Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2671 ขวานยักษ์สีดำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2671 ขวานยักษ์สีดำ
“อาจารย์อาโม่ หรือท่านมองอะไรออก”
‘หลิงเอ๋อร์’ ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ดวงตามีชีวิตชีวาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“พอจะเดาฐานะของเจ้าหนุ่มนี่ได้”
โม่หลันซานพยักหน้าเอ่ย “ถ้าเป็นเขาจริงๆ เช่นนั้นฉุนจวินก็ได้เจอคู่ต่อสู้แล้ว”
พวกหลิงเอ๋อร์ต่างอึ้งไป
ชายชุดหยกผู้นั้นเอ่ยขึ้น “อาจารย์อา ศิษย์พี่ฉุนจวินเป็นผู้นำ ‘ยอดเขาที่เก้า’ ของพวกเรา มีกายมรรคธรรมอัคคีแต่กำเนิด ถูกอาจารย์พาเข้าสำนักตั้งแต่เก้าขวบ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ยังไม่ถึงห้าร้อยปีก็บรรลุมกุฎบรรพจารย์แล้ว บัดนี้พลังต่อสู้ของเขาอยู่ในสามอันดับแรกของยอดเขาที่เก้า ในหมู่คนระดับเดียวกันทั้งเก้ายอดเขาในสำนัก ยังอยู่ยี่สิบอันดับแรก”
“ในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้จะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้กัน”
ชายชุดหยกมีนามว่าฮวงมู่จี้ เป็นผู้สืบทอด ‘ยอดเขาที่เก้า’ ของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเช่นกัน ทั้งชีวิตนี้ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักที่ชื่นชมที่สุด ก็มี ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ ผู้นี้
“นั่นสิ อาจารย์เคยพูดว่าถ้าไม่ใช่เพราะไขว่คว้ามรรคาอมตะที่สมบูรณ์ถึงที่สุด ด้วยรากฐานพลังของศิษย์พี่ฉุนจวินคงสามารถบรรลุอมตะไปตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว!”
ชายในชุดนักพรตคาดเข็มขัดใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าตกลงคนเมื่อครู่นั้นจะมีความสามารถอะไรไปต้านทานศิษย์พี่ฉุนจวินได้”
เขามีนามว่าเมิ่งเฮ่าเฉิน
“เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ใครจะไปคาดเดาได้ แต่ข้าก็อยากขอให้อาจารย์อาโม่ชี้แนะ ว่าเหตุใดถึงคิดว่าสหายคนเมื่อครู่สามารถไปประชันกับศิษย์พี่ฉุนจวินได้”
ชายที่ดูเอ้อระเหยลอยชาย ท่าทางเกียจคร้านเอ่ยถามพลางหัวเราะ
เขานามว่าจั๋วหลิ่น
เมิ่งเฮ่าเฉิน จั๋วหลิ่นและฮวงมู่จี้ ล้วนเป็นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้ว อาจารย์อาโม่พูดมาเถอะ” หลิงเอ๋อร์เสียงนุ่มนวล เอ่ยถามอย่างสงสัย
นางมีชื่อเต็มว่าฉินรั่วหลิง อันดับต่ำที่สุดในยอดเขาที่เก้า แต่กลับเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด เพราะบิดาของนางก็คือเจ้าแห่งยอดเขาที่เก้า
แต่กลับเห็นว่าโม่หลันซานยิ้มพูดว่า “รอฉุนจวินกลับมา พวกเจ้าถามเขาก็รู้แล้ว”
ทุกคนต่างหมดคำพูด ป่านนี้แล้วยังอุบไว้ อาจารย์อาโม่ช่าง… น่าเบื่อจริงๆ
แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขายิ่งสงสัยว่าชายหนุ่มเมื่อครู่นั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงถูกคนอย่างอาจารย์อาโม่มองต่างออกไปเช่นนี้
……
ครืน!
ระเบียบผนึกถาโถมซัดสาดดั่งมหาสมุทร ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด ลายมรรคผนึกนับไม่ถ้วนกระเซ็นกระสาย แปรเป็นเคราะห์สังหารเป็นชั้นๆ
เขตผนึกเร้นแห่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าที่หลินสวินคาดเดาไว้
ระเบียบผนึกต่างๆ ตัดประสานกัน แปลงออกมาเป็นเขตผนึกเร้นอันกว้างใหญ่และอันตรายแห่งนี้
ระหว่างทางนี้หลินสวินจำแนกระเบียบผนึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้หกชนิด หนึ่งในนั้นมีกลิ่นอายของระเบียบผนึกพิฆาต!
