Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2585 อย่าคิดว่าการจากลาคือความเศร้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2585 อย่าคิดว่าการจากลาคือความเศร้า
หลินสวินมองอีกฝ่ายจากไปถึงค่อยหมุนตัวกลับ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เผยไอสังหารกดดันอีกฝ่าย เขาก็ได้ทิ้งประทับหนึ่งไว้บนตัวนางแล้ว
ขอเพียงนางกล้าผิดคำพูด ทำเรื่องแก้แค้นอะไร หลินสวินก็สามารถไปหาได้ทันที!
“สหายน้อย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
อู่ชวนเดินมาจากไกลๆ แล้วถามอย่างกังวล
“เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น ผู้ใหญ่บ้านวางใจเถอะ” หลินสวินยิ้มพูด
อู่ชวนถอนหายใจยาวกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
หมู่บ้านเงาเมฆายังคงเงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้ เหมือนดินแดนอันสงบสุข ไม่ได้ถูกเรื่องของโลกภายนอกรบกวน
เวลาผ่านไปเรื่องเกี่ยวกับเนี่ยชิงหรงก็แทบจะถูกหลินสวินลืมไปแล้ว
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ใบไม้ผลิแล้วร่วงหล่น
เวลาผ่านไปอีกปี
“เวลาผ่านไปไวจริงๆ”
หน้าเรือนหิน หลินสวินอยู่ในชุดพระจันทร์ขาวเอามือไพล่หลัง
ห่างจากตอนที่เขาเข้าหมู่บ้านเงาเมฆามาสามปีกว่าแล้ว หากไม่ใช่เพราะซย่าจื้อยังไม่ฟื้นเสียที นี่เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขช่วงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรดาเด็กๆ ในหมู่บ้านเอง สามปีมานี้ต่างเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความไร้เดียงสาหายไปบ้างแล้ว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา จิตวิญญาณโผบิน
โดยเฉพาะเสี่ยวซี โตเป็นเด็กสาวอายุสิบห้าที่งดงามแล้ว ผมงามเกล้าขึ้นด้วยปิ่นไม้ แม้ใส่ชุดกระโปรงที่ทำจากหนังสัตว์ก็ยากจะปกปิดกลิ่นอายงดงามบนตัวนาง
นางเอวบางมือเดียวโอบรอบ ขาทั้งคู่เรียวยาว มีชีวิตชีวาน่ารัก เพราะฝึกปราณมานานปี ทำให้ทั้งร่างนางเปล่งประกายสง่างามของเด็กสาวที่ต่างจากคนอื่น
อันที่จริงการฝึกปราณของเสี่ยวชีก็มีพัฒนาการชัดมาก แค่สามปีสั้นๆ ก็ทะลวงระดับไปหลายขั้นแล้ว เหยียบย่างบนมกุฎมรรคา ยามนี้เป็นระดับราชันอมตะเคราะห์ขั้นแปดที่สมชื่อคนหนึ่ง
“สหายน้อย”
ไกลออกไปอู่ชวนรีบร้อนเข้ามา ดวงหน้าเจือแววยินดี “ข้าเพิ่งได้ยินข่าวจากเพื่อนมา ครึ่งเดือนให้หลังเมืองหลิวเขียวก็จะเปิดศึกคัดเลือก!”
