Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2632 ถ้ำสวรรค์ปรกอุดม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2632 ถ้ำสวรรค์ปรกอุดม
และเมื่อได้ยินคำพูดหลินสวิน หญิงแต่งงานแล้วกลับกล่าวขมขื่น “ระดับอริยะหรือ สำหรับคนอย่างพวกเรา คิดอยากเหยียบย่างระดับนี้ก็ยากเย็นเกินไปแล้ว”
ว่าพลางนางก็ถอนใจเงียบๆ “เฟิงเจ๋อเด็กคนนี้เนื้อแท้ไม่ได้นิสัยเลวร้าย ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้เหมือนกับพวกสารเลวที่รู้จักแต่แย่งชิงปล้นฆ่าพวกนั้น เพียงแต่ติดที่สภาพชีวิต จึงจำใจต้องเป็นเช่นนี้”
“หากเขาสามารถมีปราณระดับอริยะได้ อย่างน้อยก็สามารถหางานบางอย่างบนเกาะกาฬทักษิณแห่งนี้ได้ แต่ตอนนี้…”
เฟิงเจ๋อกล่าว “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ภายหน้าข้าต้องเป็นอริยะได้แน่!”
หลินสวินคิดๆ แล้วยื่นนิ้วหนึ่งออกมากดลงตรงหัวคิ้วของเฟิงเจ๋อ
พลันนั้นในสมองของเฟิงเจ๋อเกิดเสียงอึงอล ดุจฟ้าพลิกดินคว่ำ กระทั่งตอนที่ได้สติกลับมา ในสมองก็มีประทับมรดกหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
“นี่คือ?” เฟิงเจ๋ออึ้งงัน
“มรดกที่สามารถทะลวงระดับอริยะชิ้นหนึ่ง” หลินสวินกล่าว
เฟิงเจ๋อตื่นเต้นขึ้นมาทันที เอ่ยพูดไม่เป็นประโยค “ผู้อาวุโส… ท่าน…”
“ยังไม่รีบคุกเข่าขอบคุณผู้มีพระคุณอีก” หญิงแต่งงานแล้วก็ดีใจล้นพ้นเช่นกัน เอ่ยปากเร่ง
เฟิงเจ๋อร้องเอ้อคราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะคุกเข่าโขกศีรษะก็ถูกหลินสวินห้ามไว้
“ชายชาตรียืนตระหง่านบนโลก เบื้องบนไม่กราบฟ้า เบื้องล่างไม่กราบดิน หากเจ้าซาบซึ้งจริงๆ ภายหน้าก็ยึดมั่นในเส้นทางที่ถูก มุมานะเคี่ยวกรำ ต่อไปก็อย่าทำให้แม่ของเจ้าเป็นทุกข์และผิดหวังอีก”
หลินสวินกล่าวสีหน้าจริงจัง
มุมปากเฟิงเจ๋อสั่นเบาๆ สูดหายใจลึกแล้วพยักหน้าแรงๆ
หลินสวินไม่รู้ว่าเพราะเรื่องในวันนี้ ในภายภาคหน้าเด็กหนุ่มที่ดูท่าทางไม่สะดุดตาคนนี้จะผ่านประสบการณ์กรำศึกหลายปี รวมทะเลประหัตมารเป็นปึกแผ่น และยุติความโกลาหลและการนองเลือดในน่านน้ำทะเลแถบนี้ได้โดยสมบูรณ์
ตอนนั้นคนทั่วหล้าล้วนเรียกเขาว่า ‘จอมจักรพรรดิกาฬทักษิณ’!
และเมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ทุกครั้งจอมจักรพรรดิกาฬทักษิณมักจะคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้พบกับหลินสวินในวันนี้ และมักกล่าวกับผู้คนว่า ‘แม้ข้าไม่ใช่ศิษย์ของอาจารย์หลิน แต่กลับมีความรู้สึกฉันศิษย์อาจารย์ หากไม่ใช่เพราะอาจารย์หลิน ย่อมไม่มีข้าในวันนี้!’
