Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2599 เขตผนึกนิรันดร์โรย เพลิงระเบียบ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2599 เขตผนึกนิรันดร์โรย เพลิงระเบียบ
ตำหนักสองลักษณ์
ได้เห็นแผนภาพที่เนี่ยชิงหรงส่งมา มุมปากจู้ฮุยก็ยกยิ้มพอใจ
“แผนภาพนี้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง” เขาเก็บแผนภาพไปแล้วชำเลืองมองเนี่ยชิงหรง แววตาเย็นชานั้นทำให้ฝ่ายหลังสั่นไปทั้งตัว
“ส่วนเรื่องบรรณาการ ก็ลำบากทั้งสองท่านแล้ว”
แววตาจู้ฮุยมองที่เฮ่อโหย่วฟางกับหงอิ้งเหอที่อยู่ข้างๆ
“นี่ผู้อาวุโสจะเคลื่อนไหวหรือ”
เฮ่อโหย่วฟางกุมมือถาม ต่อให้เขาเป็นคนตระกูลเฮ่อ แต่ยามเผชิญหน้ากับระดับอมตะก็ต้องเคารพนบนอบถึงที่สุด
“เรื่องเช่นนี้ทำเร็วดีกว่าช้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามาคราวนี้เดิมทีก็มาเพื่อพลังระเบียบนี้”
จู้ฮุยถอนใจเบาๆ “น่าเสียดาย โหยวเชียนเหิงผู้นี้ตายเร็วไป หาไม่แล้วอาศัยความดีความชอบจากการมอบแผนภาพนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะพาเขาไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่หก”
เนี่ยชิงหรงรู้สึกอึดอัดไปหมด
ยังดีที่จู้ฮุยไม่ได้ซักไซ้ต่อไปอีก เดินตรงออกไปยังนอกตำหนัก “ทุกท่าน ข้าไปก่อนล่ะ”
ขณะที่เสียงยังดังก้องอยู่ตัวเขาก็หายลับไปแล้ว
“เนี่ยชิงหรง มีแผนภาพเช่นนี้ทำไมเจ้าไม่บอกแต่แรก”
พอไม่มีจู้ฮุย เฮ่อโหย่วฟางก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “เจ้ารู้ไหมว่าถ้าชิงเอาพลังระเบียบมาได้จะหมายความว่าอย่างไร”
เนี่ยชิงหรงก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ข้าน้อยก็เพิ่งได้แผนภาพนี้มา จึงยังไม่ทันได้รายงานใต้เท้า”
“หึ!”
เฮ่อโหย่วฟางเอ่ย “ถ้าเจ้ารายงานเรื่องนี้เสียแต่แรกก็สามารถใช้ความดีความชอบนี้เข้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่หกได้ แต่ตอนนี้กลับให้ตระกูลจู้ได้ประโยชน์ไปเปล่าๆ ข้าว่าเจ้าสมควรอยู่ที่น่านฟ้าที่หนึ่งไปตลอดชาติ!”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เนี่ยชิงหรงหน้าถอดสีใจหล่นวูบ
นางตระหนักได้ว่าเฮ่อโหย่วฟางซึ่งเป็นตัวแทนตระกูลเฮ่อไม่พอใจนางเพราะเรื่องนี้!
“โอกาสดีขนาดไหนกัน”
หงอิ้งเหอทูตท่องสวรรค์ที่มาจากตระกูลหงก็ถอนใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเศร้าใจกับเนี่ยชิงหรงหรือเศร้าใจเพราะชวดวาสนาครั้งหนึ่งไป
เนี่ยชิงหรงก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร
เจ้าสำนักสำนักศึกษาสองลักษณ์แล้วอย่างไร
ในสายตาของทูตท่องสวรรค์น่านฟ้าที่หกเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวหมากที่วางไว้ตามใจ!
“พี่สาว ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
จนกระทั่งหงอิ้งเหอออกไปจากตำหนักเช่นกัน เหลิ่งชิงเสวี่ยจึงก้าวมาข้างหน้า มองดูเนี่ยชิงหรงที่สีหน้าอึมครึมอย่างเป็นกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
เนี่ยชิงหรงส่ายหัวฝืนยิ้มออกมา ดูท่าเรื่องวันนี้จะคลี่คลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ในใจนางกลับไม่เบิกบานนัก
ยามเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตน่านฟ้าที่หกเหล่านี้จริงๆ นางจึงพบว่าในสายตาของพวกเขาแล้ว ตนเล็กจ้อยและอ่อนแอปานไหน!
