Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2604 ตัดสินใจจากไป
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2604 ตัดสินใจจากไป
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง นั่งขัดสมาธิกับพื้น เริ่มทำสมาธิ
ในหัวย้อนนึกถึงสัมผัสอันละเอียดอ่อนและรายละเอียดต่างๆ ของ ‘ประตูเนรเทศ’ ที่ใช้ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว
ครู่ใหญ่หลินสวินก็ได้ข้อสรุป
ตอนที่ประตูเนรเทศเปิดออก กฎเกณฑ์กาลเวลาและห้วงอากาศตัดสลับกัน พลังกลืนกินที่เกิดขึ้นน่ากลัวอย่างที่สุด หลินสวินไม่สงสัยเลยว่า ต่อให้เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิก็ต้านการกลืนกินของพลังระดับนี้ไม่ไหว
สำหรับระดับอมตะ…
หลินสวินนึกถึงพวกระดับอมตะที่เคยเจอ ในใจคาดเดาคร่าวๆ ว่าภายใต้การจู่โจมกะทันหัน ระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเกรงว่าจะประสบเคราะห์!
น่าเสียดาย ถึงอย่างไรก็ยังไม่เคยใช้ต่อสู้จริงๆ ทำให้หลินสวินยากจะคาดเดาอย่างแม่นยำ
และในประตูเนรเทศ คือหุบเหวไร้สิ้นสุด คนที่ถูกทิ้งไว้ในนั้นไม่สามารถหลุดพ้นได้ชั่วชีวิต เพราะนั่นคือโลกมิติอันแปลกประหลาด
เพียงแต่ในใจหลินสวินกลับมีข้อสงสัยหนึ่ง
หากหุบเหวไร้สิ้นสุดเป็นโลกที่มีอยู่จริง เหตุใดโลกใบนั้นจึงมีความเกี่ยวข้องอย่างอัศจรรย์กับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน
ในนี้จะต้องมีความเร้นลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่!
‘ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ หลังจากสำแดงประตูเนรเทศออกมา สามารถยืนหยัดได้แค่หนึ่งลมหายใจเท่านั้น นี่ก็หมายความว่า ไม่ใช่ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ไม่ควรใช้อภินิหารนี้ง่ายๆ…’
หลินสวินใคร่ครวญพลางนั่งสมาธิ
ก็เหมือนเมื่อครู่นี้ หลังจากสำแดงประตูเนรเทศ ก็เกือบจะสูบพลังทั้งหมดของเขาจนหมด รู้สึกหมดแรงอยู่รางๆ
ควรรู้ว่ามรรควิถีในตอนนี้ของเขา แม้ในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิยังเรียกได้ว่าไร้ศัตรู แข็งแกร่งเย้ยฟ้าอย่างที่สุด
ควรรู้ว่ามรรควิถีของเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน
ทว่าหลังจากสำแดงประตูเนรเทศ เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็ใช้พลังประมาณเก้าส่วนของเขาแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าอภินิหารนี้วิปริตเพียงใด!
นี่หากอยู่ในการต่อสู้ หากศัตรูไม่ถูกโจมตี สถานการณ์ของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นอันตรายทันที
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลังจากปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขั้นสามขึ้นมา เท่ากับทำให้หลินสวินมีไพ่ตายที่ประหนึ่งพลังต้องห้ามเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ใช่สิ
ควรจะเป็นไพ่ตายสองชิ้น!