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องภายหลัง
หลังจากหลินสวินบอกลาเฟิงเจ๋อและมารดาของเขา ก็หมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
แม้เกาะกาฬทักษิณจะกว้างใหญ่ แต่ด้วยจิตรับรู้ของหลินสวิน เพียงครู่เดียวเขาก็หาร้านศาสตราวุธร้านนั้นพบ
ที่นั่นเป็นลานเรือนเรียบง่ายแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยบ้านที่ก่อด้วยหินขนาดใหญ่ไม่กี่หลัง ดูไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง
หน้าบ้านหินหน้าสุดแขวนธงผืนหนึ่ง บนนั้นเขียนคำว่า ‘ร้านศาสตราวุธ’ เอาไว้ ไม่มีชื่อเฉพาะเจาะจงด้วยซ้ำ
ภายในโถงหลักของร้านศาสตราวุธมีลูกค้าประปรายไม่กี่คน และไม่มีข้ารับใช้คอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ มีเพียงชายชุดเทาคนหนึ่งที่นั่งขี้เกียจอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินกำลังงีบหลับอยู่
ตอนที่หลินสวินเดินเข้ามา ชายชุดเทาคนนั้นทำเพียงเหลือบตาขึ้นมองปราดหนึ่งแล้วเก็บสายตาไป กล่าวเนือยๆ ว่า “ต้องการอะไรเลือกเองได้เลย”
หลินสวินกวาดตาสำรวจปราดหนึ่ง สมบัติที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสินค้านั่นมีมากมายหลากหลาย สารพัดรูปแบบ แต่กลับไม่มีแบบไหนที่เป็นชุดศึกสลักวิญญาณ
นี่ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้
หรือว่ามาผิดที่
แต่บนเกาะกาฬทักษิณนี้มีสถานที่ที่ชื่อว่า ‘ร้านศาสตราวุธ’ แห่งนี้ที่เดียวแท้ๆ
“หลงจู๊ ร้านพวกเจ้ามีสมบัติเช่นนี้หรือไม่” จู่ๆ ชายหนุ่มสวมชุดขาวคนหนึ่งก็เอ่ยปาก หยิบร่มสมบัติสีเขียวที่ยาวเพียงหนึ่งฉื่อออกมา
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ชุดศึกสลักวิญญาณ!
เขาตระหนักได้ทันที ชายชุดขาวคนนี้เกรงว่าจะมาหาท่านลู่เหมือนกับเขา!
หรือกล่าวอีกอย่างคือ มาหาเจ้าของที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณนี้!
และพร้อมกันนั้นหลินสวินก็มองออกว่าลูกค้าที่อยู่ในร้านศาสตราวุธเวลานี้ เห็นชัดว่าเป็นพวกเดียวกับชายชุดขาวคนนั้น เวลานี้ล้วนหันสายตาไปมองชายชุดเทาที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินนั่น
“ไม่มี” ชายชุดเทาเอ่ยตอบโดยไม่เงยมอง
“ไม่มีจริงๆ หรือ” ชายชุดขาวหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงกำยำ ยามกะพริบตาผุดประกายน้ำเงินเข้มเป็นสายๆ แปลกประหลาดชวนสยอง
ชายชุดเทาที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินกล่าวอย่างหมดความอดทน “บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี หากพวกเจ้าไม่ได้มาซื้ออาวุธ ตอนนี้ก็เชิญออกไปได้”
“รนหาที่ตาย!”
ชายชราผอมแห้งดุดันคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นเดินเข้าไป นัยน์ตาดุดันบีบคั้น “หากยังไม่ตอบตามตรงแต่โดยดีอีก ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”
ชายชุดเทายิ้มเยาะ “พวกเจ้าก็ไม่ลองสืบข่าวดูหน่อย ในช่วงหลายปีมานี้ที่ร้านศาสตราวุธนี้เปิดทำการ พวกไม่มีตาคนไหนกล้ามาหาเรื่องบ้าง ถ้ากล้าพวกเจ้าก็ลงมือเลย ผลที่ตามมาก็รับผิดชอบเอาเอง!”
