Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2445 ฝูงแพะรวมกลุ่ม สัตว์ดุร้ายเคลื่อนไหวลำพัง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2445 ฝูงแพะรวมกลุ่ม สัตว์ดุร้ายเคลื่อนไหวลำพัง
เมื่อเห็นลักษณะของคนผู้นี้ถนัดตา บรรยากาศในโรงเตี๊ยมก็ยิ่งเงียบสนิท คนมากมายทำหน้าตื่นตกใจ
เฟิงจวินหลิน!
หนึ่งใน ‘สี่ยอดจักรพรรดิกระบี่’ เขายอดกระบี่
บุคคลในตำนานที่มีฉายา ‘มกุฎยอดกระบี่’ คนหนึ่ง
ชื่อเสียงเกรียงไกรที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ ถึงขนาดที่ยังขจรขจายในโลกพันจักรวาลสิบอันดับแรก
ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่พวกเฟิงจวินหลินมาถึงเมืองตั้งต้น ก็สร้างคลื่นโกลาหลไม่น้อยขึ้น มีคนไปเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย
ในตอนนี้เฟิงจวินหลินเป็นถึงมกุฎจักรพรรดิกระบี่ขั้นแปดที่ทุกคนในเมืองตั้งต้นต่างจับจ้องให้ความสนใจ ราชันยอดกระบี่มาเยือน ไร้ศัตรูทัดเทียม!
‘แข็งแกร่งนัก เก็บงำกลิ่นอาย ความอหังการแทรกอยู่ภายใน แค่บุคลิกของเขาก็โดดเด่นเหนือคนทั้งหมดแล้ว’
นี่คือความคิดเห็นของคนมากมาย ทำให้ผู้คนหวั่นเกรง เป็นพวกน่าสะพรึงที่แข็งแกร่งถึงที่สุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เฟิงจวินหลินมีนัยน์ตาเป็นแนวตั้ง สวมเกี้ยวประดับทองม่วง เข็มขัดหยกขาว ท่วงท่าโดดเด่นผ่าเผย หล่อเหลาหาญกล้า ยามก้าวเดินประหนึ่งจอมราชันมาเยือนจริงๆ
สี่คนที่เดินตามหลังเขามีทั้งชายหญิง ล้วนเป็นพวกอานุภาพล้นฟ้า แต่ละคนมีท่วงทำนองหยิ่งยโสเฉพาะตน แต่ยามอยู่ต่อหน้าเฟิงจวินหลินกลับหม่นราศีไม่น้อย
หลินสวินที่กำลังอ่านรายชื่อผู้เข้าร่วมแดนลับฝึกหลอมอยู่ก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกเฟิงจวินหลินแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะเฟิงจวินหลิน ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายทำให้เขาเองก็อดเหลือบมองอีกครั้งไม่ได้
หนำซ้ำในใจเขาก็ระบุสถานะของอีกฝ่ายได้รางๆ แล้ว
เพราะในรายชื่อผู้เข้าร่วมแดนลับฝึกหลอมในมือเขา ก็มีบันทึกเกี่ยวกับเฟิงจวินหลินแห่งเขายอดกระบี่ด้วย
เขียนว่าคนผู้นี้มาจาก ‘เขตแดนดาราเทพผงาด’ มิติจักรวาลอันดับหนึ่งในโลกพันจักรวาล มีพรสวรรค์หายากในหมื่นยุค มรรควิถีแห่งตนลึกล้ำสุดหยั่ง
แต่จากนั้นหลินสวินก็เก็บสายตากลับมา
อิงจากบันทึกในรายชื่อผู้เข้าร่วมแดนลับฝึกหลอม เฟิงจวินหลินถูกจับจ้องมากจริงๆ แต่ในเมืองตั้งต้นตอนนี้ คนที่สามารถเทียบกับเฟิงจวินหลินได้ก็มีไม่น้อย
ทันทีที่เฟิงจวินหลินมาถึง ดวงตาแนวตั้งสีม่วงก็กวาดมองทั่วโถงแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าหลิงเสวียนจื่อที่ลอบสังหารเหวินเซ่าเหิงผู้นั้นก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หรือ”
พรึ่บ!
