Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2624 แปลกประหลาด
กลิ่นคาวเลือดแสบจมูกคลุ้งทั่วดาดฟ้า บรรยากาศเงียบวังเวง
ผู้คุ้มกันหอการค้าเก้าใบเหล่านั้นล้วนตกใจ หนังศีรษะชาหนึบ ฉากเข่นฆ่านองเลือดนั่นเกินจินตนาการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
ด้านข้างใบหน้างามของรุ่นเยวี่ยขาวซีด เต็มไปด้วยความตกใจกลัว ถึงขั้นที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ สภาพจิตใจสูญเสียการควบคุม
นางไม่กล้าหนี เพราะคนที่เลือกเผ่นหนีพวกนั้นล้วนสิ้นชีวิตกันหมดแล้ว!
“หากเจ้ากล้าลงมืออีก ข้าจะฆ่านางซะ!”
เหิงซิงไห่ตะโกนลั่น สีหน้าคล้ำเขียวเกรี้ยวกราดเจือความบ้าคลั่ง
การตายของพวกเหิงเทียนเซี่ยว เหิงซิงเหวินสร้างความตื่นกลัวให้เขาไม่รู้จบ กระตุ้นจนเขาต้องคุมตัวหวั่นโหรวแน่นในทันที กระบี่บินคมกริบนั่นยิ่งพาดบนลำคอขาวผ่องของหวั่นโหรวไม่ขยับ
“เช่นนั้นหรือ เจ้าลองดูสิ”
หลินสวินกล่าวพลางสาวเท้าเดินเข้าไป ฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า
“อย่าเข้ามา…!”
เหิงซิงไห่นัยน์ตาขยายกว้าง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
หวั่นโหรวก็เบิกตากว้างเช่นกัน ขะ… เขาไม่สนใจความเป็นความตายของตนสักนิดเลยหรือ
เดิมทีในใจนางค่อนข้างละอาย ตระหนักได้ว่าเป็นไปได้มากที่ตนอาจเข้าใจหลินสวินผิดไป ในใจจึงรู้สึกผิดอยู่เนืองๆ
แต่ตอนนี้…
นางกลับไม่เข้าใจแล้ว
เจ้าหมอนี่อยากช่วยตนหรือแค่อยากฆ่าคนตระกูลเหิงพวกนั้นเฉยๆ ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของตนสักนิดกันแน่
ชั่วขณะหนึ่งนางสีหน้าสับเปลี่ยนไปมา ในใจทั้งรู้สึกขมขื่นละโศกเศร้า
เมื่อเห็นว่าหลินสวินใกล้เข้ามาทุกที เหิงซิงไห่ที่ถูกบีบจนดวงตาเต็มไปด้วยเลือด เจียนจะบ้าคลั่งนานแล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงคำรามออกมา
“เจ้าบังคับข้าเองนะ!”
ความคิดเขาขยับไหว กระบี่บินที่พาดลำคอหวั่นโหรวส่งเสียงกึกก้อง ก็เป็นเวลานี้ที่พลังผนึกน่าสะพรึงสายหนึ่งก็ตรึงกระบี่บินไว้แน่น ไม่ว่าเหิงซิงไห่จะออกแรงอย่างไรล้วนไม่ขยับสักเสี้ยว
กระบี่บินที่เชื่อมต่อกับสภาวะจิตของเขาเสมือนถูกจองจำไม่มีผิด!
เหิงซิงไห่หนาวสะท้านไปทั้งร่าง ขวัญหลุดวิญญาณเตลิด ตระหนักได้ถึงความไม่เข้าที เขาชูมือขึ้นทันควัน หมายจะตบศีรษะของหวั่นโหรวแตกในฝ่ามือเดียว
แต่พลังดรรชนีสายหนึ่งเร็วกว่าเขา เจาะทะลุหว่างคิ้วของเขาทันที เปิดรูโชกเลือกรูหนึ่ง บดขยี้จิตดั้งเดิมและพลังชีวิตทั้งหมดของเขาภายใต้พลังดรรชนีที่ซัดสาด
พรูด!
