Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2382 สิบจักรพรรดิมาเยือน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2382 สิบจักรพรรดิมาเยือน
สามเดือน
สำหรับร่างต้นของหลินสวินแล้วราวกับผ่านไปชั่วดีดนิ้ว
ทว่าในนครต้องห้าม ช่วงเวลาสามเดือนกลับเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
เรื่องพวกนี้ล้วนเกี่ยวกับการก่อตั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิดทั้งสิ้น
คนจำนวนมหาศาลจากทั่วหล้าที่มากราบอาจารย์ ทำเอานครต้องห้ามในช่วงนี้ครึกครื้นเป็นประวัติการณ์
และขณะเดียวกัน เหล่าผู้อาวุโสอย่างพวกหลินจง จ้าวไท่ไหล่ ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
สำนักยุทธ์ก่อเกิดเพิ่งจะก่อตั้ง ระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งหมดยังอยู่ในช่วงปรับปรุงให้สมบูรณ์ แม้จะประกาศไปนานแล้วว่าช่วงนี้จะไม่รับศิษย์จากภายนอก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ คนที่มากราบอาจารย์หมายเข้าสำนักก็ยังทยอยกันมาไม่ขาดเช่นเดิม
คนที่มากราบอาจารย์เหล่านี้ คล้ายว่าเพื่อแสดงความเด็ดเดี่ยวและความแน่วแน่ของตน แม้ถูกปิดประตูปฏิเสธก็ยังไม่ยอมจากไป ปักหลักอยู่ใกล้ภูเขาชำระจิตทุกวันคืน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ
จนกระทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือน บริเวณใกล้เคียงภูเขาชำระจิตก็คลาคล่ำไปด้วยฝูงชนแล้ว!
ถึงขั้นราคาที่ดินและบ้านซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดต่างดีดขึ้นไปหลายสิบเท่า!
ท้ายที่สุดหลังจากคนระดับสูงของสำนักยุทธ์ก่อเกิดหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าหนึ่งปีให้หลังจะเปิดการทดสอบใหญ่ครั้งหนึ่งเพื่อรับศิษย์
ถึงตอนนั้นไม่ว่าชาติกำเนิดสูงต่ำเช่นไร ขอแค่เป็นผู้ผ่านการทดสอบร้อยอันดับแรก ก็ล้วนสามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกรุ่นแรกได้
แม้จะเป็นศิษย์สายนอก และแม้จะจำกัดแค่หนึ่งร้อยคนก็ตาม แต่เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ยังเกิดเสียงฮือฮาไปทั่วหล้าทันที
คนนับไม่ถ้วนหมายมั่นปั้นมือ มุมานะเคี่ยวกรำ บากบั่นเพื่อสิ่งนี้
เพื่อการณ์นี้ขุมอำนาจใหญ่นับไม่ถ้วนทุ่มทรัพยากรมากมายอย่างไม่เสียดาย เพียงเพื่อบ่มเพาะลูกหลานส่วนหนึ่งให้สามารถผ่านการทดสอบของสำนักยุทธ์ก่อเกิดได้
และบรรดาคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกภูเขาชำระจิตก็พากันแยกย้ายไปในที่สุด
สุดท้ายเรื่องการรับลูกศิษย์จึงได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ทว่าพวกหลินจงยังไม่ทันได้โล่งใจก็มีข่าวใหม่แพร่ออกมา…
“พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารส่งมหาจักรพรรดิสิบคนมาคารวะจอมจักรพรรดิหลินที่นครต้องห้าม!”
หินหนึ่งก้อนก่อคลื่นนับพันชั้น ทั่วหล้าต่างหันมอง
“คนดีไม่มา คนมากลับไม่ดี พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารแห่งทะเลกลืนวิญญาณหมายตาวาสนามหามรรคในนครต้องห้ามมานานแล้ว พวกเขามาครั้งนี้เพื่อก่อเรื่องเป็นแน่!”