หลินสวินยิ้มกล่าว “เช่นนั้นดียิ่ง เสี่ยวซีก็ควรออกไปเจอโลกบ้างแล้ว”
อู่ชวนเหมือนคิดถึงบางอย่างขึ้นมา เอ่ยว่า “บาดแผลของเจ้า…”
“ฟื้นตัวได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ไม่กระทบกับการเดินทาง” หลินสวินกล่าวเสียงขรึม “นอกจากนี้ ขอให้ผู้ใหญ่บ้านเก็บแหวนเก็บของนี้ไว้”
เขาหยิบแหวนเก็บของวงหนึ่งออกมายื่นให้ “ในนี้มีสมบัติที่จำเป็นต่อการฝึกปราณอยู่จำนวนหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้า”
อู่ชวนลนลานขึ้นมาทันที “สหายน้อยเจ้าไม่กลับมาแล้วหรือ แม่นางซย่าจื้อยังไม่ฟื้นไม่ใช่หรือ”
หลินสวินยิ้มพูด “สามปีมานี้รบกวนทุกคนมาโดยตลอด ข้ากับซย่าจื้อควรจากไปได้แล้ว แต่ผู้ใหญ่บ้านวางใจได้ ต่อไปหากมีโอกาส ข้าจะกลับมาเยี่ยมทุกคน”
พูดจบก็ยัดแหวนเก็บของใส่มืออู่ชวนโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายจนปัญญาและผิดหวังมาก ยิ้มขื่นพูด “รู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องของเมืองหลิวเขียวกับเจ้า”
เขาดูออกว่าหลินสวินตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไป
“ฮ่าๆ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เลือกวันดีไม่สู้เลือกวันที่เหมาะ วันนี้ข้าจะพาเสี่ยวซีออกเดินทาง” หลินสวินยิ้มพูด
แม้ในใจอู่ชวนจะทำใจไม่ได้ แต่กลับรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว
หลินสวินเดินตรงเข้าเรือนไป มองซย่าจื้อที่นอนอยู่บนเตียงอย่างนิ่งสงบ แววตาเผยความอบอุ่น เอ่ยพึมพำในใจ ‘ซย่าจื้อ พวกเราจะรอต่อไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว เจ้าหลับอย่างวางใจเถอะ เรื่องแก้แค้นให้ข้าจัดการเอง’
ครั้งก่อนตอนอยู่ในฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคย มารเทพตี้สือสามารถบุกเข้ามาในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขาโดยไม่เปลืองแรงสักนิดได้ หลินสวินได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ครั้งนี้เพื่อความมั่นคง หลินสวินตัดสินใจให้ซย่าจื้ออยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
สมบัตินี้คือศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขา แม้เขาประสบเคราะห์ สมบัตินี้ก็ไม่มีทางถูกคนอื่นควบคุม อีกทั้งมีระเบียบนิพพานอยู่ ก็ไม่มีทางถูกศัตรูทำลายอย่างง่ายดาย
นี่สามารถให้การคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับซย่าจื้อได้อย่างไม่ต้องสงสัย
หืม?
ตอนที่หลินสวินวางซย่าจื้อเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ภาพที่เหลือเชื่อพลันปรากฏ
ระเบียบนิพพานถึงกับสาดละอองแสง พุ่งเข้าไปในร่างกายของซย่าจื้อ!
ในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย หรือพูดอีกอย่างว่า ก่อนหน้านี้หลินสวินเองก็ไม่เคยคิด ว่าเมื่อซย่าจื้อและระเบียบนิพพานพบกันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
ในใจเขาหดเกร็ง คิดว่าระเบียบนิพพานจะช่วงชิงพลังกฎเกณฑ์โชคชะตาที่ราวกับพันธนาการในร่างซย่าจื้อ แต่ไม่ทันไรเขาก็สังเกตเห็น ว่าหลังจากระเบียบนิพพานพุ่งเข้าร่างกายของซย่าจื้อ กลับกลายเป็นแสงมากมายวนเวียนอยู่บนพลังกฎเกณฑ์ที่ราวกับพันธนาการนั่น
เหมือนทำให้พลังกฎเกณฑ์ที่แน่นขนัดนั้นถูกรังไหมชั้นหนึ่งปกคลุม!
พร้อมกันนั้นพลังอัศจรรย์ปานนิพพานเริ่มวนล้อมบนต้นกำเนิดชีวิตของซย่าจื้อ
ในใจหลินสวินสะท้าน ดวงตาเป็นประกาย เข้าใจรางๆ แล้ว
ทีแรกในฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคยนั่น เพื่อปะทะศัตรู ซย่าจื้อเคยทุ่มสุดตัวฝืนกระตุ้นและผลาญเผาต้นกำเนิดชีวิต ส่งผลให้พันธนาการโชคชะตาขาดออกสายแล้วสายเล่า
แลตอนนี้การพุ่งเข้าไปของระเบียบนิพพาน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะนำพาการเปลี่ยนแปลงที่อัศจรรย์ให้กับซย่าจื้อ ทำให้นางเกิดการแปรสภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนจากบาดแผลที่รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นั่น!
นิพพาน เดิมก็เป็นการยกระดับถึงขีดสุดในการทำลายล้าง
เหมือนเช่นพลังระเบียบของยุคก่อนอย่างพลังระเบียบเสี่ยวเซียนและเสี่ยวหมิง ล้วนฟื้นคืนชีพด้วยระเบียบนิพพาน!