น้ำเลือดพุ่งกระฉูด เหิงซิงไห่เบิกตากว้าง หลายหลังล้มตึงไปอย่างเงียบๆ เมื่อร่างของเขาล้มลงก็แตกเป็นเถ้าธุลี ปลิวกระจายหายไปในทันที
เสียงแกร๊งดังคราหนึ่ง กระบี่บินที่พาดตรงลำคอหวั่นโหรวเสียการควบคุม หล่นร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงกระทบใสกังวาน
หวั่นโหรวสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกไร้กำลัง โศกเศร้า ขมขื่น และสิ้นหวังภายในใจก็ได้รับการปลดปล่อยในขณะนี้เช่นกัน ทั้งตัวราวกับหลุดพ้นก็ไม่ปาน
นางมองหลินสวินที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างอึ้งๆ แววตาซับซ้อน ในใจปั่นป่วนม้วนตลบ สภาพจิตใจพลุ่งพล่าน ถึงกับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“ยกนางให้เจ้าจัดการเองแล้วกัน”
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าหวั่นโหรวตกใจมากเกินไป เขาไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินมาหยุดตรงหน้าลุงเจียวที่นอนบาดเจ็บหมดสติ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ
ก่อนหน้านี้แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ว่ายอดฝีมือระดับลุงเจียวจะถึงกับถูกเหิงเทียนเซี่ยวกำราบในห้องโดยสารได้
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนช่วยให้ลุงเจียวฟื้นจากอาการสลบ แล้วยื่นลูกกลอนโอสถขวดหนึ่งให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า “รักษาอาการบาดเจ็บดีๆ เถอะ”
“ขอบคุณคุณชายยิ่งนัก!” ลุงเจียวอึ้งงันไปก่อน เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ จึงเข้าใจในทันที อดเอ่ยปากขอบคุณไม่ได้
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พวกเจ้าช่วยนำทางข้าไปทะเลประหัตมาร ข้าช่วยพวกเจ้าสลายเคราะห์ภัย เดิมก็เป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
ขณะกล่าวหลินสวินหมุนตัวเดินเข้าห้องโดยสารไปแล้ว
ลุงเจียวมองส่งจนเงาร่างของเขาลับสายตา สีหน้าเต็มไปด้วยแววทอดถอนใจและซับซ้อนเช่นเดียวกัน
“คุณหนู เห็นแก่ความสัมพันธ์หลายปีที่ผ่านมา อย่าฆ่าข้าเลยได้ไหม” รุ่นเยวี่ยทิ้งตัวคุกเข่าบนดาดฟ้าเสียงดังตุ้บ พร้อมวิงวอนเสียงสั่นเครือ
สีหน้าหวั่นโหรวเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบสุดขีด กล่าวว่า “จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้ารู้เรื่องกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนได้อย่างไร”
“คุณหนู ข้าสาบานต่อฟ้า ข่าวนี้ข้าไม่ได้เป็นคนปล่อยออกไปอย่างแน่นอน!”
รุ่นเยวี่ยร้อนเสียงดังด้วยความลนลาน “เพราะก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดสักนิด ข้ารู้เพียงว่าคุณหนูออกเดินทางครั้งนี้เพราะจะไปจัดการธุระสำคัญ จึงบอกกล่าวตระกูลเหิงล่วงหน้า ส่วนกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนอะไรนั่น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือสมบัติอะไร”
หวั่นโหรวขมวดคิ้ว
“กล่าวเช่นนี้ จะบอกว่าตระกูลเหิงรู้เรื่องเองอย่างนั้นหรือ เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วยังไม่รู้จักสำนึกผิด เก็บเจ้าไว้ไม่ได้!”
ลุงเจียวเดินมาข้างหน้า ฝ่ามือหนึ่งตบลงมา
ปึง!