มีคนวิเคราะห์
“ไม่ผิด ถ้ามาคารวะ ทำไมต้องส่งระดับจักรพรรดิมาสิบคนเล่า เห็นอยู่ทนโท่ว่าต้องการใช้กำลังพลนี้มาหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของจอมจักรพรรดิหลิน ลอบวางแผนชั่วละสิไม่ว่า!”
คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าพายุรอบนี้ที่หอบม้วนมาจากทะเลกลืนวิญญาณ เป้าหมายก็คือหลินสวินที่ควบคุมดูแลสำนักยุทธ์ก่อเกิดเวลานี้
“สำนักยุทธ์ก่อเกิดเพิ่งจะก่อตั้ง ทั้งสำนักมีเพียงจอมจักรพรรดิหลินดูแล ก็ไม่รู้ว่าจะแก้โจทย์ยากนี้ได้หรือไม่… ”
มีคนกระวนกระวายใจ
“พวกระดับจักรพรรดิในดินแดนรกร้างโบราณถูกสังหารไปหมด รากฐานก็ถูกขุดรากถอนโคนไปแล้ว ด้วยอานุภาพของจอมจักรพรรดิหลิน มีหรือจะสลายคลื่นลมคราวนี้ไม่ได้”
และมีคนมากมายที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินอย่างเต็มเปี่ยม
ใครก็ไม่มีทางลืมศึกนองเลือดครั้งนั้นที่เกิดขึ้นในนครต้องห้ามเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และก็เพราะศึกนี้ ทำให้หลินสวินมีฐานะสูงส่งประหนึ่งเทพไท้ในใจผู้ฝึกปราณทั้งหมด
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ที่พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารจะไม่เข้าใจเรื่องที่ขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นล่มสลาย และยิ่งไม่มีทางไม่รู้ ว่าพลังต่อสู้ของจอมจักรพรรดิหลินน่ากลัวขนาดไหน ที่พวกเขารีบมายามนี้ต้องเป็นเพราะอยากมาพึ่งพิงเป็นแน่!”
ขุมอำนาจใหญ่บางส่วนวิเคราะห์ คิดว่าในเมื่อพันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเป็นการกระทำที่ใคร่ครวญมาอย่างดีและไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว
คลื่นลมคราวนี้ถูกกำหนดให้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!
“ถ้าแม้แต่ปัญหานี้ยังข้ามไปไม่ได้ คนใต้หล้านี้ใครยังจะอยากกราบเข้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดนั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีกเล่า”
“ถึงตอนนั้นสำนักยุทธ์ก่อเกิดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาไม่นานนี้ เกรงว่าคงล้มอย่างไม่อาจฟื้นคืน!”
ใต้หล้าคลื่นลมปั่นป่วน มีเสียงวิพากวิจารณ์นับไม่ถ้วนดังขึ้น
ขณะเดียวกันภายในสำนักยุทธ์ก่อเกิด
เหล่าคนระดับสูงอย่างพวกหลินจง จ้าวไท่ไหล่ จ้าวซิงเย่เองก็รู้ข่าวทั้งหมดเช่นกัน แต่ละคนต่างขมวดคิ้ว ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
สำนักยุทธ์ก่อเกิดเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารก็ส่งระดับจักรพรรดิสิบคนมาเยือน ย่อมไม่ได้มาดีแน่ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นพวกหลินจงต่างรู้อยู่แก่ใจว่าที่พูดว่ามาคารวะ แท้จริงแล้วคือการมาหยั่งเชิงสำนักยุทธ์ก่อเกิดเท่านั้น
ไม่สิ หากพูดอย่างเคร่งครัด ควรพูดว่ามาหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของหลินสวิน!