เห็นชัดว่าเขาไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง
ชายชุดขาวที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร”
“ใครสนว่าพวกเจ้าเป็นใคร ขอเพียงกล้าก่อเรื่องที่นี่ก็ต้องรับผิดไม่ชอบกันไม่ไหวแน่!” ชายชุดเทากล่าวอย่างอันธพาล
“ฮ่าๆๆ ในสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้ถึงกับมีคนกล้าข่มขู่ ‘สำนักมารใต้พิภพ’ ของพวกเราด้วยหรือ” มีคนหัวเราะขึ้นมา
สำนักมารใต้พิภพ!
หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ นี่เป็นถึงหนึ่งในเจ็ดสำนักมารใหญ่เหนือสุดของทะเลประหัตมาร มีจอมมารเฒ่าระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสิบแปดคนคอยควบคุมดูแล ในสำนักรวมพวกร้ายกาจกร้าวแกร่งไร้ทัดเทียมจำนวนมาก
ตอนนี้คนของสำนักมารใต้พิภพนำชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งมาปรากฏตัวที่นี่ เห็นชัดว่าผู้มามีเจตนาไม่เป็นมิตร
ทว่าภาพนี้กลับพิสูจน์ได้อีกครั้งว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขานั้นไม่ผิด เป็นไปได้สูงมากว่าท่านลู่อาจกบดานอยู่ในร้านศาสตราวุธที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้!
“สำนักมารใต้พิภพหรือ”
ชายชุดเทาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่สีหน้าแบบนั้นไม่ใช่ตกใจลนลาน หากแต่เป็นตกใจสงสัยและแปลกใจ
“ถูกต้อง พวกเรามาครั้งนี้เพียงแค่อยากพบปรมาจารย์สลักลายมรรคที่หลอมสมบัติชิ้นนี้เท่านั้น ในเมื่อเจ้ารู้ที่มาของพวกเรา ก็ควรรู้ดีถึงผลที่ตามมาหากปฏิเสธพวกเรา”
ชายชุดขาวเอ่ยปากราบเรียบ เผยความเย่อหยิ่งเสี้ยวหนึ่ง
กลับเห็นสีหน้าชายชุดเทาเปลี่ยนสลับไปมาเป็นระลอก ครู่ใหญ่กว่าจะถอนใจกล่าว “ช่างเถอะ ข้าจะเมตตาให้พวกเจ้าได้พบ ‘ปรมาจารย์สลักลายมรรค’ ที่พวกเจ้าว่าสักครั้งก่อนตาย”
เสียงยังไม่ทันสิ้นสุด นิ้วมือเขาก็เคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะคิดเงิน
พลันนั้นคลื่นผนึกแปลกพิสดารระลอกหนึ่งแผ่คลุ้งในโถงใหญ่แห่งนี้
“รนหาที่ตาย!”
ชายชุดขาวนัยน์ตาหดรัด ยื่นมือออกไปคว้าเต็มแรง หมายจะจับตัวชายชุดเทา
กลับเห็นชายชุดเทาคลี่ยิ้มมุมปาก เอ่ยด่าคราหนึ่ง “งี่เง่า”
จากนั้นเงาร่างของเขาก็กลายเป็นแสงมายาสายหนึ่งอันตรธานหายไป ทำให้ชายชุดขาวคว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่า
วู้ม!
พลังผนึกพลิกม้วนแผ่กว้าง พวกชายชุดขาวรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าเปลี่ยนไป เหมือนตกอยู่ในโลกมืดมิดแถบหนึ่งทันที เวิ้งว้างไร้ขอบเขต มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ด้วยพลังของพวกเขา ถึงกับไม่สามารถมองช่องโหว่ใดๆ ออกแม้แต่นิด!