นี่ทำให้หลินสวินคึกคัก
เพราะนี่พิสูจน์แล้วว่าตอนนี้วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตยังไม่ถูก ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ แห่งหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดผู้นั้นสยบไป!
คราวนี้หลินสวินไม่ได้มาเพื่ออย่างอื่น มาเพื่อวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตเท่านั้น
เพราะจากคำพูดของท่านลู่ วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งเขตผนึกเร้นนานแล้ว น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ในบรรดาระเบียบผนึกเก้าชนิดน่าจะถือเป็นชนิดที่พิเศษที่สุด
หลินสวินสัมผัสพลังระเบียบผนึกที่ปกคลุมกลางฟ้าดินไปพลางเดินหน้าไม่หยุด
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยไหวๆ ส่งเสียงกึกก้อง ช่วยเขาสลายการจู่โจมน่าครั่นคร้ามที่ประสบตลอดเส้นทางนี้ หาไม่แล้วด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะถูกถล่มโจมตีไปไม่รู้กี่ครั้งนานแล้ว!
“หืม?”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าในพื้นที่ที่อยู่ไกลลิบจากด้านซ้ายของเขามีกลิ่นอายต้นกำเนิดของพลังระเบียบอบอวลอยู่ ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด
ไม่ต้องสงสัย ที่นั่นจะต้องมีต้นกำเนิดพลังระเบียบผนึกชนิดหนึ่งซ่อนอยู่แน!
หลินสวินครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดใจแล้วเดินหน้าต่อ
เขาไม่กล้าร่ำไร เพราะเกรงว่าจะถูก ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ คนนั้นชิงกำราบวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตไปก่อน
จึงเดินหน้าเช่นนี้ไปอีกประมาณสองชั่วยาม
ตลอดทางหลินสวินพบกลิ่นอายต้นกำเนิดระเบียบผนึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอีกสามชนิดอย่างต่อเนื่อง แต่ละชนิดต่างมีความอัศจรรย์ของมันเอง
น่าเสียดายที่ล้วนไม่ใช่ต้นกำเนิดของระเบียบผนึกพิฆาต
‘พลังระเบียบผนึกตลอดทางนี้ไม่ได้ถูกกำราบ นี่จะหมายความว่าเป้าหมายของ ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ คนนั้นจะเหมือนกับข้าหรือไม่’
หลินสวินนิ่วหน้า
เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
กระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน มาถึงโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง และเป็นโลกที่แปลงจากพลังผนึกทั้งสิ้น
แต่กลับแทบไม่แตกต่างกับโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใด
หมู่เขาไพศาลพบเห็นได้ทุกหนแห่ง ฟ้าดินกว้างไกล ในห้วงอากาศมีแต่กลิ่นอายดั้งเดิมดุจดึกดำบรรพ์
หลังจากเข้าไปในโลกผนึกแห่งนี้ หลินสวินก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายต้นกำเนิดของระเบียบผนึกพิฆาตทันที แรงกล้าถึงขั้นนั้น
‘วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนั่นต้องอยู่ที่นี่แน่!’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ขณะกำลังจะเสาะหาก็มีเสียงต่อสู้ดุเดือดระลอกหนึ่งลอยมาแต่ไกล
เขาอึ้งไป มุมปากเกร็งกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น ดังคาด เกิดเหตุการณ์ที่ตนไม่อยากเห็นที่สุด…
เขาส่ายหัวแล้วกระโจนตัวไปข้างหน้า
ไม่นานนักก็เห็นว่าใต้เว้งฟ้ามีเงาร่างสูงโปร่งดุจสนเขียวร่างหนึ่งกำลังต่อสู้กับขวานยักษ์สีดำเล่มหนึ่งอย่างดุเดือด