ในประกายเทพอึงอล ร่างงามของรุ่นเยวี่ยแตกดับ จิตสิ้นวิญญาณสลาย
หวั่นโหรวอึ้งไป เดิมนางยังมีคำถามบางส่วนอยากจะถาม แต่เห็นเช่นนี้คงได้แต่ปล่อยไป
“คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง” ลุงเจียวกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่ลุงเจียว ท่านบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ รีบไปรักษาจะดีกว่า เรื่องอื่นยกให้ข้าจัดการเป็นพอ” หวั่นโหรวเอ่ยกำชับ
“คุณหนู อย่าลืมไปกล่าวขอโทษและขอบคุณคุณชายสืออวี่เล่า ครั้งนี้หากไม่ได้เขาลงมือผดุงความเป็นธรรม พวกเราคงจบเห่กันแล้วจริงๆ” ลุงเจียวกล่าว
“อืม” หวั่นโหรวพยักหน้าตอบรับ
…
เมื่อเดินเข้าส่วนของห้องโดยสาร หลินสวินพลันชะงักเท้า ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็แผ่จิตรับรู้ออกไป
ผ่านไปสักพักหัวคิ้วเขาขมวดมุ่น
ในพื้นที่ห้องโดยสารนี้ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใดๆ
แต่บาดแผลตามตัวลุงเจียวกลับค่อนข้างรุนแรง ชุ่มโชกเลือด เห็นชัดว่าเกิดจากการต่อสู้ดุเดือด
‘ด้วยพลังของเหิงเทียนเซี่ยว หากไม่ได้ใช้สมบัติลับน่ากลัวบางอย่าง เกรงว่าจะไม่สามารถกำราบลุงเจียวได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้สักนิด…’
ในใจหลินสวินเริ่มผุดข้อสงสัยขึ้นมา ตามความเห็นเขา ตั้งแต่ลุงเจียวออกจากดาดฟ้าจนกลับมาห้องโดยสาร ใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่เค่อเดียวเท่านั้น
แต่ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้เหิงเทียนเซี่ยวก็กำราบลุงเจียวอย่างไร้สุ้มเสียง สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ ด้วยจิตรับรู้ไพศาลของตน ยังไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใดๆ นี่ก็ค่อนข้างแปลกแล้ว
เยบไปครู่หนึ่งหลินสวินก็ส่ายหน้าเบาๆ เดินเข้าห้องของตนไป
ยานสมบัติจอดนิ่ง ไม่ได้เดินทางต่อ
เพิ่งเกิดเคราะห์สังหารนองเลือดขึ้นหมาดๆ หวั่นโหรวต้องใช้เวลาจัดการความเรียบร้อยในเรื่องต่างๆ
หลินสวินย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ หลังจากกลับเข้าห้องเขาก็เริ่มฝึกปราณทันที
ระยะนี้เขาหลอมและเติมเต็มส่วนที่เกี่ยวข้องกับระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคทั้งหมดจนสมบูรณ์แล้ว
จนกระทั่งตอนนี้ คัมภีร์มรรคเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็น ‘คัมภีร์จักรพรรดิ’ ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงแล้ว มรรคและวิชาที่เขียนในนั้นทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินได้รับจากการเคี่ยวกรำในช่วงหลายปีมานี้ แตกต่างจากอดีต ไม่ซ้ำใคร เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในฟ้าดิน!
และหลังจากหลินสวินเติมเต็มตำรามรรคฉบับนี้สมบูรณ์อย่างแท้จริง ภายในใจก็รู้สึกถึงความสำเร็จที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมาเช่นกัน เสมือนสร้างรากฐานมหามรรคของตัวเองขึ้นมา ทำให้มหามรรคของตนมีพลังคงอยู่ยาวนานตราบนิรันดร์!
และก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินตระหนักได้ว่า บนมรรคจักรพรรดิ ตนบรรลุถึงปลายยอดสูงสุดอย่างแท้จริงแล้ว สามารถผงาดเหนืออดีตปัจจุบัน เป็นหนึ่งในโลกหล้า!
