้ได้ผลลัพธ์เป็นทวีคูณ
การหยั่งรู้มหามรรคก็เช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง ในแดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้ทำให้หลินสวินสัมผัสถึงนัยเร้นลับมหามรรคอันเป็นแก่นแท้และดั้งเดิมที่สุดได้อย่างชัดเจนตลอดเวลา ยามหยั่งรู้ย่อมไม่พบเจออุปสรรคและปัญหาคอขวดใดๆ
“นัยเร้นลับมหามรรคสิบเก้าชนิด แม้จะไม่ทำให้ปราณของข้าเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่ภายหน้ามรรควิถีที่สะสมไว้พวกนี้ จะต้องมีช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาววาบ
เหมือนอย่างที่เฒ่าประลองหมากว่า ยิ่งหยั่งถึงและครอบครองพลังกฎเกณฑ์มหามรรคมากขึ้น ยามทะลวงระดับขั้นบรรพจารย์จักรพรรดิ ประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก
และยามนี้หลินสวินก็กำลังสั่งสมมรรควิถีแห่งตน
“ถึงซย่าจื้อจะไม่ตื่นขึ้นมา แต่จากท่วงทำนองมรรคที่ไหลเวียนบนร่าง ก็ยังได้รับประโยชน์สูงสุดในระหว่างฝึกปราณอย่างเห็นได้ชัด… ”
“ก็ไม่รู้ว่าจิ่งเซวียนกับลูกในท้องจะสัมผัสถึงนัยเร้าลับของต้นกำเนิดหมื่นมรรคหรือไม่…”
หลินสวินมองดูซย่าจื้อและรังมังกรสีทอง
พักใหญ่เขาถึงยืดตัวขึ้น โบกแขนเสื้อเก็บซย่าจื้อและรังมังกรสีทอง จากนั้นหมุนตัวออกจากแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้
ช่วงเวลาสามเดือน พลังระเบียบกดดันในแดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ต้องพูดถึงหลินสวินเลย แม้แต่ซย่าจื้อกับรังมังกรสีทองนั่นก็คงทนต่อไปไม่ไหว
หลินสวินจึงตัดสินใจไปดูพวกเจ้าคางคกก่อน แล้วค่อยย้อนมาแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคอีกครั้ง ลองดูว่าตนจะทนอยู่ได้นานเท่าไหร่
สวบ!
ในรังมารดาต้นกำเนิด เงาร่างหลินสวินวูบไหว ข้ามผ่านโลกต้นกำเนิดแต่ละแห่ง
สองวันต่อมา
ในแดนลับที่มีภูเขาตั้งตระหง่าน หินผาประหนึ่งเหล็กกล้ลูกหนึ่ง ส่งเสียงกึกก้องน่าหวาดหวั่นออกมาไม่หยุด
ก็พบว่าบนเส้นขอบฟ้าที่ไกลออกไป มีผีเสื้อที่ทั่วร่างอาบไล้ด้วยแสงมายา สีปีกดำมืดดุจคืนเดือนดับ ยาวราวพันจั้งตัวหนึ่งกระพือปีกโบยบินอยู่ใต้ผืนฟ้า
ห้วงอากาศใกล้เคียงประหนึ่งถูกดาบคมตัดแบ่ง กรีดเป็นริ้วแคบยาวนับไม่ถ้วนแผ่ออกไปทุกทิศทาง
เมื่อมองจากไกลๆ ห้วงอากาศเหมือนดั่งผืนผ้าที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน
ราวกับภาพพายุคลั่งฉากหนึ่ง!
ตอนหลินสวินไปถึงก็เห็นภาพนี้แล้ว อดเผยสีหน้าหลากหลายไม่ได้
ผีเสื้อยักษ์นั้นก็คือเสี่ยวเทียนผีเสื้อมารแยกฟ้า เพียงแต่ที่ต่างไปก็คือเสี่ยวเทียนในตอนนี้ มีอานุภาพระดับจักรพรรดิที่ไหลหลั่งไปทั่วร่าง แม้จะเป็นเพียงจักรพรรดิขั้นหนึ่ง ทว่าอานุภาพที่น่ากลัวไร้ขอบเขตและพลังอภินิหารเช่นนั้น ห่างไกลเกินกว่าระดับจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้!