ขวานยักษ์สีดำน่ากลัวถึงขีดสุด ยามโบกแกว่งระเบียบผนึกพิฆาตมากมายสาดกระเซ็น กลายเป็นกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ ฟันห้วงอากาศแถบนั้นจนยับเยิน
อานุภาพที่ขวานยักษ์สีดำแผ่ออกมา ทำลายเทือกเขาบนผืนดินแห่งนั้นจนพังพินาศ ซัดฝุ่นปลิวว่อนเต็มฟ้าน่าสยดสยองถึงที่สุด
‘นี่ก็คือวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตหรือ’
หลินสวินรู้สึกประหลาดใจนัก
เขาคิดไม่ถึงว่าวิญญาณระเบียบจะถึงกับสำแดงรูปร่างของขวานยักษ์ได้ นี่แตกต่างจากอู๋ซวงที่เป็นเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาโดยสิ้นเชิง
และท่านลู่ก็ไม่เคยบอกเขาว่าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตจะเป็นขวานเล่มหนึ่ง…
ทันใดนั้นสายตาหลินสวินก็ถูกเงาร่างสูงโปร่งนั้นดึงดูด
คนผู้นี้เป็นชายที่รูปลักษณ์ถือว่าพอน่ามองเท่านั้น สวมชุดสีขาว ร่างสูงโปร่ง ผมยาวดำเกล้าเป็นมวยนักพรต
เทียบกับรูปลักษณ์ของเขาแล้ว บรรยากาศท่าทางของเขากลับพิเศษยิ่ง หนักแน่นดุจภูผา แต่วิชาต่อสู้กลับรุนแรงเห่อเหิมดุจเปลวเพลิง ให้ความรู้สึกย้อนแย้งอย่างรุนแรง
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนผู้นี้ก็เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง แต่กลับต่างจากมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
พลังที่คนผู้นี้ครอบครองน่ากลัวยิ่งกว่า พลานุภาพที่ครอบครองแกร่งกล้ายิ่งกว่า ทุกอิริยาบถโอหังเย่อหยิ่งดุจราชันผู้ท่องไปในยุทธภพ!
นั่นเป็นความสง่างามไร้ศัตรูอย่างแท้จริง เป็นความเชื่อมั่นในตนเองที่ยืนผยองเหนือเส้นทางจักรพรรดิ สามารถทะลวงผ่านอุปสรรคทั้งปวง!
‘ผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแข็งแกร่งตามคำร่ำลือดังคาด ความสง่างามเช่นนี้ ชั่วชีวิตข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ…’ หลินสวินยังไหวหวั่นอย่างอดไม่ได้
เขาฝึกปราณมาจนตอนนี้ ทะลวงจากแดนใหญ่พันศึกมาถึงน่านฟ้าที่หกแห่งนี้ ไม่เห็นคนระดับเดียวกันอยู่ในสายตามาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิน่านฟ้าที่แปดอย่างพวกฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาสักนิด
แต่ยามนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย ‘ประเภทเดียวกัน’ จากตัวผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดคนนี้ มีความรู้สึกประหลาดที่เหมือน ‘มรรคข้ามีศัตรู’
ไม่ต้องสงสัย คนผู้นี้ก็คือ ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ ที่ผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นพูดถึง!
แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าในศึกนี้ฉุนจวินไม่ได้พึ่งพามรรควิถีของตัวเขาเอง แต่ใช้สมบัติชิ้นหนึ่งต้านทานขวานยักษ์สีดำเล่มนั้นอยู่
สิ่งนี้คือทวนสั้นสำริดเล่มหนึ่ง ยามแกว่งไกวจะมีเพลิงระเบียบเปล่งประกายวาวใสเป็นลูกๆ อุบัติขึ้น สะท้อนออกมาเป็นลำแสงแดงสดดุจเปลวเพลิง
ในการปะทะแต่ละครั้ง ทวนสั้นสำริดนี้จะมีละอองแสงเปลวเพลิงกระเซ็นออกมาดุจแผดเผาเวิ้งฟ้า เกิดเสียงชิ้งๆ สะท้านใจคน
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าทวนสั้นสำริดนี้เป็น ‘สมบัติลับ’ ชิ้นหนึ่ง สามารถอาศัยยืมใช้พลังระเบียบได้ มิหนำซ้ำพลังระเบียบนั้นยังน่ากลัวเป็นที่สุด อย่างน้อยก็เป็นระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่เกี่ยวข้องกับเปลวเพลิงชนิดหนึ่ง!