‘ยังดี แม้ตอนนี้จะไม่สามารถทะลวงระดับก้าวไประดับอมตะได้ แต่ในด้านการฝึกปราณยังมีต้นหงเหมิงหมื่นมรรคและต้นแรกกำเนิด บรรลุนัยเร้นลับที่ปรากฏในนั้น ก็สามารถทำให้ตนหยั่งถึงนัยเร้นลับมหามรรคเพิ่มมากขึ้นได้แล้ว…’
หลินสวินตรึกตรอง
ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค ถือเป็นสมบัติสูงสุดของยุคก่อน เป็นหนึ่งไม่มีสอง
มันครอบคลุมนัยเร้นลับกฎเกณฑ์มหามรรคมรรคเซียนที่สมบูรณ์แบบ เมื่อหยั่งรู้ร่วมกับ ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’ สามารถมอบการหยั่งรู้และผลเก็บเกี่ยวอย่างคาดไม่ถึงให้กับหลินสวิน
ส่วนต้นแรกกำเนิด เป็นสิ่งที่ผ่านการฟูมฟักมาจากสี่ไม้เทพและเจตวัตถุมากมายที่รวบรวมมานานหลายปีสมัยที่อยู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา หยั่งรากอยู่ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของหลินสวินนานแล้ว
ในช่วงหลายปีนี้ต้นไม้นี้เติบโตขึ้นมาแล้ว งอกกิ่งก้านแข็งแรงที่เหมือนดาบกระบี่ออกมามากมาย บนกิ่งก้านผลิใบเขียวมรกตกลมมนโปร่งแสง ในเส้นใบลึกลับยากหยั่งถึงปรากฏนัยเร้นลับกฎเกณฑ์แรกกำเนิด
หลินสวินสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง ว่าช่วงหลายปีมานี้ในยามที่ตนสงบจิตนั่งสมาธิ หยั่งรู้มหามรรค กลิ่นอายที่แผ่คลุ้งออกมาจากต้นแรกกำเนิดช่วยตนได้เป็นอย่างมาก ทำให้กฎเกณฑ์มหามรรคที่ตนเคี่ยวกรำบริสุทธิ์และแข็งแกร่ง ก่อเกิดกลิ่นอายประหนึ่งแรกกำเนิดดั้งเดิมออกมา
กล่าวได้ว่าพลังที่เกิดจากต้นแรกกำเนิดเปรียบเหมือนเตาหลอมเช่นกัน ช่วยให้หลินสวินหล่อหลอมกฎเกณฑ์มหามรรคที่บริสุทธิ์และดั้งเดิมที่สุดออกมา!
และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลินสวินสามารถอยู่เหนือคนรุ่นเดียวกัน อยู่บนปลายยอดไร้ศัตรู
‘น่าเสียดาย ตำราที่เกี่ยวกับมรรคาอมตะบนโลกนี้มีน้อยเกินไป ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะ ก็น้อยนักที่จะมี ‘คัมภีร์อมตะ’ ที่แท้จริง…’
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ
มรรคาอมตะ ก็เหมือนมหามรรคสายหนึ่งที่สูงที่สุด ไม่ว่าใครบรรลุถึงระดับนี้ แทบจะต้องอาศัยสติปัญญาและความเพียรของตนทั้งสิ้น
เพราะบนโลกนี้แทบไม่มี ‘มรดกอมตะ’
นอกจากนี้ต่อให้มีมรดกอมตะ แต่หากไม่มีมรรควิถีระดับอมตะก็ไม่สามารถอ้างอิงและเรียนรู้ได้สักนิด
หลินสวินเคยได้ยินว่าพวกที่เหยียบย่างอมตะในเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น ล้วนไม่สามารถนำนัยเร้นลับมรรคาอมตะเขียนเป็นคัมภีร์ไว้สืบทอดต่อได้
เพราะมรรคาอมตะของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน ต่อให้เขียนเป็นคัมภีร์ก็ไม่เหมาะให้ผู้อื่นไปหยั่งรู้สักนิด ย่อมไม่มีทางสืบทอดต่อไปได้เป็นธรรมดา
สำหรับเผ่าจักรพรรดิอมตะแล้ว ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ยามที่คนในตระกูลทะลวงระดับอมตะ จะได้รับคำชี้แนะจากระดับอมตะบางส่วน ประสบการณ์และใจความในมรรคาอมตะที่พวกเขาเคยได้รับเป็นของล้ำค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดาย หลินสวินที่เหมือนโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ต่อให้ทะลวงมรรคาอมตะก็ไม่มีทางได้รับการชี้แนะใดๆ อย่างแน่นอน