“นายท่าน ข้าเหยียบย่างสู่ระดับบจักรพรรดิแล้ว และปลุกอภินิหาร ‘ฉีกแยกห้วงอวกาศ’ ได้อย่างสมบูรณ์ ต่อไปถ้ามีศัตรูใช้วิชาเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศหลบหนีภายใต้สายตาของข้า ก็เท่ากับรนหาที่ตาย”
ไกลออกไปเสี่ยวเทียนกรีดฟ้ามาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ปีกที่ดำมืดดั่งราตรีนิรันดร์ทั้งคู่ขยับโบก แหวกเป็นวังวนห้วงอากาศเป็นกลุ่มๆ อยู่ใกล้ๆ อานุภาพน่าตระหนก
จากนั้นประกายแสงระลอกหนึ่งไหลวน เสี่ยวเทียนแปลงกายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง คิ้วตาอ่อนหวานน่ารัก ดวงตากลมโต ขนตาเป็นแพยาว บนใบหน้าเล็กขาวบริสุทธิ์ดุจหยกแต้มบรรยากาศขวยเขิน
เทียบกับอานุภาพที่มืดมน เย็นชา ชวนให้คนใจสั่นก่อนหน้านี้ ช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้แต่หลินสวินก็อดอึ้งไปไม่ได้ จากนั้นถึงยิ้มกล่าว “ดูท่าเชื่องมากเลยทีเดียว”
เสี่ยวเทียนก้มหน้างุด ใช้สองมือบิดมุมเสื้อ กล่าวอย่างเหนียมอาย “ข้า… กลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรก ไม่รู้ว่าแบบนี้ดีหรือไม่…”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกขลาดกลัว
หลินสวินยิ้ม ใครจะคิดว่าเสี่ยวเทียนเป็นแม่นางน้อย ทั้งยังขี้ประหม่า ขี้อายง่ายดายเช่นนี้
“ไปเถอะ พวกเราไปหาเสี่ยวอิ๋นกัน”
ขณะพูดหลินสวินก็มุ่งหน้าห่างออกไป
เสี่ยวเทียนขานรับคำหนึ่งแล้วรีบตามไป ยามนางเคลื่อนไหวร่างกาย ไร้เสียงไร้กลิ่น ไม่มีคลื่นอากาศกระเพื่อมออกมาสักนิด ความเร็วน่าตกใจหาใดเปรียบ
หลินสวินตระหนักได้แล้วว่า ในฐานะทายาทผีเสื้อมารแยกฟ้า พรสวรรค์โดยกำเนิดที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ห้วงอากาศของเสี่ยวเทียน หลังจากบรรลุระดับจักรพรรดิแล้วถึงได้ปรากฏออกมาอย่างแท้จริง
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา
หลินสวินก็พบเสี่ยวอิ๋น
การเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวอิ๋นไม่มากนัก ยังคงสูงสามชุ่นเท่าเดิม ใบหน้าปานเด็กหนุ่ม ชุดขาวทั้งตัว หล่อเหลาเย็นชา ทว่าหลินสวินสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายบนร่างเสี่ยวอิ๋นก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงเช่นกัน
นั่นคือกลิ่นอายของระดับจักรพรรดิ!
ยิ่งไปกว่านั้นหน้าผากของเสี่ยวอิ๋นยังมีดวงตาแนวตั้งเกิดเพิ่มขึ้นหนึ่งดวง ตอนที่ดวงตาข้างนั้นลืมขึ้น ถึงขั้นสะท้อนภาพน่ากลัวที่เทพมารหลั่งเลือด สรรพสิ่งดับสิ้นออกมา น่าหวาดหวั่นไร้ใดเปรียบอย่างชัดเจน
“นายท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของระดับจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย!”
เสี่ยวอิ๋นกล่าวเรียบๆ เจือแววหยิ่งพยอง แต่แววตาปลาบปลื้มนั้นกลับบอกชัดถึงความตื่นเต้นในใจเขา
“ไม่เลวๆ” หลินสวินพยักหน้าปลกๆ เสี่ยวอิ๋นเองก็เลื่อนเป็นระดับจักรพรรดิอย่างราบรื่น ทำให้เขาโล่งอกอยู่ไม่น้อย
“เอ๊ะ แม่นางผู้นี้เป็นใคร ทำไมกลิ่นอายของนางถึงคุ้นเคยเช่นนี้…” เสี่ยวอิ๋นมองเห็นเสี่ยวเทียนที่อยู่ข้างกายหลินสวินแล้วอดอึ้งไม่ได้
ดวงหน้าน้อยๆ ปานหยกขาวของเสี่ยวเทียนที่เอียงอายอยู่พลันแดงเรื่อ ก้มหน้าลงกล่าวอึกอัก “เป็น… เป็นข้าเอง…”
เสี่ยวอิ๋นสูดหายใจสะท้าน กล่าวติดๆ ขัดๆ “ข้าถือเจ้าเป็นน้องชายมาตลอด เจ้าเปลี่ยนเป็นหญิงได้อย่างไร”
