Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2673 อนาคตมิอาจรั้งรอ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2673 อนาคตมิอาจรั้งรอ
เสียงเย่ฉุนจวินเงียบลง
เพลิงเทพอันเกรียงไกรไพศาลและพร่างพราวพวยพุ่งบนร่างเขา ฉับพลันนั้นก็ควบรวมเป็นสัญลักษณ์โบราณลึกลับภาพหนึ่ง มันเหมือนกับดวงอาทิตย์ลุกโชน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งดุจต้นกำเนิดหมื่นอัคคี
ตูม!
เมื่อเขายกดาบศึกในมือขึ้น สัญลักษณ์โบราณลึกลับนี้ก็ปกคลุมบนดาบศึกของเขา ก็พบว่าคมดามที่เปล่งประกายดุจหิมะนั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเจตะน่าตกตะลึง
นี่คือไอธรรมอัคคี!
ในสายตาผู้ฝึกปราณ ธรรมอัคคีก็คือโชคชะตาที่มีมาโดยกำเนิดอย่างหนึ่ง เปรียบดั่งพลังฟ้าประทาน เกี่ยวโยงถึงชะตา
ในผู้คนนับหมื่นพันยังยากจะมีคนโชคดีที่มี ‘กายมรรคธรรมอัคคี’ ถือกำเนิดมาสักคน
เย่ฉุนจวินเป็นคนที่พิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเกิดมาก็มีพลังธรรมอัคคี อาศัยการหยั่งรู้และความพากเพียรเหนือธรรมดาสร้างคัมภีร์ ‘มรรคชะตาธรรมอัคคี’ ตั้งแต่บรรลุมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ
นี่เป็นคัมภีร์จักรพรรดิที่สร้างขึ้นด้วยการหลอมและอนุมานพรสวรรค์กับมรรควิถีอย่างสมบูรณ์ เรียกได้ว่าโดดเด่นหายากทั้งอดีตและปัจจุบัน!
และบัดนี้ เย่ฉุนจวินก็ผสานพลังธรรมอัคคีพรสวรรค์ไว้ในดาบศึกทั้งหมด
แค่คิดก็รู้ว่ายามดาบที่สามนี้ฟันออกไป อานุภาพจะแกร่งกล้าปานไหน!
ตูม!
ฟ้าพลิกดินคว่ำ สุริยันจันทราอับแสง กลางโลกร่างเย่ฉุนจวินดุจเพลิงเผา ราวกับกลายเป็นแสงมรรคเพียงหนึ่งเดียว พลานุภาพโชติช่วงจนทำให้เทพผีต่างตกตื่น!
ไกลออกไปหลินสวินดวงตาลุ่มลึกและเปล่งประกาย รับรู้ได้ถึงพลังกดดันที่ปะทะเข้ามา ในใจก็อดตั้งตาคอยอย่างแรงกล้าไม่ได้
แม้ดาบนี้ยังไม่ฟันออกมา แต่ต้องเป็นภาพสะท้อนสูงสุดของมรรควิถีของเย่ฉุนจวินแน่นอน เป็นดาบชั้นเลิศที่เขาใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตหลอมออกมาอย่างไร้ข้อกังขา!
อาจจะเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ ดาบที่สามนี้เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต!
ชิ้ง!
เสียงกระบี่เสนาะหูดังขึ้นราวกับแว่วมาจากอดีตกาล เผยให้เห็นพลังที่ทะลวงถึงใจคน
“อนาคตมิอาจรั้งรอ!”
ก็เห็นว่าเย่ฉุนจวินเสื้อผ้าปลิวไหว ก้าวทะยานไปในอากาศ ราวกับเซียนประทับดาบ ท่วงท่าเหนือธรรมดา ส่วนดาบศึกในมือเขาก็ฟันลงมาอย่างแผ่วเบา
เรียบง่ายผ่อนคลาย ไม่เจือกลิ่นอายใดๆ
แต่เมื่อดาบเล่มนี้ฟันออกมา
ไม่ว่าใครก็รู้สึกเหมือนวิญญาณถูกกรีดทึ้ง จิตใจถูกฟันแหวก ร่างกายถูกทำลาย ประหนึ่งว่าดาบนั้นเป็นคำพิพากษาจากฟ้าเบื้องบน
เฉกเช่นดาบประหัตมหามรรค!