ประโยคเดียวสายตาทุกคู่แทบจะมองทางหลินสวิน สีหน้าแตกต่างกันออกไป คราวนี้ถึงเข้าใจว่าที่เฟิงจวินหลินมาในครั้งนี้ ก็เพราะหลิงเสวียนจื่อ!
ส่วนหลินสวินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองไปยังเฟิงจวินหลินแล้วกล่าวว่า “มีธุระหรือ”
เฟิงจวินหลินก็ทอดสายตามองมาเช่นกัน สำรวจหลินสวินจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “บุคลิกนิ่งสุขุมท่วงท่าโดดเด่น ไม่เลว ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง”
คำประเมินเหล่านี้ทำให้ทุกคนต่างมืดแปดด้าน ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
ก็เห็นข้างกายเฟิงจวินหลิน ชายชราชุดหยกที่ผมเครางอม้วน มีสง่าราศีคนหนึ่งยกยิ้มบางๆ กล่าวว่า
“หลิงเสวียนจื่อ นายน้อยของข้าได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้าอยู่ในสภาพวิกฤติ หากเจ้ายินดีพึ่งใบบุญ อุทิศชีวิตให้นายน้อยของข้า นายน้อยของข้าอาจช่วยเจ้าคลี่คลายปัญหากวนใจบางอย่างได้”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างฮือฮาตกใจ
กล้าแทรกแซงเรื่องของเหวินเซ่าเหิง สามารถพิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าเฟิงจวินหลินมีที่พึ่งและความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ถึงได้ไม่เกรงกลัวเหวินเซ่าเหิง
เพียงแต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าที่เฟิงจวินหลินมาครั้งนี้ เพราะอยากใช้โอกาสนี้รับตัวหลิงเสวียนจื่อมาทำงานอุทิศชีวิตข้างกาย!
ชั่วขณะเดียวคนมากมายเผยสีหน้าอิจฉา การได้ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกาย ‘มกุฎยอดกระบี่’ จากเขายอดกระบี่ นั่นย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว อย่างน้อยก็สามารถเดินไปในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ได้ไกลกว่าเดิม กระทั่งการรอดชีวิตไปถึงโลกยอดนิรันดร์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นี่สามารถทำให้ผู้คนใจหวั่นไหว
และมีคนแค่นหัวเราะในใจ หลิงเสวียนจื่อถึงขั้นกล้าลอบสังหารเหวินเซ่าเหิงในเมือง ซ้ำยังปลอดภัยไม่เป็นไร คนร้ายกาจแห่งยุคระดับนี้ มีหรือจะใช่พวกที่ยอมอยู่ใต้ปกครองใคร
ตัวหลินสวินเองยังอึ้งไปครู่หนึ่ง อดยิ้มกล่าวไม่ได้ “พวกเจ้ารู้ผลที่ตามมาของการแทรกแซงเรื่องนี้หรือไม่”
มุมปากเฟิงจวินหลินขยับเป็นเส้นโค้ง คล้ายคิดว่าคำพูดนี้ของหลินสวินน่าขันยิ่งนัก
ชายชราชุดหยกที่อยู่ข้างๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆ ดูท่าสหายยุทธ์ยังไม่รู้รากฐานแท้จริงของเขายอดกระบี่ของเรา ข้าบอกเจ้าก็ได้ แค่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้า สำหรับนายน้อยของข้าแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็กที่กระดิกนิ้วก็คลี่คลายได้แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงขั้นผลที่ตามมาอะไรหรอก”
ในน้ำเสียงเจือแววยโสและอวดดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในใจทุกคนพลิกม้วนอีกระลอก ถูกคำพูดเหล่านี้ทำให้ตกใจ
กลับเห็นหลินสวินกล่าวเรียบๆ “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย ทุกท่านสามารถต้านทานภัยคุกคามที่มาจากแดนเร้นนภาได้หรือไม่”
แดนเร้นนภา!