ท่าทางประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดของเขาทำเอาหลินสวินอดหัวเราะไม่ได้
ทว่าไม่ทันไรก็เห็นเสี่ยวอิ๋นยิ้มดีอกดีใจ ปรบมือกล่าว “แต่ก็ดี น้องชายน้อยไปหนึ่งคน แต่ได้น้องสาวเพิ่มมาอีกคนแทน ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
เสียงสวบดังขึ้นคราหนึ่ง เขาก็กระโดดไปอยู่บนไหล่เสี่ยวเทียน แนบกายข้างใบหูกระจ่างของเด็กสาว กล่าวเบิกบาน “แต่ก่อนเจ้าอยู่บนไหล่ของข้าตลอด ต่อไปเปลี่ยนเป็นข้ายืนบนไหล่เจ้าบ้าง”
ขณะที่พูดยังจงใจหันไปเป่าลมหายใจใส่หูเสี่ยวเทียน จนใบหูของเสี่ยวเทียนแดงซ่าน
เห็นเช่นนี้เสี่ยวอิ๋นก็หัวเราะพอใจ
เสี่ยวเทียนคล้ายเขินจนทนไม่ไหว ยกมือขึ้นกำเสี่ยวอิ๋นแล้วกล่าวอย่างดุร้าย “หากหยอกข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าจะบีบเจ้าให้แหลกไปเลย”
เสี่ยวอิ๋นอึ้งทันที บีบให้แหลก? คำพูดน้องเสี่ยวเทียนดุร้ายเกินไปแล้วกระมัง…
“ไปเถอะ”
ห่างออกไปหลินสวินกวักมือ
ต่อมาหลินสวินก็ไปหาเจ้าคางคก อาหลู่ อาหูอีก
ในนั้นอาหูก็บรรลุเป็นจักรพรรดิแล้ว ตอนที่หลินสวินมาหา นางกำลังอาบน้ำผลัดเสื้ออยู่ เรือนร่างสูงโปร่งขาวสะอาดหมดจดนั้นเปล่งแสงแวววาวใสพิสุทธิ์ เส้นผมยาวดำขลับที่สยายลงกับผิวขาวปานหิมะนั้น กลายเป็นการโจมตีทางสายตาอย่างรุนแรงอย่างหนึ่ง
หลังนางบรรลุระดับจักรพรรดิ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปด้วย งามปานเทพธิดาที่ไม่กินอาหารแดนมนุษย์ ทุกอากัปกิริยาเหนือโลกีย์
ทว่ายามนางหัวเราะ ดวงตาพระจันทร์เสี้ยวที่โค้งงอนั้น มุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ และรอยยิ้มที่ระบายบนดวงหน้า กลับเผยความงามปานเสียงสวรรค์ ชะล้างใจคน
แม้แต่หลินสวินก็ยังรู้สึกตกตะลึง ความงามของอาหูแต่เดิมก็เป็นเอกลักษณ์ และยามนี้เมื่อบรรลุระดับจักรพรรดิ ทำให้เสน่ห์ของนางเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมาก
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินไม่เข้าใจก็คือ เจ้าคางคกและอาหลู่สองคน กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ทะลวงระดับ ปิดด่านอยู่ตลอด ราวกับว่าพบเจออุปสรรคใหญ่ยิ่งอยู่
หลินสวินไม่ได้รบกวนพวกเขา การทะลวงระดับจักรพรรดินี้ เดิมทีคนนอกไม่มีทางช่วยได้อยู่แล้ว ทำได้เพียงอาศัยพลังของตัวเองฝ่าไปเท่านั้น
ส่วนเจ้านกดำ…
ผ่านไปสามเดือนแล้ว เจ้านกขี้ขโมยตัวนี้ถึงขั้นที่แม้แต่ระดับกึ่งจักรพรรดิยังไม่ทะลวง!
ถึงอย่างนั้นตอนที่เห็นหลินสวิน เจ้าบ้านี่ก็ยังแบกหม้อดำไว้ข้างหลัง เชิดจมูกขึ้นฟ้า กล่าวอย่างเย่อหยิ่งไม่แยแส “บอกกับเจ้าไปนานแล้วไง ว่านายท่านนกอย่างข้าไม่ทะลวงระดับก็แล้วไป แต่ทันทีที่ทะลวงก็จะเป็นระดับจักรพรรดิเลย ระดับกึ่งจักรพรรดินี่อยู่บนมรรควิถีของนายท่านนกอย่างข้าเสียที่ไหน!”
หลินสวิน เสี่ยวอิ๋น อาหู ล้วนถ่มน้ำลายใส่
แม้แต่เสี่ยวเทียนที่ขี้อายยังอดกลอกตาไม่ได้
เจ้านกดำ อะไรล้วนไม่มี มีเพียงมรรคาแห่งความหน้าด้านและขี้คุยเท่านั้นที่ยิ่งเดินยิ่งก้าวไกล…
และในวันนั้น หลินสวินพาอาหู เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนมุ่งหน้าไปแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคด้วยกัน โอกาสหยั่งรู้อันล้ำค่าเช่นนี้ จะให้พวกเขาพลาดไม่ได้เช่นกัน
ส่วนในโลกภายนอก
ในช่วงสามเดือนนี้กลับมีพายุก่อตัวเมฆดำถาโถม!
…………………….