‘ได้ยินว่าสี่หอบรรพจารย์อย่างลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิวิญญาณ ลัทธิพ่อมด ลัทธิฌานนั่น ต่างมีคัมภีร์และตำรามรรคระดับอมตะเป็นของตัวเอง แค่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ…’
หลินสวินครุ่นคิด
สี่หอบรรพจารย์ เป็นตัวแทนสี่ขุมอำนาจใหญ่ยิ่งที่อยู่เหนือธรรมดาในโลกยอดนิรันดร์ แม้จะไม่เคยปรากฏตัวนานปี ก็ไม่มีใครกล้าปรามาสตัวตนของพวกเขา
ขุมอำนาจเหนือธรรมดาเช่นนี้ ทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดยังต้องกริ่งเกรงและให้เกียรติ แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานของพวกเขาน่าประหวั่นเพียงใด
และขุมอำนาจเช่นนี้ จะไม่มีตำรามรรคและคัมภีร์ได้อย่างไร
“คุณชาย ข้าน้อยหวั่นโหรวถือวิสาสะขอรบกวนสักครู่”
ทันใดนั้นเสียงของหวั่นโหรวก็ดังลอยมาจากนอกห้อง เพียงแต่ต่างไปจากเมื่อก่อน น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล เจือความเคารพจากใจ
หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด หยัดตัวลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง มองดูหวั่นโหรวที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างนอกก็อดยิ้มกล่าวไม่ได้ “คุณหนูหวั่นโหรวอุตส่าห์มา ข้าไม่กล้าปฏิเสธหรอก เชิญ”
ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนละเอียดของหวั่นโหรวแลดูอักอ่วน รู้สึกกระดากในใจ ก่อนหน้านี้ไม่นานนางเคยปฏิเสธไม่ต้อนรับหลินสวินเพราะความเข้าใจผิด
ยังดีที่ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ถือสาเอาความกับนาง
ภายในห้องหลินสวิเชิญให้หวั่นโหรวนั่งลง ส่วนตนนั่งฝั่งตรงข้าม จากนั้นเอ่ยว่า “หากเจ้ามากล่าวขอบคุณ นั่นไม่จำเป็นหรอก ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อช่วยเจ้า คนตระกูลเหิงพวกนั้นก็ไม่มีทางรอดชีวิตออกไปจากยานสมบัติอยู่ดี”
หวั่นโหรวอึ้งไป “หรือว่าคุณชายมีความแค้นกับตระกูลเหิง”
หลินสวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงศัตรูของข้ามีอยู่ทั่วหล้า ตระกูลเหิงเป็นแค่หนึ่งในนั้น”
“อย่างนั้นหรือ”
หวั่นโหรวเม้มปากทอยิ้ม เห็นชัดว่าคิดว่าหลินสวินกำลังล้อเล่น
ทั้งคู่เอ่ยทักทายปราศรัยกันพักหนึ่ง หวั่นโหรวถึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “คุณชาย ท่านไม่สงสัยบ้างหรือว่าเหตุใดตระกูลเหิงถึงทำเช่นนี้”
หลินสวินยิ้มกล่าว “เหิงเทียนเซี่ยวนั่นบอกแล้วไม่ใช่หรือ คนตายเพราะทรัพย์นกตายเพราะอาหาร อีกอย่าง เจ้าวางใจเถอะ แม้ข้าจะสนใจกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนนั่น แต่ไม่มีทางทำเรื่องฆ่าคนชิงสมบัติแน่นอน”
มีหรือเขาจะฟังการหยั่งเชิงที่แฝงในคำพูดของหวั่นโหรวไม่ออก
……………………….