“พี่สาว ก่อนหน้านี้สหายยุทธ์ท่านนั้นเคยพูดว่า เมื่อจู้ฮุยเคลื่อนไหวเขาก็จะตามไปด้วย…”
ไม่ทันรอให้เหลิ่งชิงเสวี่ยพูดจบ เนี่ยชิงหรงก็หน้าเปลี่ยนสีไปโดยสิ้นเชิง เอ่ยว่า “นี่จะอันตรายเกินไปแล้ว ไม่ได้การ ข้าต้องไปขัดขวาง!”
ระดับอมตะ ในน่านฟ้าที่หกยังถือเป็นผู้ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ หลินสวินอาจจะแกร่งกล้าหาใดเทียบ แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของจู้ฮุยผู้นั้นได้อย่างไร
แต่เมื่อนางกับเหลิ่งชิงเสวี่ยมาถึงที่พักของหลินสวินด้วยกัน กลับพบว่าที่นั่นไม่มีคนอยู่นานแล้ว
“เขา… ถึงกับไปจริงๆ แล้ว…”
เนี่ยชิงหรงอกสั่นขวัญแขวน
“พี่สาว ในเมื่อสหายยุทธ์ท่านนั้นกล้าทำเช่นนี้จะต้องมีที่พึ่งพิงแน่ ข้ากลับรู้สึกว่า ไม่แน่คราวนี้ทูตท่องสวรรค์ตระกูลจู้อาจจะขาดทุนครั้งใหญ่”
เหลิ่งชิงเสวี่ยปลอบเสียงเบา
เนี่ยชิงหรงอึ้งไป ผ่านไปสักพักจู่ๆ นางก็นึกถึงข่าวลือแต่ก่อนขึ้นมา
หลายปีก่อนใกล้กับโบราณสถานทวยเทพในแดนใหญ่พันศึก เพราะศิษย์คีรีดวงกมลที่เป็นดั่งตำนานผู้นั้น ทำให้เกิดลมคาวฝนเลือดที่ไม่เคยมีทั้งในอดีตและปัจจุบันขึ้น
ตอนนั้นอย่าว่าแต่บรรพจารย์จักรพรรดิหรือมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนั้น ต่อให้เป็นระดับอมตะ… ยังร่วงหล่นราวกับสายฝน!
และทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะหลินสวิน!
คงเจวี๋ยอาจารย์อาของเขา ศึกเดียวสะท้านจักรวาล กลับมาอยู่ในสายตาของโลกยอดนิรันดร์อีกครั้ง
หลิงเสวียนจื่อศิษย์พี่ของเขายิ่งลือชื่อทั่วหล้า สร้างความอึกทึกครึกโครมให้กับโลกยอดนิรันดร์ในการต่อสู้ครั้งนี้!
ท่ามกลางลมคาวฝนเลือดครั้งนี้ ประกายของเขาอาจจะถูกอาจารย์อากับศิษย์พี่ของเขาบดบังมากเกินไป แต่ถ้าได้ล่วงรู้ผลงานการศึกของเขาโดยละเอียดก็จะรู้ว่า เขาที่อยู่ในโบราณสถานทวยเทพเผยความสามารถโดดเด่นปานไหน
ผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งอย่างสี่ตระกูลตงหวงยังแพ้ยับ บุคคลชั้นสูงที่มาจากน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นยังถูกสังหารทั้งหมด!
คนร้ายกาจยิ่งยวดเช่นนี้ จะเอาสามัญสำนึกมาชี้วัดได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ความร้อนรนกังวลใจของเนี่ยชิงหรงก็ลดลงไม่น้อย เอ่ยว่า “ชิงเสวี่ย เจ้าอาจพูดถูก…”
…..
สวบ!