ตอนนี้ซย่าจื้อก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะผ่านการนิพพานเช่นนี้
คิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินทั้งตื่นเต้นทั้งนึกเสียใจภายหลัง รู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกก็ควรให้ซย่าจื้อมาอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว
เช่นนี้เมื่อผ่านการนิพพานสามปี คงฟื้นขึ้นมานานแล้ว!
‘ตอนนี้ก็ยังไม่สาย ขอเพียงแค่ฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว…’
ครู่หนึ่งหลินสวินจึงกดความตื่นเต้นในใจลง เก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
……
“เสี่ยวซี พวกเราไปกันเถอะ”
ยามหลินสวินไปหาเสี่ยวซีพร้อมอู่ชวน อีกฝ่ายก็เก็บของเรียบร้อยแล้ว
“อื้ม!” เสี่ยวซีอารมณ์ดี ยากจะปกปิดความตื่นเต้นและมุ่งหวัง “ในที่สุดก็จะได้ไปดูว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรกันแน่แล้ว”
“ยัยหนู ระหว่างทางต้องเป็นเด็กดีนะ อย่าสร้างเรื่องให้พี่เต้ายวนของเจ้า แล้วก็เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี พ่อแม่เจ้าจากไปไว…”
เสียงบ่นพึมพำไม่หยุด เฒ่าชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างอู่ชวนยังขอบตาแดงก่ำเปียกชื้นขึ้นมา เห็นชัดว่าอาลัยอาวรณ์มาก
“ท่านปู่ ท่านไม่ต้องเสียใจ ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ” เสี่ยวซีกอดแขนอู่ชวนพลางกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย
“ฮ่าๆ นี่ไม่ต้องหรอก ขอเพียงแค่เจ้ามีชีวิตที่ดีปู่ก็วางใจแล้ว” อู่ชวนสูดหายใจลึก ยิ้มกล่าวอย่างเบิกบาน เขาไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าหลานสาวหรอกนะ
“ผู้ใหญ่บ้านไม่ต้องเป็นห่วง มีข้าอยู่”
หลินสวินพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ไป ข้าไปส่งพวกเจ้าสักระยะ”
อู่ชวนนำไปก่อน
ทั้งสามคนไปจากหมู่บ้านเงาเมฆาโดยไม่ได้รบกวนคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เดินไกลออกไป
จนกระทั่งหลังจากส่งมาได้หลายพันลี้ อู่ชวนจึงหยุดเท้า โบกมือใหญ่พูด “ส่งไกลแค่ไหนก็ต้องจากลา พวกเจ้ารีบไปเถอะ”
หลินสวินประสานหมัดคารวะ “ผู้อาวุโส ลาก่อน”
สามปีที่เข้าสู่โลกยอดนิรันดร์ หมู่บ้านเงาเมฆาสร้างความทรงจำที่ดีมากให้กับเขา ชาวบ้านที่เรียบง่ายและจิตใจดีอย่างพวกอู่ชวน แม้ไม่ใช่บุคคลที่ร้ายกาจอะไร แต่สำคัญอย่างยิ่งในใจหลินสวิน
“ท่านปู่ ท่านรีบกลับไปเถอะ มีพี่เต้ายวนอยู่ท่านวางใจได้” เสี่ยวซีโบกมือพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาเล็กที่งดงามบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความสดใส
“เจ้าน่ะยังเด็กอยู่ไม่รู้ความ ฮ่าๆๆ ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”
อู่ชวนหมุนตัวพร้อมรอยยิ้ม เดินห่างออกไป
เขาไม่เห็นว่าเสี่ยวซีที่มองส่งเงาร่างของเขาค่อยๆ ลับตาไป บนใบหน้าเล็กขาวผ่องมีน้ำตาไหลหลั่งลงมาสองสายแล้ว พึมพำเสียงต่ำ “ท่านปู่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง…”
หลินสวินเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ ภาพการจากลาของปู่หลานคู่นี้น่าไหวหวั่น ถึงขั้นเกิดอารมณ์อิจฉาขึ้นอยู่บ้าง
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยสัมผัสความสัมพันธ์เชิงครอบครัวที่เลือดข้นกว่าน้ำเลย
ครู่หนึ่งหลินสวินตบไหล่ของเสี่ยวซีเบาๆ กล่าว “ยัยหนู ต่อไปไม่ว่าจะมีความสำเร็จบนมรรคามากแค่ไหน ก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมท่านปู่ของเจ้าบ่อยๆ มาเยี่ยมหมู่บ้านเงาเมฆาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามา เพราะที่นี่คือบ้านของเจ้า เป็นสถานที่ที่แม้ต่อไปจะหลงทางในมรรคา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกลับมาไม่ได้”
เสี่ยวซีพยักหน้าแรงๆ ปราดน้ำตาบนใบหน้าพร้อมพูดว่า “แน่นอน!”
นางอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำพูดของหลินสวิน ทว่าขอแค่จำได้ ในอนาคตจะต้องนึกถึงอย่างแน่นอน แล้วจะเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นเอง
บ้าน
สถานที่ที่ก่อนหน้านี้ดูเลือนรางมากมาโดยตลอดในใจหลินสวิน แต่ตั้งแต่มีซย่าจื้อ มีจ้าวจิ่งเซวียน มีลูก…
ในที่สุดเขาก็เริ่มรับรู้ได้ว่า บ้านเป็นสถานที่ที่สำคัญแค่ไหน
นั่นเป็นสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่ได้
หืม?
ตอนที่หลินสวินกับเสี่ยวซีจะจากไป เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันหันกลับไป
ก็เห็นบนเทือกเขาไกลออกไป เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ล้วนเป็นชาวบบ้านของหมู่บ้านเงาเมฆา รวมถึงพวกเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เคยฝึกปราณกับหลินสวินเป็นเวลาสามปี
“สหายน้อย รักษาตัวด้วย!”
“อาจารย์หลิน ภายหน้าจะต้องกลับมาเยี่ยมพวกเรานะ…”
“พี่เสี่ยวซี ในอนาคตพวกเราจะไปหาเจ้า รอพวกเรานะ!”
เสียงเรียกระลอกหนึ่งดังมาจากไกลๆ ชาวบ้านเหล่านั้นต่างเผยรอยยิ้มและโบกมือไม่หยุด เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ตะโกนตามมา
“ทุกท่าน รักษาตัวด้วย!”
ภาพนี้ทำให้หลินสวินอดหัวใจสั่นไหวไม่ได้ โบกมือลา
ท่ามกลางเมฆาล่องลอยกลางท้องฟ้า เทือกเขาเขียวมรกต ความรู้สึกของการลาจากสะเทือนหัวใจ
หนึ่งวันหลังจากนั้น
หน้าเมืองหลิวเขียว
พอเห็นเมืองอันเก่าแก่กว้างใหญ่ไพศาลที่เกรียงไกรและอาบอยู่ภายใต้แสงสวรรค์ เสี่ยวซีอดเบิกดวงตาวาววามไม่ได้
มองเห็นเงาร่างนับไม่ถ้วนเข้าๆ ออกๆ ในประตูเมืองที่สูงร้อยจั้ง บ้างขี่สัตว์วิญญาณ บ้างนั่งเกี้ยวสมบัติ บ้างเหยียบบนเมฆ บ้างทะยานเป็นแสงเคลื่อนไหว…
สิ่งมีชีวิตสารพัดชนิด ผู้ฝึกปราณหลากเผ่าเหมือนมาจ่ายตลาด ไหลหลั่งมาจากทุกสารทิศ ทำให้กลางฟ้าดินนี้ แสงสมบัติราวกับรุ้ง ลำแสงเคลื่อนปานพิรุณ แสงสีมากมายหลายหลาก
โตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวซีได้เห็นเมือง เห็นผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนี้ เหมือนมาถึงโลกที่งดงามมากสีสันแห่งหนึ่ง ในใจตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่
หลินสวินยืนยิ้มน้อยๆ มองดูอยู่ข้างๆ
นี่คือก้าวแรกที่เสี่ยวซีเข้าสู่โลกฝึกปราณอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งหลังจากนางได้เห็นความรุ่งเรืองทั่วหล้า ผ่านความไม่แน่นอนของโลก บางที…
สิ่งที่คิดถึงยิ่งกว่า อาจเป็นตนเองที่เคยไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกในอดีตกระมัง
——