Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2554 ไม่ขวนขวายปรารถนา มหาเคราะห์มาเอง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2554 ไม่ขวนขวายปรารถนา มหาเคราะห์มาเอง
ใบของต้นหงเหมิงหมื่นมรรคพลิกตลบ เกิดเสียงดังสวบสาบเหมือนคัมภีร์โบราณเปิดออกทีละหน้า เปล่งเสียงสัทครรลองมหามรรคราวกับท่องคัมภีร์
เหมือนกำลังอธิบายต้นกำเนิดของจักรวาล กระบวนการเกิดของฟ้าดิน
ใต้ต้นไม้มีแค่เงาร่างหนึ่งนั่งสมาธิเงียบๆ ราวกับหินผา ตั้งแต่ต้นจนจบแน่นิ่งไม่ไหวติง แต่กลับมีอานุภาพคงอยู่ตราบนิรันดร์!
พริบตานี้หลินสวินเหมือนหลอมรวมมรรคเซียนและมรรคนรกของยุคก่อนเข้ากับมรรควิถีแห่งตนโดยสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงในเตาหลอม เหนือยุคสมัย ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!
กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่ลึกลับยากหยั่งถึงปรากฏโดยไร้สุ้มเสียง
ใต้ต้นหงเหมิง หลินสวินลืมตาขึ้นเงียบๆ
สีหน้าเขาราบเรียบไม่ไหวติง นัยน์ตาดำบริสุทธิ์ว่างเปล่า เขาหยัดร่างขึ้น ยืดเหยียดกล้ามเนื้อทั้งตัว เริ่มสำแดงวิชานานัปการที่ตนครอบครอง
เหมือนไม่รู้ตัวว่ามีมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังสุกงอม พร้อมกระหน่ำลงมาทุกเมื่อแล้ว
การหลอมรวมหมื่นมรรคจะวิวัฒน์เป็นหมื่นวิชาในยามนี้!
จิตใจหลินสวินตอนนี้ยังคงดื่มด่ำอยู่ในการแจ้งมรรคน่าอัศจรรย์ เมื่อเขาโคจรมรรควิถี วิชามหามรรคนานัปการปรากฏ วิชากระบี่ วิชาหมัด ประทับฝ่ามือ วิชาดรรชนี… มรรคและวิชาที่แตกต่าง สำแดงอานุภาพที่ต่างกันออกมาถึงขีดสุด!
เวลานี้ร่องรอยมรรคนับหมื่นสายตัดสลับกัน กลายเป็นภาพน่าเหลือเชื่อมากมาย ราวกับเซียนทุกองค์สำแดงยุทธ์ บ้างอหังการร้ายกาจ บ้างอานุภาพครองพิภพ บ้างเสรีดุจสายลม…
เทพคำราม มารคำรน ใบต้นหงเหมิงทั้งสามพันแผ่กลิ่นอายวิชามรดกชั้นสูงแห่งมรรคเซียนนับไม่ถ้วนลงมา วิวัฒน์เป็นภาพน่าหวาดกลัวไร้จำกัด ราวกับเทพชั้นสูงนับไม่ถ้วนสำแดงวิชามรรคที่แต่ละองค์ครอบครองพร้อมกัน ทุกองค์ล้วนมีอานุภาพยิ่งใหญ่กำราบกาลนิรันดร์!
มรรถวิถีชั้นยอด มรดกทรงพลัง ไหลเวียนหมุนวน สะท้อนอยู่ในร่างหลินสวินทั้งหมด
เขาเหมือนดั่งจักรพรรดิสวรรค์ ทุกการเคลื่อนไหวมีฟ้าแลบฟ้าคำราม ท้องนภาแตกเป็นเสี่ยงเหมือนจะดับสลายทั่วทิศ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นยอดมรรคา ทรงพลังไร้เทียมทาน!
ต้นหงเหมิงหมื่นมรรคมีใบเขียวสามพัน หมายความว่ามรดกไร้สิ้นสุดของต้นกำเนิดมรรคเซียน กำลังขานรับกับวิชามรรคที่หลินสวินเผยออกมาทั้งหมดในยามนี้
…
ในเวลาเดียวกันบนหน้าผาใต้ตำหนักเซียนใจกลาง
เวลาผ่านไปยี่สิบวันแล้ว
เหล่าผู้ฝึกปราณอย่างฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียวกำลังเฝ้ารอ เห็นได้ว่ามีความอดทนยิ่ง สำหรับบุคคลอย่างพวกเขา เวลาแค่นี้ไม่นับว่าเป็นอะไร
ต้องรู้ว่าระดับบรรพจารย์จักรพรรดิบางส่วนปิดด่านครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาร้อยพันปีไปโดยง่าย!