กลางฟ้าดินอันเวิ้งว้าง แขนเสื้อใหญ่ของหลินสวินไหวกระพือ เคลื่อนตัวไปในห้วงอากาศ
หลังจากจู้ฮุยเคลื่อนไหวไม่นาน เขาก็เคลื่อนไหวทันที
เพียงแต่ไม่ได้สะกดรอยตาม ทำแบบนั้นบุ่มบ่ามเกินไป หากถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็นเภทภัยจะตามมาไม่รู้จบ
ที่เขาเลือกคือทางอีกสายหนึ่ง ซึ่งไปถึงบริเวณเทือกเขาหลิวร่วงที่บันทึกไว้ในแผนภาพนั้นได้เช่นกัน
‘ถ้าเปิดศึกจริงๆ ด้วยพลังต่อสู้ของข้าในตอนนี้อาจจะยังต้านอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ในแง่การสยบและดูดซับพลังระเบียบ เขาไม่มีทางเทียบกับข้าได้แน่…’
‘ถึงตอนนั้นลงมือตอนสบโอกาสก็พอ ถ้าคว้าโอกาสได้ก็ฆ่าอีกฝ่ายเสีย นี่ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง ถ้าไม่ได้ก็ต้องชิงพลังระเบียบนั่นมา…’
หลินสวินครุ่นคิดไปพลางเคลื่อนตัวเต็มกำลังไปพลาง
อาจารย์อาคงเจวี๋ยพึ่งพาอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากได้รับบาดเจ็บที่นอกโบราณสถานทวยเทพเมื่อหลายปีก่อน คงเจวี๋ยก็หลับปุ๋ยอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมาโดยตลอด
นี่ทำให้หลินสวินที่เดิมทีกังวลใจหาใดเทียบรู้สึกสบายใจนัก ทั้งยังขบขันอย่างอดไม่ได้
ยามอาจารย์อาผู้นี้หลับใหล เสียงกรนดังอย่างกับฟ้าผ่า นอนหลับสนิทดีนัก ถ้าไม่ใช่ว่านานแล้วยังไม่ตื่นขึ้นมา คงน่ากังขาว่าอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับตอนนั้นไม่ร้ายแรงอย่างที่เขาแสดงออก
ซย่าจื้อก็หลับใหลเช่นกัน ร่างสูงโปร่งถูกพลังระเบียบนิพพานปกคลุม
ระยะนี้หลินสวินสอดส่องดูอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่รู้ว่าบาดแผลในร่างซย่าจื้อจะฟื้นตัวโดยสมบูรณ์เมื่อไร และจะตื่นขึ้นมาตอนไหน
นี่ก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวนี้ทำได้เพียงอาศัยพลังของตัวเอง
ไม่ถึงกับหวั่นกลัว แต่กลับทำให้หลินสวินตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกอยู่กลายๆ นั่นเป็นความปรารถนาในการต่อสู้
ตั้งแต่บาดเจ็บจนถึงตอนนี้เขาเก็บตัวเงียบมานานปี ต่อให้ตอนนี้ท่องไปในน่านฟ้าที่หนึ่ง ต่อให้บาดแผลยังไม่สมานโดยสมบูรณ์ แต่ในระดับเดียวกันก็หาคู่ต่อสู้ไม่เจอสักคนแล้ว!
อย่างพวกโหยวเชียนเหิง หย่งเฟยตู้ รุ่ยไท่ฝู อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจอมอหังการทรงอิทธิพลชั้นยอดในน่านฟ้าที่หนึ่ง
แต่ในสายตาหลินสวิน ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาดินปวกเปียกสักนิด
ที่น่าจนใจก็คือ พวกมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิพบเห็นได้น้อยยิ่งในหกน่านฟ้าใหญ่ ถือเป็นบุคคลชั้นยอดที่หาตัวจับยาก บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ
ทั้งหมดนี้หมายความว่า ถ้าเขาอยู่ในน่านฟ้าที่หนึ่งไปตลอด มองไปในใต้หล้าก็แทบไม่มีศัตรูอยู่บนโลกแล้ว!
ยังดีที่คราวนี้มีจู้ฮุยปรากฏตัว
แม้อีกฝ่ายจะเป็นระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่หลินสวินกลับอยากลองดูว่าตัวเองที่สร้างมรรคาใหม่ได้แล้วจะงัดข้อกับอีกฝ่ายได้หรือไม่!
หลายวันผ่านไป
ฟ้าดินหม่นหมอง ไอพิฆาตอันเย็นเยียบแปลงเป็นพายุคลั่งอาละวาดร้องคำรามในห้วงอากาศ ส่งเสียงอย่างกับผีร้องหมาหอน ทิวเขาอันกว้างใหญ่แถบหนึ่งปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า
เมื่อมองดูโดยละเอียด เทือกเขาคดเคี้ยวนั้นยิ่งใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด ไอพิษที่แผ่กลิ่นเหม็นคาวออกมาเป็นริ้วๆ ปกคลุมเทือกเขานั้นไว้เหมือนหมอก
ที่นั่นแห้งแล้งไร้พืชพันธุ์ พลังชีวิตเหือดแห้ง มีเพียงไอพิฆาตกับไอพิษไหลเวียนอาละวาด
สถานที่เลวร้ายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไป ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิ หากอยู่ที่นี่นานๆ ไปมรรควิถีทั้งร่างก็จะถูกกัดกร่อนอย่างน่ากลัว
นี่ก็คือเทือกเขาหลิวร่วง สถานที่แห้งแล้งอันรกร้างไร้เงาคน
สวบ!