บรรยากาศในโถงโรงเตี๊ยมพลันเปลี่ยนเป็นกดดันแปลกพิกลขึ้นมาในทันใด
เฟิงจวินหลินหัวคิ้วขมวดมุ่น
ชายชราชุดหยกและคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยังกล่าวอย่างใจเย็นว่า “แดนเร้นนภานี่เป็นขุมอำนาจมือสังหารแห่งหนึ่ง ภายใต้การคุ้มครองจากเขายอดกระบี่ของพวกเรา คิดว่าพวกเขาก็น่าจะตระหนักได้ว่าคนแบบไหนควรล่วงเกิน คนแบบไหนไม่ควรล่วงเกิน”
หลินสวินกล่าวว่า “ถ้าหากข้าบอกเจ้าว่าอีกไม่นานมือสังหารคนหนึ่งที่ชื่อน้ำค้างจะมาหาถึงที่ล่ะ”
น้ำค้าง!
คนมากมายไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
แต่คนจำนวนมากกว่าต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่แล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้ว่า ‘น้ำค้าง’ เป็นคนหนึ่งที่น่าสะพรึงขนาดไหน
ขนาดเฟิงจวินหลินยังขมวดคิ้วแน่น
ส่วนพวกชายชราชุดหยกล้วนหัวเราะไม่ออกแล้ว แววตาตกใจแกมสงสัย พากันมองไปยังเฟิงจวินหลิน
เห็นชัดว่าการคุกคามที่มาจากน้ำค้างทำให้พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดพล่อยๆ
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ รินสุราให้ตัวเองแล้วเอ่ย “คิดอยากใช้เรื่องนี้มาทำให้ข้าหลิงเสวียนจื่อก้มหัวถวายชีวิตให้ ทุกท่าน… ออกจะคิดง่ายเกินไปหน่อยแล้ว ถือโอกาสที่ยังพอมีช่องว่างให้กลับลำ ข้าขอเตือนพวกท่านว่ารีบจากไปจะดีที่สุด กันไม่ให้เหวินเซ่าเหิงรู้เรื่องนี้เข้า แล้วเกิดแค้นฝังใจกับพวกท่านเพราะเรื่องนี้จะดีกว่า”
คำพูดทั้งประโยคทำเอาพวกชายชราชุดหยกสีหน้าวูบไหวไม่นิ่งไปพักหนึ่ง อัดอั้นในอก แม้แต่หน้าก็ยังปั้นไม่อยู่
แต่เดิมพวกเขาวางท่าสูงส่ง มองหลินสวินเป็นคนอ่อนแอใกล้ตาย พยายามอาศัยโอกาสนี้ทำให้เขายอมศิโรราบ ถวายชีวิตให้แก่เฟิงจวินหลิน
ใครจะไปคิด…
อุปสรรคที่เจ้าหมอนี่หยิบออกมาจะถึงกับใหญ่โตขนาดนี้!
น้ำค้างถึงขั้นออกโรงด้วยตัวเองแล้ว เรื่องนี้วิกฤติเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย เหนือความคาดหมายของพวกเขา ทำให้พวกเขาตั้งรับไม่ทัน รู้สึกตึงมืออย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในคำพูดเหล่านั้นของหลินสวินเจือกลิ่นอายเสียดสีอยู่รำไร ทำให้ทั่วร่างของพวกเขาล้วนอึดอัดไปชั่วขณะ
“น่าเสียดาย”
กลับเห็นเฟิงจวินหลินถอนใจเบาๆ มองหลินสวินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
พวกชายชราชุดหยกรีบตามขึ้น
ภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของทุกคน ล้วนมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างอดไม่ได้ ด้วยรู้สึกว่าการจากไปของพวกเฟิงจวินหลินเจือกลิ่นอายคอตกกลับไป เสียหน้าอย่างมหันต์
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมา ไม่ว่าเฟิงจวินหลินจะเสียหน้าหรือไม่ ก็ล้วนเป็นพวกน่าสะพรึงที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้
และตอนที่พวกเขามองมายังหลินสวินอีกครั้ง สีหน้าล้วนซับซ้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลอบสังหารเหวินเซ่าเหิง ซ้ำยังล่วงเกินจวนเจ้าเมืองเหิงเทียนซั่ว ตอนนี้ยิ่งถูก ‘น้ำค้าง’ มือสังหารในตำนานอันดับที่สี่จากแดนเร้นนภาหมายหัวอีก…
สำหรับระดับจักรพรรดิคนใดก็ตาม เรื่องเหล่านี้ล้วนสามารถทำให้พวกเขาพังทลายได้ แต่หลิงเสวียนจื่อนี่ถึงกับมีอารมณ์สุนทรีย์ดื่มสุราอยู่อีก!
เขาไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมจะประสบเคราะห์ได้ทุกเมื่อหรือ
หลินสวินคร้านจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ ก้มหน้าก้มตาดื่มสุราของตนจนหมด ก่อนหยัดตัวขึ้นเดินกลับห้องไป
ในวันนั้นข่าวที่เฟิงจวินหลินจากไปแบบขายขี้หน้าต่อหน้าหลินสวินก็กระจายไปทั่วทั้งเมืองตั้งต้น กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของผู้คน
ส่วนข่าวที่ ‘น้ำค้าง’ หมายหัวหลินสวิน ก็ทำให้คนไม่รู้เท่าไหร่เสียววาบในใจ
ยังไม่ทันเข้าสู่โลกยอดนิรันดร์ ก็ถูกมือสังหารในตำนานเช่นนี้หมายหัวซะแล้ว… นี่ไหนเลยยังจะมีโอกาสรอดชีวิตได้อีก
หลิงเสวียนจื่อคนนี้ ช้าเร็วก็ต้องจบเห่อยู่ดี!
เพียงแต่เมื่อเทียบกับแดนลับฝึกหลอมที่ใกล้จะมาถึง ข่าวที่โหมกระพือขึ้นนี้ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจยิ่งกว่าคือ ในแดนลับฝึกหลอมครั้งนี้จะมีกี่คนที่รอดชีวิตออกมา และจะมีกี่คนที่รวบรวมแหล่งดาราได้ครบกันแน่
หลายวันต่อมา
รุ่งอรุณสาดส่องฟ้า เสียงแตรสายหนึ่งแผ่กว้างออกไปเหนือห้วงอากาศของเมืองตั้งต้น เวิ้งว้างแน่นหนา ดุจดั่งดังลอยมาจากบรรพกาล
แดนลับฝึกหลอม จะเปิดใช้งานในวันนี้แล้ว!
ในเมือง เงาร่างที่เข้าร่วมการฝึกหลอมแต่ละสายเริ่มเคลื่อนไหวนานแล้ว รวมตัวกันบนลานกว้างมหึมาแห่งหนึ่งหน้าจวนเจ้าเมือง ดำมืดทั้งแถบ เงาร่างเบียดเสียดกันเต็มไปหมด
แม้จะไม่ถึงขั้นผู้คนล้นหลาม ทว่าคนในที่นี้ ล้วนเป็นถึงมหาจักรพรรดิที่เดินออกจากเขาซากศพทะเลเลือด มีถึงหกร้อยกว่าคน รัศมีที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวแต่ละคนรวมเข้าด้วยกัน ดุจดั่งทวยเทพมาเยือนโลกชัดๆ!