ถ้าหลินสวินไม่สำแดงพลังที่สามารถสยบมหาจักรพรรดิสิบคนนี้ได้ สามารถคาดเดาได้ว่าพันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารพวกนี้ต้องฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องแน่นอน
“ข้าจะไปพบนายน้อยสักหน่อย”
หลินจงตัดสินใจ
บนยอดภูเขาชำระจิต ในลานมรรคเด็กหนุ่มสาวเกือบร้อยชีวิตกำลังฝึกฝน
เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้คือศิษย์รุ่นแรกของสำนักยุทธ์ก่อเกิด คัดเลือกจากคนในตระกูลหลิน สมาชิกราชวงศ์ ภาคีนักสลักวิญญาณ สำนักศึกษามฤคมรกต โถงทองคำ
ไม่ว่าพรสวรรค์หรือคุณสมบัติล้วนแต่เป็นเลิศ
แต่ว่าสำหรับหลินสวินแล้ว สิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดกลับเป็นความแน่วแน่ จิตใจและความกล้าหาญ
หลายปีนี้ที่ท่องไปทั่วหล้า หลินสวินเคยเจอคนที่พรสวรรค์น่าทึ่งมาไม่รู้เท่าไหร่ แต่มีเพียงผู้ที่มีความแน่วแน่ยิ่งยวด กล้าหาญยิ่งยวด และมีจิตใจที่มั่นคงเท่านั้นถึงจะเดินบนมรรคาได้ไกลขึ้น
ฟ้าประทานพรแด่คนขยันมุมานะ คำพูดนี้แม้จะเก่าแต่ก็เป็นหลักการที่ไม่มีวันเสื่อมคลายตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
เช่นเดียวกับศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจิน ต่างก็เป็นบุคคลเช่นนี้
ตอนนี้กายมรรคไม้เขียวของหลินสวินกำลังอุ้มหลินหลางบุตรสาวของสื่ออวี่ พลางมองดูเด็กหนุ่มสาวพวกนี้ฝึกปราณจากไกลๆ
หลินหลางซบกลางอกหลินสวิน กะพริบดวงตาใสแจ๋วประหนึ่งเด็กน้อยขี้สงสัย ถามนั่นนี่ไม่หยุด
คำถามบางข้อช่างไร้เดียงสายิ่ง ทว่าหลินสวินก็ยังคงยิ้มอดทนอธิบาย แถมยังหยอกหนูน้อยบ้างเป็นครั้งคราวอย่างมีความสุข
“ลุงจง มีอะไรหรือ”
ยามร่างของหลินจงเดินเข้ามาแต่ไกล ก็ถูกหลินสวินสังเกตเห็นทันที
หลินจงลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังคงแจ้งข่าวที่พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารส่งมหาจักรพรรดิมาเยือน
เมื่อฟังจบนัยน์ตาของหลินสวินก็ฉายแววเย็นชา ยิ้มกล่าวทันที “เรื่องขี้ปะติ๋ว บอกคนอื่นๆ ว่าอะไรควรทำก็ทำไป ถ้าเจ้าพวกนั้นกล้ามาหาเรื่องถึงที่ เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเขาจะรับผลที่ตามมาไหวหรือไม่”
ครั้นเห็นท่าทีไม่แยแสของหลินสวินก็ทำให้ให้หลินจงอึ้งไป อดกล่าวไม่ได้ “นายน้อย แต่นั่นคือมหาจักรพรรดิสิบคน มิหนำซ้ำพวกเขาคงต้องวางแผนมานาน และเตรียมตัวมาก่อนเป็นแน่”
หลินสวินยิ้มเยาะ “ก็แค่ตัวตลกเต้นแร้งเต้นกาเท่านั้น ลุงจงวางใจเถิด”