ทว่าเวลานี้กลิ่นอายด่านเคราะห์น่ากลัวอบอวล ทำให้พวกเขาใจสะท้านพร้อมกัน เงยหน้าขึ้นทันใด
ก็เห็นว่าบนเวิ้งฟ้านั้นไม่รู้ปรากฏเมฆาเคราะห์ดำสนิทดุจสีหมึกตั้งแต่เมื่อไหร่ กลิ่นอายกดดันเหมือนโลกมลายแผ่กระจายตามมา
ความน่ากลัวของกลิ่นอายนั้น ทำให้เหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิหน้าเปลี่ยนสีและใจสั่นอย่างอดไม่ได้
“นี่คือด่านเคราะห์ระดับใด น่ากลัวยิ่งนัก!”
ทุกคนในที่นั้นล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ผ่านเรื่องราวทางโลกมากมาย เห็นสรรพสิ่งทั่วหล้าจนชินตา แต่เวลานี้ทุกคนล้วนตื่นตระหนกไม่หยุด เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
ด้วยกลิ่นอายด่านเคราะห์เช่นนี้ พวกเขาล้วนไม่เคยได้ยิน ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“นี่… คงไม่ใช่เคราะห์ระดับบรรพจารย์ของหลินสวินนั่นกระมัง”
เวลานี้แม้แต่จงหลีเซียวก็ไม่สงบแล้ว นัยน์ตาหดรัด เต็มไปด้วยความสงสัย
“เคราะห์มกุฎบรรพจารย์ ซ้ำยังเป็นเคราะห์มกุฎบรรพจารย์ที่เป็นประวัติการณ์!”
นัยน์ตาฉีหลิงอวิ๋นก็เผยแววตกใจอย่างยากพบเห็น เสียอาการในเวลานี้
“เป็นไปได้อย่างไร” มู่อี้อึ้งงัน
“ปีนั้นยามข้าบรรลุมกุฎบรรพจารย์ กลิ่นอายของเคราะห์ที่ประสบยังไม่น่ากลัวเช่นนี้”
สีหน้าชือพั่วจวินพลันวูบไหวไม่หยุด
คนพวกนี้ล้วนมาจากน่านฟ้าที่แปด ทั้งตัวเองยังเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ย่อมรู้ดีกว่าคนทั่วไปว่าการบรรลุมกุฎบรรพจารย์นั้นเป็นเรื่องวิปริตน่ากลัวเพียงใด
เพียงเพื่อไขว่คว้าจุดเปลี่ยนแจ้งมรรค ยังอาจกักขังเหล่าบุคคลยอดเยี่ยมได้!
ยามแจ้งมรรคอย่างแท้จริง มหาเคราะห์ที่เผชิญก็ยิ่งแข็งแกร่งถึงขั้นทำให้ผู้คนเกือบสิ้นหวัง
ตอนนั้นพวกเขาก็ทุ่มเทจิตใจเพื่อไขว่คว้าจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคนี้ ใช้กำลังทั้งตระกูลจนอุตส่าห์ได้มา
ส่วนตอนข้ามด่านเคราะห์ยิ่งมีผู้อาวุโสตระกูลมากมายเฝ้าระวัง มีสมบัติแห่งยุคนับไม่ถ้วนคุ้มกาย มีโอสถวิเศษที่เรียกได้ว่าสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินต่อชะตา…
เรียกได้ว่าระดมกำลังพลทั้งตระกูล เตรียมการพร้อมสรรพ ถึงทำให้พวกเขาก้าวเข้าธรณีประตูของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิได้ในที่สุด
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เท่าที่พวกเขารู้ บุคคลโดดเด่นและมีฐานะเหมือนพวกเขาบางส่วนยังเคยสิ้นชีพในมหาเคราะห์เช่นนี้…
นั่นเป็นถึงบุคคลผู้องอาจที่ยักษ์ใหญ่อมตะใช้เลือดหัวใจนับไม่ถ้วนบ่มเพาะ!