ยามอยู่ในโบราณสถานยอดยุทธ์แห่งแดนใหญ่พันศึก ‘ดาบกาลเวลา’ อภินิหารพรสวรรค์ของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ก็ถูกผนึกอยู่ในเส้นปราณหัวใจของหลินสวิน
และตอนนี้พร้อมกับพลังพรสวรรค์ของหลินสวินที่ตื่นขึ้น ผนึกของดาบกาลเวลาก็ถูกสลายไปด้วย ทำให้หลินสวินได้รับมรดกลึกลับของอภินิหารนี้ทันที
ดาบกาลเวลาสามารถย้อนเวลา ตัดเฉือนมรรควิถี เรียกได้ว่าเป็นพลังต้องห้ามเช่นเดียวกัน
เหวยหมิงจื่อจากยุคก่อน เคยถูกเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ซัดจนกลับไปเป็นเด็กหนุ่ม ตัดเฉือนมรรควิถีทั้งชีวิตออก
นี่ก็หมายความว่าบนร่างหลินสวินในตอนนี้ มีทั้งพลังของประตูเนรเทศและดาบกาลเวลา อันเป็นพลังอภินิหารขั้นสามแห่งหุบเหวกลืนกินแล้ว
เมื่อพลังพรสวรรค์ตื่นขึ้น หลินสวินในตอนนี้ก็ก้าวสู่ขั้นใหม่ ระดับใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์แล้ว
……
หลายชั่วยามหลังจากนั้น
มรรควิถีทั้งหมดของหลินสวินฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว คิดๆ แล้ว สุดท้ายเขาก็อดกลั้นใจที่หมายจะลองอานุภาพของดาบกาลเวลา
อภินิหารต้องห้ามระดับนี้ พลังที่เสียไปมากเกินไป
ตอนนี้ผ่านการสงบจิตฝึกปราณมาหนึ่งเดือน หลินสวินไม่เพียงปลุกพลังพรสวรรค์ขึ้นมาได้ บาดแผลของเขาก็สมานกันโดยสมบูรณ์แล้ว ศักยภาพฟื้นคืนสู่สภาวะสูงสุด
มรรควิถีทั้งหมด ล้วนคืนสู่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นต้นขั้นสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งผ่านการเกิดใหม่และนิพพาน พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้จึงต่างจากเมื่อหลายปีก่อนโดยสิ้นเชิง
ต่อให้เจอมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างพวกจงหลีเซียว ชือพั่วจวิน ก็สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่เห็นพวกเขาในสายตาได้!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การต่อสู้ในระดับเดียวกันไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากหลินสวินได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหวาดเกรงและใส่ใจจริงๆ คือพวกระดับอมตะ
‘ที่นี่แม้เรียกได้ว่าเป็นแดนมงคลชั้นเลิศของน่านฟ้าที่หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่เหมาะกับการฝึกปราณในระยะยาว’
หลินสวินใคร่ครวญ
หนึ่งเดือนมานี้เขาไม่กล้าดูดซับไอวิญญาณของฟ้าดินแห่งนี้อย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ เหตุผลแรกเพราะจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนเกินไป เหตุผลที่สอง เพราะถ้าฝึกปราณเต็มกำลัง ไอวิญญาณฟ้าดินที่สั่งสมในเทือกเขาเสินถูแห่งนี้คงจะหมดสิ้นพังทลายอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นกระทบต่อการฝึกปราณยามปกติของผู้ฝึกปราณทั้งสำนักศึกษาสองลักษณ์
หลายครั้งหลินสวินล้วนใช้ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลและโอสถเทพบางอย่างในการฝึกปราณ แต่การสิ้นเปลืองนี้ก็มีจำนวนมหาศาลมาก เมื่อเวลาผ่านไป ทรัพยากรฝึกปราณที่เสียไปก็เรียกได้ว่าน่าตกใจ
อย่างในเดือนนี้ เพียงแค่ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลก็ถูกเขาใช้ไปเกือบยี่สิบล้านก้อนแล้ว!
‘มิน่าระดับอมตะเหล่านั้นล้วนไม่ยินยอมมาน่านฟ้าที่หนึ่ง มรรควิถียิ่งสูง ทรัพยากรฝึกปราณที่ต้องการก็ยิ่งมหาศาล ในสายตาของระดับจักรพรรดิ น่านฟ้าที่หนึ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นแดนมงคลชั้นเลิศ แต่ในสายตาของระดับอมตะ เกรงว่าคงไม่เข้าตา…’