ชั่วขณะหนึ่งในใจพวกเขาล้วนรัดเกร็ง หมายจะลงมือทลายผนึก
ก็เป็นเวลานี้เอง เมื่อละอองแสงระลอกหนึ่งไหลเวียน ชายหนุ่มสีหน้าซึมทื่อ แววตาเย็นชาดุกร้าวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวผ่านอากาศ
เขาหน้าตาหล่อเหลา สีผิวคร้ามทองแดง ผมยาวสีขาวเทาทั่วศีรษะมัดรวบเป็นหวงม้าสวยงามไว้ตรงท้ายทอย บนตัวสวมชุดสีชาดสะอาดผุดผ่อง ตัดเย็บพอดีตัว สีแดงฉูดฉาดบาดตา
หลังจากปรากฏตัว สายตาชายหนุ่มชุดสีชาดมองดูร่มสมบัติสีเขียวในมือชายชุดขาว หัวคิ้วขมวดน้อยๆ ก่อนกล่าวว่า
“พวกเจ้าฆ่าคนที่ครอบครองสมบัติชิ้นนี้แล้วหรือ”
เสียงดุจคมดาบ เจือไอหนาวเยือกเย็นเยียบเสียดกระดูก
“กำจัดกระบวนผนึกนี่ซะแล้วพวกเราจะบอกเจ้า” ชายชุดขาวกล่าวเสียงเย็น
“ข้าไม่ต้องการคำตอบแล้ว อย่างไรเสียพวกเจ้าล้วนต้องตายทั้งหมดอยู่ดี”
ชายหนุ่มชุดสีชาดเอ่ยเสียงเรียบ ยื่นนิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างออกมาแล้วกำเบาๆ กลางอากาศ
ในโลกผนึกที่มืดดำปรากฏถ้ำมืดวังน้ำวนขนาดใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่า กลืนกินพวกชายชุดขาวนั่นไปจนหมด
คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าไม่ได้ต่อต้าน แต่ล้วนเปลืองแรงเปล่า ถ้ำมืดวังน้ำวนนั่นมีพลังกลืนกินที่แปลกพิสดารน่าสะพรึง กัดกลืนสมบัติและวิชามรรคของพวกเขาทั้งหมด จากนั้นพวกเขาก็อันตรธานหายไป
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าชายหนุ่มชุดสีชาดไม่ได้กระเพื่อมไหวสักเสี้ยว เฉยเมยและเฉื่อยชา
เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนยื่นมือกวัก ร่มสมบัติสีเขียวคันนั้นที่ก่อนหน้านี้ถูกถืออยู่ในมือชายชุดขาวก็มาอยู่ในมือเขา
ชายหนุ่มชุดสีชาดนิ่งเงียบไปพักหนึ่งถึงถอนใจเบาๆ “คนดีอย่างเจ้ากลับต้องมาประสบเคราะห์ ทะเลประหัตมารแห่งนี้… นับวันยิ่งทำให้คนแสลงตาขึ้นทุกที…”
จากนั้นนัยน์ตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย จู่ๆ ก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ในกระบวนผนึกนี้… ขาดไปหนึ่งคน!