เท่านี้ก็เห็นถึงความน่ากลัวของเคราะห์มกุฎบรรพจารย์แล้ว
ทว่าเทียบกับกลิ่นอายด่านเคราะห์ที่มาอย่างเงียบเชียบตรงหน้านี้แล้ว พวกฉีหลิงอวิ๋นกลับพบว่า เคราะห์บรรพจารย์ที่ตนประสบเมื่อปีนั้นดูไม่มีภัยคุกคามอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตกใจและเสียอาการ
เมื่อเห็นว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างพวกเขาเสียอาการเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นในที่นั้นล้วนไม่อาจสงบใจได้แล้ว
นี่ไม่ใช่หมายความว่ารากฐานที่หลินสวินมีในระดับนี้น่ากลัวยิ่งกว่า วิปริตยิ่งกว่า มหาเคราะห์ที่ชักนำมายามนี้จึงน่ากลัวกว่าเคราะห์ที่พวกฉีหลิงอวิ๋นประสบเมื่อปีนั้นหรอกหรือ
ถึงอย่างไรทุกคนต่างรู้ดีว่าด่านเคราะห์ที่ชักนำมายิ่งน่ากลัว ก็หมายความว่ามรรควิถีของผู้ข้ามด่านเคราะห์นั้นยิ่งแข็งแกร่ง
ครืน…
บนเวิ้งฟ้ากลายเป็นสีหมึกดุจราตรีนิรันดร์แล้ว ถูกเมฆาเคราะห์มืดมิดกดดันปกคลุมอย่างสมบูรณ์ ไม่เห็นแสงจากฟากฟ้าแม้เพียงเสี้ยว กลิ่นอายทำลายล้างที่ไม่อาจบรรยาย ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในบรรยากาศน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง
ทุกคนขนพองสยองเกล้า จิตใจสั่นสะท้าน
ถึงตอนนี้พวกฉีหลิงอวิ๋นก็หนาวสั่นไปทั้งตัว รับรู้ว่าด่านเคราะห์ครานี้ย่อมเรียกได้ว่ายากพบเห็นตั้งแต่โบราณกาล ทั้งอยู่เหนือความเข้าใจของพวกเขา
อาศัยเพียงจุดนี้ก็ทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ต่อให้พวกเขาไม่ยินดีก็จำต้องยอมรับ ว่าพวกเขาในตอนนั้นไม่อาจเทียบชั้นกับหลินสวินได้!
ไม่อย่างนั้นด่านเคราะห์ที่ชักนำมาย่อมไม่มีทางต่างกันมากเช่นนี้แน่
“โชคชะตากลั่นแกล้งจริงๆ เขาหลินสวินเข้าไปในตำหนักเซียนใจกลาง ได้รับสมบัติปริศนาชั้นสูง ตอนนี้ยังจับจุดเปลี่ยนเสี้ยวหนึ่งได้ ดึงดูดด่านเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มา หากเขาบรรลุมกุฎบรรพจารย์ ไม่ใช่ว่าจะกำราบทุกคนบนโลกในระดับเดียวกันหรือ”
จงหลีเซียวสีหน้าอึมครึม อึดอัดในทรวงอก
“ภายใต้มหาเคราะห์เช่นนี้ เขาหลินสวินไม่มีทั้งผู้คุ้มกันและการเตรียมตัวพร้อมสรรพ โอกาสที่จะรอดมาได้… ต้องริบหรี่หาใดเปรียบแน่” ชือพั่วจวินกล่าวอย่างเย็นชา
“ต่อให้เขามีโอกาสข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ ก็ยอมให้เขาบรรลุเป้าหมายไม่ได้เด็ดขาด!”
ในน้ำเสียงนุ่มนวลราบเรียบของฉีหลิงอวิ๋นนั้นแฝงความเด็ดขาด นัยน์ตายิ่งฉายแววเยียบเย็นเสียดกระดูกอย่างยากจะได้เห็น
มหาเคราะห์นี้ในอดีตไม่เคยพบเห็นมาก่อน หากให้หลินสวินข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ คนในระดับเดียวกันใครจะกำราบความหยิ่งทะนงของเขาได้
ถึงตอนนั้นในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ เกรงว่าคงต้องมีเขาเป็นผู้นำแล้ว!
จะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
“ทุกท่านโปรดดู หลังจากมหาเคราะห์ครานี้มาเยือน พลังกฎระเบียบของฟ้าดินแถบนี้เริ่มมีสัญญาณว่าจะพังทลาย หากข้าเดาไม่ผิด ใช้เวลาไม่นานพลังที่ปกคลุมบนหนทางฟ้าเลือกสรรจะแตกสลาย ถึงตอนนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปตำหนักเซียนใจกลางนั่นพร้อมกันได้!”
เมื่อฉีหลิงอวิ๋นเอ่ยปากออกมาก็ทำให้ทั่วลานเกิดความไม่สงบทันที ผ่านการสำรวจอย่างละเอียด ในที่สุดก็พบว่าเป็นอย่างที่ฉีหลิงอวิ๋นกล่าว พลังกฎระเบียบของฟ้าดินแถบนี้เริ่มปั่นป่วนแล้ว!
ถึงขั้นว่าพลังกฎระเบียบที่กำราบพลังปราณของพวกเขาไว้ยังมีสัญญาณว่าจะสลายไป!
“เช่นนี้ก็ยิ่งดีแล้ว!”
พวกจงหลีเซียวกับชือพั่วจวินล้วนเผยไอสังหาร ภัยคุกคามของหลินสวินมากเกินไป ซ้ำยังชิงศุภโชคที่นี่ไปจนสิ้น หากไม่กำจัด พวกเขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ตูม!
ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ดำทะมึน เสียงอสนีดังก้องเหมือนเสียงแรกเบิกฟ้าผ่าดิน สะท้อนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน กระเทือนจนผู้คนเลือดลมตีกลับ เบื้องหน้าพร่าเลือน
อานุภาพชั้นยอดนั้นน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
จากนั้นอสนีบาตดั่งกลองศึกสะท้านโลกระลอกหนึ่งดังก้องขึ้น ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ราวกับมีกองทัพทวยเทพพุ่งออกมา พายุสายฟ้าพร่างพราวบาดตานับหมื่นแสนกลายเป็นมหาสมุทรไพศาล เงาร่างสูงใหญ่ดุจเทพไท้สายแล้วสายแล้วพุ่งออกมาจากมหาสมุทร อาบไล้ด้วยประกายอสนี ครอบครองอานุภาพสวรรค์ พุ่งไปทางตำหนักเซียนใจกลางนั่น
แค่เห็นภาพนี้ทุกคนก็หายใจลำบาก สภาวะจิตเกือบสูญเสียการควบคุม ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนก มหาเคราะห์เช่นนี้… ไม่วิปริตและน่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ในใจฉีหลิงอวิ๋นก็มุ่งมั่นว่าจะกำจัดหลินสวินยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้นางยังคิดจะกำราบหลินสวิน ให้เขาก้มหัวคำนับและขายชีวิตให้ตน แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนถูกไอสังหารเข้ามาแทนแล้ว
‘หากเจ้าตายภายใต้เคราะห์สวรรค์ เช่นนั้นก็รวบรัดตัดจบ หากมีโอกาสรอดมาได้ ข้าก็จะให้เจ้าฝังร่างที่นี่ตลอดกาล!’ ฉีหลิงอวิ๋นจ้องหนทางฟ้าเลือกสรรนั้นเขม็ง กำลังรอพลังกฎระเบียบบนหนทางนี้ดับสิ้น
ตำหนักเซียนใจกลาง
ต้นหงเหมิงหมื่นมรรคตั้งตระหง่าน แสงมรรคเขียวมรกตนับหมื่นแสนแจ่มจรัสไหลวน ไม่ได้รับผลกระทบจากเคราะห์สวรรค์โดยสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้หลินสวินที่อยู่ใต้ต้นไม้ยังเหมือนไม่รู้ตัว กำลังอนุมานมรดกและวิชามรรคชั้นยอดนานัปการเต็มกำลัง
ตูม!
เงาร่างสูงใหญ่มากมายที่วิวัฒน์จากด่านเคราะห์อาบไล้อสนีบาตมาเยือน อาวุธที่ถืออยู่ในมือล้วนวิวัฒน์จากอานุภาพสวรรค์ น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต
ทว่ายังไม่รอให้เข้าใกล้ก็ถูกอานุภาพชวนประหวั่นไร้รูปซัดพินาศไปทั้งหมด กลายเป็นละอองแสงอสนีระเบิดกระจาย
แสงพร่างพรายสาดส่องตำหนักใหญ่ที่หมอกควันขาวโพลนอบอวลแห่งนี้ ทั้งสะท้อนร่างหลินสวินที่กำลังสำแดงยุทธ์ด้วย
ก็เห็นยอดมรดกมากมาย รวมถึงมรรคไร้สิ้นสุดเปลี่ยนเป็นอานุภาพดุจเขาถล่มสมุทรคำราม สั่นสะเทือนในการสำแดงของหลินสวิน
ส่วนเงาร่างอสนีที่พุ่งเข้ามา ก็ล้วนดับสลายภายใต้อานุภาพคลั่งระห่ำนี้!
หลินสวินในตอนนี้ทั้งวิวัฒน์วิชาแห่งตนและข้ามด่านเคราะห์ แต่จิตใจของเขากลับดื่มด่ำอยู่ในเขตแดนอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ทำให้ทุกอย่างนี้ดูต่างออกไปนัก
พลังของด่านเคราะห์นั้นดุดันและน่าหวาดกลัวระดับใด กระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นราวกับดับสลายโลกา เพ่งเล็งเขาคนเดียว
หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตาม เกรงว่าคงสิ้นหวังพังทลายไปนานแล้ว
แต่หลินสวินกลับไม่ร้อนรน ไม่ลำพองไม่ขุ่นเคือง ไม่โศกเศร้ายินดี ดื่มด่ำอยู่ในการสำแดงยุทธ์ หลงลืมตัวตน ขยับร่างกายอย่างผ่อนคลาย ยามเคลื่อนไหวยังสำแดงวิชามรรคมากมายอย่างต่อเนื่อง อนุมานถึงขีดสุด หลอมรวมเต็มกำลัง…
นี่ก็เหมือนการยกระดับถึงขีดสุดยามหนอนกลายเป็นผีเสื้อ ต้องการเข้าถึงความงามชั่วพริบตานั้น!
…………………