‘ไม่ธรรมดาเลย…’
หลินสวินรำพึงในใจ ก็ในขณะนี้เองที่เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันซึ่งมาจากคน ‘ระดับเดียวกัน’
เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ตกใจกลับยินดี
เพราะอยู่ในระดับนี้ เขาไม่มีศัตรูมานาน เงียบเหงามาหลายปีแล้ว!
ยิ่งสูงยิ่งหนาวรู้สึกอย่างไร
ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เข้าใจ แต่ในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดินี้ เขาได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้แล้ว
ทว่าตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้แล้วว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียว และย่อมไม่รู้สึกเบื่ออย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
เขาถึงกับห้ามตัวไม่อยู่ คิดเอาว่าผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดยังเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเกรงว่าในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ หอบรรพจารย์ลัทธิฌาน หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดก็น่าจะมี ‘พวกเดียวกัน’ แบบนี้ไม่น้อย
จู่ๆ ในสนามรบที่อยู่ไกลออกไปก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ขวานยักษ์สีดำที่กำลังต่อสู้ดุเดือดกับฉุนจวิน กลับแปลงเป็นแสงมรรคสายหนึ่งแหวกผ่านห้วงอากาศแล้วหายลับไปอย่างรวดเร็ว
“หนีไปอีกแล้ว ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าจะหนีได้สักกี่น้ำ”
กลับพบว่าฉุนจวินที่แต่งกายชุดขาวทั้งตัวคล้ายไม่ประหลาดใจ ขณะที่เก็บทวนสั้นสำริดกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็หันหน้ามา
จากนั้นก็เห็นหลินสวินที่อยู่ไกลลิบ
เมื่อสายตาทั้งสองสบกันกลางอากาศ ฟ้าดินล้วนเงียบสงัด การประชันไร้รูปอบอวลออกมาเหมือนคลื่นใต้น้ำไหวเคลื่อน
“สหายยุทธ์ก็มาสยบระเบียบผนึกพิฆาตนี้หรือ”
ผ่านไปสักพักฉุนจวินก็ชิงเอ่ยปากก่อน เสียงกังวานก้องฟ้าดิน แววประหลาดปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วนั้น
ในสายตาเขา หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าสงบนิ่ง แววตาเรียบเฉยไร้คลื่นลม ถึงกับทำให้เขายังรู้สึกมองไม่ออก
“ไม่ผิด”
หลินสวินใจเย็นนัก “ระหว่างทางก่อนหน้านี้ก็ได้พบกับคนของสำนักสหายยุทธ์ ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายยุทธ์ก็คือ ‘ฉุนจวิน’ กระมัง”
ฉุนจวินพยักหน้า เผยสีหน้าเข้าใจในทันที เอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าได้เจอพวกอาจารย์อาโม่มาก่อนแล้ว ข้าน้อยแซ่เย่ ฉายามรรคฉุนจวิน ขอเรียนถามว่าสหายยุทธ์มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
“หลินเต้ายวน” หลินสวินเอ่ย
สำหรับเย่ฉุนจวินแล้ว ชื่อนี้ไม่คุ้นหูสักนิด ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้
หรือคนผู้นี้จะเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในน่านฟ้าที่หก
แต่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
คิดๆ แล้วเย่ฉุนจวินก็เอ่ยว่า “สหายยุทธ์หลิน ถ้าเจ้ามาคราวนี้เพื่อวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนี้เหมือนกันหรือ เช่นนั้นเกรงว่าพวกเราจะกลายเป็นคู่ต่อสู้กันแล้ว”
เสียงเรียบเฉย สุขุมเยือกเย็น
“เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ดูออกว่าพี่เย่คงไม่ยอมล้มเลิก และข้าก็ไม่มีทางรามือเท่านี้เช่นกัน เช่นนั้นก็เหลือทางเดียวให้เลือกแล้ว”
“พี่หลินพูดจาตรงไปตรงมา ใจตรงกับข้าดี”
เย่ฉุนจวินยิ้มอย่างอดไม่ได้ แววตาวาววาบ เสียงกังวานดุจระฆังดังก้องฟ้าดินแห่งนี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าคนแซ่เย่ก็ต้องขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฝีมือต่อสู้ของพี่หลินแล้ว”
สีหน้ามีความโอหังและเชื่อมั่นในตัวเองที่เก็บงำอยู่ภายในถึงขีดสุด!
——