แม้ตอนนี้เขาจะเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่รากฐานมรรควิถีแข็งแกร่งเกินไป ส่งผลให้ตอนที่เขาฝึกปราณก็ตระหนักได้เช่นกัน ว่าหากอยู่ที่น่านฟ้าที่หนึ่งตลอด พลังปราณของตนยากจะพัฒนาไปอีกขั้น
ขณะที่ใคร่ครวญหลินสวินก็ลุกขึ้น เงาร่างราวกับรุ้งเทพที่ทะยานขึ้น พลันพุ่งขึ้นนภาครามสูงขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งหมื่นจั้ง สองหมื่นจั้ง สามหมื่นจั้ง…
จนกระทั่งตอนที่ไปถึงเจ็ดหมื่นจั้ง หลินสวินเริ่มรู้สึกถึงการกดข่มของพลังกฎระเบียบโลกที่น่ากลัว จำต้องโคจรพลังปราณออกมา
และเมื่อเขาทะยานสูงขึ้นอีก พลังกดข่มนั้นก็ยิ่งมาก จนสุดท้ายด้วยมรรควิถีของเขา ความเร็วยังถูกกดจนลดลงไปมาก
ทว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในขอบเขตที่หลินสวินสามารถรับได้
จนกระทั่งตอนที่ถึงตำแหน่งเก้าหมื่นจั้ง หลินสวินรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ฟ้าดาราไร้สิ้นสุดปรากฏในสายตา ดวงดาวเป็นหมื่นล้านพริบไหว สาดประกายเจิดจรัสปานอมตะชั่วนิรันดร์
มองลงไปจากตรงนี้ ภูผาธารานั่นล้วนเหมือนด้ายบางเป็นสายๆ แม้แต่เทือกเขาเสินถูที่กว้างใหญ่ยังเหมือนไส้เดือนที่คดเคี้ยวตัวหนึ่ง
‘นั่นก็คือเส้นทางดาราเขตแดนหรือ…’
หลินสวินเห็นภาพที่แปลกประหลาดนี้แทบจะแวบแรก นั่นคือหนทางลึกลับที่ขวางอยู่ในฟ้าดาราจักรวาลสายหนึ่ง ปูจากหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วน
มองจากระยะไกล เหมือนเส้นทางดาราที่ทอดยาวไร้สิ้นสุดสายหนึ่ง
อยากเข้าไปในดินแดนที่สูงกว่า มีเพียงสองวิธี ทางหนึ่งคือได้รับการชี้ทางจาก ‘บุคคลโลกชั้นบน อีกทางคือทะลวงด่าน’
ระหว่างเก้าน่านฟ้าใหญ่ มี ‘ด่านกั้นอาณาเขต’ กระจายอยู่
เส้นทางดาราเขตแดน ก็คือด่านกั้นอาณาเขตที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มีผู้โดดเด่นที่น่าทึ่งมากมายบุกผ่านเส้นทางดาราเขตแดน ไปถึงน่านฟ้าที่สูงกว่า
เพียงแต่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นส่วนน้อย ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่อย่าว่าแต่ไปบุกเส้นทางดาราเขตแดนเลย แม้กระทั่งไปถึงนภาครามเก้าหมื่นจั้งนี้ยังยากมาก!
อย่างหลินสวิน มรรควิถีทั้งชีวิตเรียกได้ว่าไร้ศัตรูในบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่ระหว่างทางพุ่งขึ้นนภาครามเก้าหมื่นจั้งนี้ ยังคงถูกกดข่มอย่างหนัก
แค่คิดก็รู้ว่า หากเปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ คงไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้
อิงตามบันทึกใน ‘ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า’ บนเส้นทางดาราเขตแดนเต็มไปด้วยอันตราย บนหนทางที่คดเคี้ยวและยาวไกล มีสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่แปลกประหลาดน่ากลัวมากมายกระจายอยู่
ที่ผ่านมา แม้บรรพจารย์จักรพรรดิดำเนินการทะลวงด่าน ก็น้อยคนมากที่จะรอดชีวิต!
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ทั่วไป น้อยมากที่จะมีคนเลือกทำเช่นนี้
พวกระดับบรรพจารย์จักรพรรดิของน่านฟ้าที่หนึ่งอย่างเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ย ที่ทนลำบากทำตามคำสั่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น ก็เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รับการชี้แนะจากเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านี้ บรรลุเป้าหมายที่จะไปจากน่านฟ้าที่หนึ่ง
พวกเขาแทบไม่เคยคิดจะไปบุกเส้นทางดาราเขตแดน เพราะนั่นอันตรายเกินไป!
จ้องเส้นทางดาราเขตแดนที่ลึกลับและสะดุดตาเส้นนั้นครู่ใหญ่ หลินสวินพลันหมุนตัวกลับ
รอจัดการเรื่องที่น่านฟ้าที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะเดินทางจากไป!