…
บนยอดเขาเจือกลิ่นอายเก่าแก่ สงบสดชื่นและงามวิจิตรแห่งหนึ่ง
ชายชุดเทาหลงจู๊ร้านศาสตราวุธคนก่อนหน้านี้ปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่งบริเวณไหล่เขา กล่าวพึมพำคราหนึ่ง “สำนักมารใต้พิภพแล้วอย่างไร ถูกศิษย์น้องเสวียนฝูหมายหัวก็ไม่ต่างอะไรกับมาตายเปล่า”
จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า ทอดสายตามองไปยังที่ไม่ไกลนัก
ด้านข้างธารเล็กใสสะอาดที่อยู่ไม่ไกล เด็กชายหนึ่งเด็กหญิงหนึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากัน กำลังประชันหมากบนกระดาน สีหน้าจดจ่อหาที่เปรียบไม่ได้
ชายชุดเทาเดินขึ้นมามองปราดหนึ่งแล้วยิ้มแย้มกล่าวว่า “ชิงเฟิง ชิงเยวี่ย นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว การประชันหมากของพวกเจ้ายังไม่เคยรู้ผลแพ้ชนะอีกหรือ”
ไม่มีใครสนใจเขา
ไม่จะว่าเป็นเด็กชายที่ถูกเรียกว่าชิงเฟิง หรือเด็กหญิงที่ถูกเรียกว่าชิงเยวี่ยล้วนมีท่าทีจดจ่อ ลืมเลือนตัวตนทั้งคู่
ชายชุดเทาหัวเราะชอบใจ ไม่ได้สนใจอีก
เพียงแต่ครู่ต่อมานัยน์ตาเขาก็เบิกกว้าง รอยยิ้มแข็งค้าง สีหน้าเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ ร้องว่า “จะ… เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
ใต้ต้นสนห่างไปไม่ไกล เงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินไม่รู้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อได้ยินหลินสวินก็ยิ้มกล่าว “ย่อมต้องเดินเข้ามาอยู่แล้ว”
ชายชุดเทาร้องลั่นแปลกประหลาด “นี่เป็นไปไม่ได้ พลังผนึกที่ปกคลุมทางเข้า ‘ถ้ำสวรรค์ปรกอุดม’ แห่งนี้ บรรพจารย์ข้าร่ายเองกับมือ ต่อให้เป็นระดับอมตะยังหาไม่พบ!”
หลินสวินใจกระตุก คลี่ม้วนภาพที่วาดภาพเหมือนท่านลู่ออก “บรรพจารย์ที่เจ้าว่า ใช่เขาหรือไม่”
ชายชุดเทามองดูปราดเดียวสีหน้าพลันตกตะลึง กล่าวว่า “เจ้ามาเพื่อแก้แค้นหรือ”
“ข้ามาตามหาคน”
หลินสวินทอดสายตามองยอดเขาที่สงบร่มรื่นไพศาลลูกนี้ สภาพจิตใจก็ปริ่มเปรม กล่าวทอดถอนใจว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”
ชายชุดเทายิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ กล่าวอย่างโมโหว่า “พูดภาษาคนได้หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้อีกข้าจะเรียกคนแล้วนะ!”
“ข้ามาหาท่านลู่ หรือก็คือลู่ป๋อหยา และมีแนวโน้มสูงว่าอาจเป็นบรรพจารย์ที่เจ้าพูดถึง ขอเพียงได้พบเขา ทุกอย่างล้วนจะกระจ่าง”
หลินสวินกล่าวพลางสาวเท้าไปหาเด็กสองคนที่กำลังประชันหมากกันอยู่ มองสำรวจคร่าวๆ ปราดหนึ่ง สายตาเจือแววเหม่อลอยขึ้นมา
ผสานมรรคสลักลายวิญญาณกับการประชันหมาก ใช้สิ่งนี้มาอนุมานและหยั่งรู้นัยเร้นลับมรรคสลักวิญญาณ
วิธีหยั่งรู้มรรคสลักวิญญาณเช่นนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะสมัยเด็ก เขาก็ประชันหมากเช่นนี้กับท่านลู่ประจำ
หนึ่งคือการทดสอบความเชี่ยวชาญที่เขามีต่อมรรคสลักวิญญาณ
สองคือการอาศัยช่องโหว่และปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างประชันหมากมาชี้แนะให้เขา…
เมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆ สมัยเด็ก ตอนนี้ยังได้เห็นภาพแบบเดียวกันฉายอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง จะไม่ให้หลินสวินทอดถอนใจได้อย่างไร
——