แม้ในใจหลินจงยังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพยักหน้าน้อยๆ แล้วรีบจากไป
“ท่านอาจะทะเลาะกันอีกแล้วหรอ” ดวงตาคู่โตของหลินหลางฉายแวววาวโรจน์
หลินสวินเขกหน้าผากของนางคราหนึ่งพลางหัวเราะ
…
มหาจักรพรรดิสิบคนที่พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารส่งมา มาถึงเร็วกว่าที่ผู้คนคาดไว้เล็กน้อย
เพียงสามวันหลังจากข่าวแพร่ออกไปเท่านั้น
มหาจักรพรรดิที่มาจากเผ่าต่างๆ ในทะเลกลืนวิญญาณทั้งสิบคนก็ปรากฏตัวที่นอกนครต้องห้าม ทั้งยังไม่อำพรางกลิ่นอายของตนด้วยซ้ำ จึงถูกพบทันทีที่เผยตัว สร้างความฮือฮาในเมือง
คนมากมายตึงเครียด บรรยากาศทั่วนครต้องห้ามเปลี่ยนเป็นกดดัน
นอกเมือง
เมฆดำอึมครึม ฟ้าดินเย็นเยือก
มหาจักรพรรดิสิบคนยืนอยู่บนท้องฟ้า บ้างมีประกายสายฟ้าสีเงินโอบล้อม บ้างมีวงแสงที่สะท้อนสุริยาจันทราดาราปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะ บ้างเท้าเหยียบภูเขาศพทะเลเลือด กดข่มอยู่เหนือนรก บ้างก็มีมือกุมจักรวาล นัยน์ตาสาดแสง…
อานุภาพกดดันของระดับจักรพรรดิเหล่านั้น เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ประหนึ่งพายุหมุนที่กวาดม้วนอย่างอุกอาจ บดบังเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน กดข่มจนห้วงอากาศนอกเมืองส่งเสียงครวญหึ่งๆ ภูผาธาราต่างสั่นสะเทือน
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
บริเวณที่มหาจักรพรรดทั้งสิบคนยืนอยู่ แค่กลิ่นอายที่ปกคลุมก็ฆ่าผู้ฝึกปราณที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิได้แล้ว!
และท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันนี้ จู่ๆ มหาจักรพรรดิสิบคนก็ทยอยเอ่ยปาก
“เฟิงเสียนเผ่าฉลามม่วง มาคารวะจอมจักรพรรดิหลิน!”
“รุ่ยชงเผ่าเจียวทอง มาคารวะจอมจักรพรรดิหลิน!”
“กังอู๋จิวเผ่างูเหลือมอสนี… ”
“เผ่าค่างบิน…”
เสียงน่าเกรงขามแต่ละสายดังขึ้นจากนอกเมือง กระจายไปทั่วนครต้องห้าม สะเทือนทั่วทิศ
ประหนึ่งฟ้าร้องกึกก้องบนผืนฟ้าระลอกหนึ่ง
ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างอกสั่นขวัญแขวน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ผู้มาไม่มีเจตนาดีดังคาด
สายตาทั้งหมดล้วนมองไปยังภูเขาชำระจิตอันเป็นที่ตั้งของสำนักยุทธ์ก่อเกิด
สีหน้าพวกหลินจงเคร่งขรึม ผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์ก่อเกิดทั้งหมดก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวลง
และท่ามกลางบรรยากาศกดดันเช่นนี้
สวบ!