สำนักศึกษาสองลักษณ์
“ทั้งสองท่าน ข้าตัดสินใจจะไปจากน่านฟ้าที่หนึ่งแล้ว”
หลินสวินไปหาเนี่ยชิงหรงและเหลิ่งชิงเสวี่ย พูดอย่างตรงไปตรงมา “หากทั้งสองท่านยินยอม สามารถไปกับข้าได้”
การตายของพวกจู้ฮุย จะต้องดึงดูให้สามเผ่าจักรพรรดิอมตะสืบสวนอย่างแน่นอน
แม้หลินสวินจะคิดเหตุผลให้เนี่ยชิงหรงไว้แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เหตุผลหนึ่ง และเผ่าจักรพรรดิอมตะที่สูงส่งเหล่านั้น ไม่เคยฟังเหตุผลอยู่แล้ว
หากพวกเขาระบายความโกรธที่เนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ย นั่นเป็นพิบัติโดยใช่เหตุอย่างแน่นอน
หากหลินสวินอยู่ต่อ บางทีอาจจะรับมือได้ แต่ถ้าเขาจากไป ใครจะให้ความช่วยเหลือเนี่ยชิงหรงและเหลิ่งชิงเสวี่ย
เนี่ยชิงหรงและเหลิ่งชิงเสวี่ยต่างประหลาดใจมาก ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
“ข้าตัดสินใจจะไปบุกเส้นทางดาราเขตแดน ระหว่างทางอาจจะเจออันตรายบ้าง แต่ก็มั่นใจว่าสามารถไปถึงน่านฟ้าที่สองได้”
หลินสวินพูด
“พวกข้า…ไปกับพี่หลินได้จริงๆ หรือ” เนี่ยชิงหรงอดถามไม่ได้
หลินสวินพยักหน้า “หากพวกเจ้าอยู่ต่อ จะต้องถูกสามเผ่าจักรพรรดิอมตะตั้งคำถาม ถึงขั้นประสบพิบัติโดยใช่เหตุเพราะเรื่องนี้ หากเจ้ายินยอม ข้าจะช่วยทั้งสองไปจากน่านฟ้าที่หนึ่งแห่งนี้”
“ข้ายินยอม”
เหลิ่งชิงเสวี่ยที่เงียบมาโดยตลอดหลุดปากออกมา ทำให้หลินสวินกับเนี่ยชิงหรงอึ้งงันไป
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเหลิ่งชิงเสวี่ยแดงก่ำขึ้นมา “ข้าหมายความว่า ข้ายินยอมเคลื่อนไหวกับพี่หลิน ขอเพียงแค่ได้ไปจากน่านฟ้าที่หนึ่ง แม้ต้องประสบอันตราย ข้าก็ไม่สน”
เนี่ยชิงหรงหวั่นไหวมาก นางและเหลิ่งชิงเสวี่ยหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้สามารถรอดจากการตามสืบของสามเผ่าจักรพรรดิอมตะ ก็คงไม่ได้รับความสำคัญจากเผ่าจักรพรรดิอมตะอีก
นี่ก็หมายความว่า ต่อไปพวกเขาอยากไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่สูงขึ้นก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่ข้อเสนอของหลินสวิน กลับทำให้พวกนางมองเห็นความหวังอีกครั้ง!
“พี่หลิน เราไปแล้วเสี่ยวซีจะทำอย่างไร” เนี่ยชิงหรงถาม
“หากนางยินยอม ข้าก็จะพานางไปด้วย”
หลินสวินพูด
ตอนที่เขาเจอเสี่ยวซี หญิงสาวที่ร่าเริงไร้เดียงสาคนนี้กำลังฝึกวิถียุทธ์ เงาร่างบางอาบอยู่ภายใต้แสงสวรรค์ งดงามสะดุดตา
ตอนที่หลินสวินเสนอว่าจะพานางจากไป เสี่ยวซีเองก็มีความรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน นี่กะทันหันเกินไปแล้ว ทำให้นางความคิดสับสนวุ่นวายขึ้นมา
ต่างกับหลินสวิน บ้านของนางอยู่ที่หมู่บ้านเงาเมฆาแห่งน่านฟ้าที่หนึ่ง หากจากไปกับหลินสวิน ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กลับมา นี่ทำให้เสี่ยวซีลังเลอย่างมาก
“ไม่ต้องเร่งรีบตัดสินใจ ข้าจะพาเจ้ากลับหมู่บ้านเงาเมฆาอีกครั้ง ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยให้คำตอบข้า” หลินสวินเองก็ดูความลังเลในใจเสี่ยวซีออก อดปลอบด้วยเสียงอันอบอุ่นไม่ได้
เสี่ยวซีพยักหน้าอย่างแรง
วันนั้นเอง หลินสวิน เนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ย เสี่ยวซี ออกเดินทางจากสำนักศึกษาสองลักษณ์ ไปยังส่วนลึกของหมู่บ้านเงาเมฆาที่อยู่ในส่วนลึกของแคว้นเมฆวารี เมืองหลิวเขียว เทือกเขาเทพตกพร้อมกันเงียบๆ
……………………..