เกิดคลื่นระลอกหนึ่งในห้วงอากาศ เงาร่างหลินสวินปรากฏขึ้นกลางอากาศ แสงมรรคไหลเวียนบนเงาร่างสูงโปร่ง ขับไล่หมอกพิฆาตและไอพิษที่อยู่ใกล้เคียงไปทั้งหมด
เขาเงยมองรอบทิศ ในสมองมีภาพแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับ ‘เขตผนึกนิรันดร์โรย’ นั้น หลังจากเทียบดูคร่าวๆ แล้วก็ก้าวเท้าเดินตรงไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาหลิวร่วง
เพียงครู่เดียวหลินสวินก็พบร่องรอยการต่อสู้ คราบเลือดสีดำหม่นสาดลงบนด้านหนึ่งของยอดเขาที่ถล่มลงลูกหนึ่ง ผิวหนังและกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายระเกะระกะอยู่บนพื้นดิน
พอจิตรับรู้หลินสวินกวาดไป ก็ระบุได้ว่าการต่อสู้นี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ที่ถูกสังหารไปเป็นสัตว์ดุร้ายถึงที่สุดจำนวนหนึ่ง จากคราบเลือดกับกลิ่นอายที่หลงเหลือไว้สามารถตัดสินได้ว่ายามสัตว์ร้ายเหล่านี้มีชีวิตอยู่ คงมีพลังที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นห้า
แต่สภาพการตายของพวกมันกลับน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง ถูกสังหารด้วยพลังทำลายล้างรุนแรงในการโจมตีเดียว ไร้ซึ่งการปัดป้อง!
ดวงตาดำหลินสวินวาววาบ เดินหน้าต่อไป
ตลอดทางนี้ยังพบร่องรอยการต่อสู้หลายแห่งอย่างต่อเนื่อง สภาพเหมือนกับที่พบเมื่อแรกสุดไม่มีผิด
‘ดูท่า เจ้าเฒ่านั่นจะมาถึงก่อนแล้ว’
หลินสวินตัดสินออกมา เขาไม่ร่ำไร เร่งความเร็วเดินทาง ตลอดทางไม่ได้พบอันตรายอะไร สัตว์ร้ายที่อยู่ตามทางนั้นคล้ายถูกจู้ฮุยฆ่าไปหมดแล้ว กลับทำให้หลินสวินได้ประโยชน์
กระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป
ตูม!
เสียงดังลั่นหนักทึบแว่วมาจากส่วนลึกของไอพิษขมุกขมัว หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป
ก็พบว่าในส่วนลึกของภูเขาใหญ่ที่โล้นเตียนซึ่งอยู่ไกลลิบลูกหนึ่ง มีสายฟ้าสีเทาขาวหนาเท่าแขนคนนับไม่ถ้วนกำลังไหววูบตัดสลับ สาดประกายไฟตระการตาออกมาเป็นกลุ่มๆ เสียงสายฟ้าครั่นครืนที่เปล่งออกมาสะเทือนกลางภูผาธารา
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลงโดยพลัน
สายฟ้าสีเทาขาวนั้นถึงกับเป็นเพลิงระเบียบ เป็นเปลวเพลิงน่าครั่นคร้ามที่ควบรวมมาจากพลังระเบียบที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน
สมัยอยู่ที่แดนใหญ่พันศึก หลินสวินก็เคยเสี่ยงอันตรายรวบรวม ‘เพลิงระเบียบดับสูญ’ จะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของพลังเช่นนี้ได้อย่างไร
ระเบียบที่แตกกระจายแปรสภาพเป็นเปลวเพลิง สร้างภัยคุกคามต่อระดับอมตะได้!
ทันใดนั้นหลินสวินก็รู้สึกยินดีปรีดา สมัยอยู่ที่โบราณสถานทวยเทพ เพลิงระเบียบดับสูญที่อยู่กับตัวเขาก็ใช้ไปหมดแล้ว นับว่าสามารถถือโอกาสนี้ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมารวบรวมเพลิงระเบียบได้อีก!
เช่นนี้แล้ว ต่อให้ต่อกรกับระดับอมตะอย่างจู้ฮุยก็สร้างบาดแผลถึงตายให้อีกฝ่ายได้
สวบ!
และก็ในตอนที่หลินสวินคิดอยู่นี้ ในส่วนลึกของภูเขาลูกใหญ่ที่สายฟ้าสีเทาขาวนับไม่ถ้วนตัดสลับปกคลุมอยู่นั้น เงาร่างหนึ่งพริบวาบเบาๆ เคลื่อนเข้าไปในส่วนลึกของโกรกธารมหึมาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใต้บริเวณที่มีสายฟ้าสีเทาขาวส่องประกายนั้น และหายลับไปในชั่วพริบตา
แต่หลินสวินกลับระบุได้ทันทีว่าเงาร่างนั้นต้องเป็นจู้ฮุยโดยไม่ต้องสงสัย!
——