เงาร่างสูงตระหง่านสายหนึ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ ชุดขาวปานหิมะ ท่วงท่าสง่างามยิ่งยวด
เป็นกายมรรคทองขาวของหลินสวิน
เขาก้าวเดินเนิบนาบ พริบตาก็มาถึงนอกเมืองแล้ว
“เป็นจอมจักรพรรดิหลิน!”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากสังเกตเห็นภาพนี้ต่างอดฮึกเหิมไม่ได้ กลางนัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเคารพเลื่อมใส
นอกเมือง มหาจักรพรรดิทั้งสิบก็มองเห็นว่าหลินสวินออกมาเพียงลำพังเช่นกัน นัยน์ตาต่างหดรัดลงเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่ ทว่ายังคงมีท่าทางสุขุมเยือกเย็นและน่าเกรงขามดังเก่า
“ข้าคนแซ่หลินมาแล้ว พวกเจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดหรือ” หลินสวินถามตรงๆ
เหล่าจักรพรรดิต่างอึ้งไปเล็กน้อย
หนึ่งในนั้นแววตาวาวโรจน์ กล่าวเสียงต่ำ “พวกข้ามาที่นี่เพราะอยากหารือกับจอมจักรพรรดิหลินสักหน่อย เรื่องที่พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารแห่งทะเลกลืนวิญญาณเข้ามาตั้งมั่นในแดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรคนี้…”
“ไม่มีอะไรต้องหารือ”
หลินสวินกล่าวตัดบทตรงๆ “นครต้องห้ามนี้ นอกจากสำนักยุทธ์ก่อเกิดของข้า ขุมอำนาจอื่นๆ ล้วนไม่อาจยื่นมือเข้ามาได้ ไม่เช่นนั้นฆ่าไม่ละเว้น”
เด็ดขาดชัดเจน ไม่มีทางให้ถอยสักนิด
นี่ทำให้มหาจักรพรรดิพวกนั้นขมวดคิ้ว สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง ครั้งนี้พวกเขาเตรียมการมาก่อนแล้ว เดิมทีคิดว่าอาศัยพลังของพวกเขาก็เพียงพอทำให้หลินสวินเกรงใจได้บ้าง
แต่คิดไม่ถึงว่าท่าทีของอีกฝ่ายจะไร้ซึ่งความเกรงใจถึงเพียงนี้ตั้งแต่แรก!
ชายสูงใหญ่ที่อานุภาพเย้ยฟ้าและมีแสงทองไหลเคลื่อนทั่วร่างส่งเสียงหยันเย็นชา “สหายยุทธ์ เจ้าคนเดียวก็คิดจะครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรคทั้งหมด นี่ไม่ดูเผด็จการเกินไปหน่อยหรือ”
“ที่พวกข้ามาคราวนี้ เดิมทีหมายจะมาด้วยเจตนาดี ไม่มีอะไรมากไปกว่าคิดเข้ามาตั้งฐานที่มั่นในนครต้องห้าม และไม่มีใจคิดจะหาเรื่องจอมจักรพรรดิหลินด้วย หวังว่าจอมจักรพรรดิหลินจะใคร่ครวญ”
“จอมจักรพรรดิหลิน ไอวิญญาณฟื้นคืน มหายุคมาเยือนแล้ว ด้วยพลังของเจ้าคนเดียว… เกรงว่าคงไม่มีทางผูกขาดครอบครองนครต้องห้ามได้ แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมถอยให้สักหน่อยเล่า”
จักรพรรดิคนอื่นเองก็กล่าวตามๆ กัน ยามพูดจาเหมือนกำลังหารือ แต่ความจริงกลับเจือแววคุกคามที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
กลับเห็นหลินสวินยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าคนแซ่หลินจะพูดอีกครั้งเดียว เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องหารือ ข้าแนะนำให้พวกเจ้าจากหายตัวไปตอนนี้ซะดีกว่า มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าคนแซ่หลินไม่เกรงใจ”
พอคำพูดนี้ดังออกมา เหล่าผู้ฝึกปราณพที่จับตามองสถานการณ์นี้อยู่ต่างสูดหายใจสะท้าน จอมจักรพรรดิหลินเป็นราชาที่อาจหาญแห่งยุคดังคาด ไม่มีใครเทียบได้
นั่นเป็นถึงมหาจักรพรรดิสิบคนที่เข้าประชิดกำแพงเมือง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น มีหรือจะหาญกล้าแข็งกร้าวใส่เช่นนี้
เมื่อหันมองเหล่าระดับจักรพรรดิพวกนั้นอีกครั้ง สีหน้าแต่ละคนในตอนนี้ล้วนอึมครึมลงน้อยๆ แล้ว
——