ตอนที่หลินสวินมาถึง ก็เรียกสายตาเพ่งความสนใจได้ไม่น้อยเช่นกัน
เหวินเซ่าเหิงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย สายตาฉายแววเคียดแค้นเย็นเยียบอันกรีดกระดูก
หลินสวินเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง ราวกวาดมองคนตายคนหนึ่งก็ไม่ปาน คร้านจะมองอีกเป็นครั้งที่สอง นี่ทำให้สีหน้าเหวินเซ่าเหิงยิ่งเย็นเยียบมืดทะมึนเข้าไปใหญ่
พวกเฟิงจวินหลินก็อยู่ด้วย เมื่อเห็นหลินสวินปรากฎตัว สีหน้าพวกเขาก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งเช่นกัน
ตอนนี้ ข่าวเรื่องที่พวกเขาเสียหน้าเพลี่ยงพล้ำต่อหน้าหลินสวิน กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งในเมืองแล้ว ทำให้พวกเขาสะอิดสะเอียนเหมือนกินแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินมีหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ เขากวาดสายตาคราหนึ่ง ก็มองเห็นใบหน้าคุ้นเคยอย่างพวกสิงมู่เทียนยอดจักรพรรดิเสวียนซิง จักรพรรดิขวงหรู หนิงเต้าจื้อแล้วเช่นกัน
เพียงแต่ พวกเขาล้วนเหมือนเบี่ยงหลบสายตาของหลินสวินอย่างจงใจ ออกอาการเหินห่างเหมือนอยากจะขีดเส้นแบ่งเขตแดนกับเขา
ภายในใจหลินสวินไม่ได้หวั่นไหว ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้น
รอบตัวเขาเกิดพื้นที่ว่างขึ้นแถบหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใกล้ ไม่ใช่เพราะเกรงกลัว แต่เหมือนกลัวว่าจะไปข้องเกี่ยวกับเขา เป็นผลให้ชักภัยใส่ตัว
เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของทุกคน เขาเป็นคนที่เหมือนตัวหายนะที่ผูกปัญหาไว้กับตัวคนหนึ่งไปแล้ว
มีเพียงหลินสวินที่ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสักนิด เอามือไพล่หลัง ยืนอยู่คนเดียว นิ่งเงียบและผ่อนคลาย
ไกลออกไป ภิกษุที่เงาร่างผอมบาง สวมชุดผ้าป่านสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นอวิ้นหลิวจากอารามเสียงอสนีเล็กในโลกเสียงอสนีใหญ่นั่นเอง
นัยน์ตาเขาสุกใสเจือจิตฌานเร้นลับเสี้ยวหนึ่ง เก็บภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทั้งหมดอยู่ในสายตา อดระบายยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ ในหัวผุดประโยคหนึ่งขึ้นมา
“ฝูงแพะร่วมขบวน สัตว์ร้ายเคลื่อนไหวลำพัง!”
หน้าจวนเจ้าเมือง เหิงเทียนซั่วที่สวมชุดคลุมเรียบง่าย เรียบหรูสมถะปรากฏตัวขั้น บริเวณที่ยืนอยู่ห้วงอากาศบิดเบี้ยว กลิ่นอายระดับบรรพาจารย์ที่คละคลุ้งทั่วร่าง กดครอบทั่วลาน ทำเอาระดับจักรพรรดิไม่รู้เท่าไหร่ฉายแววตกใจออกมา
ท่ามกลางความเงียบทั้งแถบ เหิงเทียนซั่วเอ่ยปากกล่าวว่า “วันนี้ แดนลับฝึกหลอมจะเปิดใช้งาน ระยะเวลาคือหนึ่งเดือน กฎระเบียบง่ายดายยิ่ง ผู้ที่รวบรวมแหล่งดาราสมบูรณ์แบบได้ครบสิบชิ้น จะสามารถเหยียบย่างค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ มุ่งหน้าเดินทางต่อไป”
“ในแดนลับฝึกหลอม แบ่งเป็นทั้งสิ้นเก้าพื้นที่”
“หลังจากเข้าสู่แดนลับฝึกหลอม ป้ายยืนยันตัวตนในมือพวกเจ้า จะชักนำพวกเจ้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง มีเพียงในอาณาเขตพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถใช้ป้ายยืนยันตัวตนในมือ เปิดใช้งานประตูแดนลับเพื่อออกมาจากในนั้นได้”
“นอกจากนี้ ข้าไม่อาจไม่เอ่ยเตือนสักครั้ง ในการลเวลาที่ผ่านมา ระดับจักรพรรดิที่ตายในแดนลับฝึกหลอมมีจำนวนไม่น้อยเลย!”
กล่าวเสร็จ เหิงเทียนซั่วโบกมือคราหนึ่ง ทัพทหารที่สวมชุดเกราะครบเครื่องขบวนหนึ่งก็เดินออกไป
——