นี่ไม่ใช่วิชามรรคในความหมายทั่วๆ ไปแล้ว
แต่เป็นดาบที่ใช้พรสวรรค์ สารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ เจตจำนงและวิญญาณทั้งตัวควบรวมไว้ด้วยกัน ใช้มรรควิถีและสติปัญญาทั้งปวงหลอมรวมกันในหนึ่งดาบ!
ฟ้าดินหมื่นลักษณ์ล้วนกลายเป็นไม้ประดับ มีเพียงหนึ่งดาบนี้ที่ดุจเทพดั่งเซียนนี้มาเยือนโลก
กระนั้น…
ก็เป็นดาบที่สะท้านฟ้าดินทำให้เทพผีร่ำไห้นี้ ที่ถูกหลินสวินสกัดขวางไว้ได้
เคร้ง!!!
เสียงปะทะบาดหูดังไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ปราณดาบอันน่าครั่นคร้ามแผ่กระจาย ฟ้าดินพังถล่ม
แต่กลับไม่อาจพิชิตการป้องกันของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้
ทว่าพลังอันน่ากลัวนั้นกลับซัดเงาร่างดุจศิลาใหญ่ของหลินสวินอย่างจัง ทำเอาเลือดลมทั้งร่างเขาปั่นป่วน ถอยออกไปหนึ่งก้าว
ห้วงอากาศใต้เท้าเขาพังถล่มดังลั่น คลื่นลมม้วนตลบ
เวลานี้หลินสวินยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ เป็นดาบที่แกร่งกล้านัก!
ไกลออกไปเงาร่างสูงโปร่งนั้นของเย่ฉุนจวินปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศปั่นป่วน เพียงแต่บัดนี้สีหน้าเขาอึ้งงันไปบ้าง คล้ายตกตะลึงและทำใจเชื่อได้ยาก
อนาคตมิอาจรั้งรอ!
นี่เป็นภาพสะท้อนสูงสุดของมรรควิถีของเขา ในสภาพที่ใช้เต็มกำลัง ต่อให้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดที่อันดับสูงกว่าเขาเหล่านั้นก็ยังต้องหลบคมดาบนี้
แม้จะต้านไว้ได้ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่พลังปราณต่างกันเพียงน้อยนิด บางครั้งก็วัดพลังต่อสู้สูงต่ำได้ยากนัก
แต่เย่ฉุนจวินกลับคิดไม่ถึงว่าต่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน หลินสวินกลับต้านดาบนี้ของตนได้
ไม่ได้หลบหนี ไม่ได้ถอยร่น
ตั้งแต่เริ่มจนจบยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับหมื่นกาลไม่ไหวติง สลายดาบนี้ของตนทั้งอย่างนี้
ทั้งไม่ได้รับบาดเจ็บ!
นี่ทำให้จิตมรรคอันหนักแน่นของเย่ฉุนจวินยังหวั่นไหวอยู่เงียบๆ
หลังจากความเงียบอันแปลกประหลาด เย่ฉุนจวินถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ฝีมือในระดับนี้ของพี่หลินล้ำเลิศจริงๆ”
หลินสวินแววตาลุ่มลึกวาบวาว เอ่ยว่า “ยังมีอีกไหม”
ดาบที่สามของเย่ฉุนจวินทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่ได้พบมานาน เขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นนี้จากคนระดับเดียวกันมาหลายปีมากแล้ว
เย่ฉุนจวินอึ้งไป มุมปากกระตุกครู่หนึ่ง พูดว่า “ไม่มีแล้ว”
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าหลินสวินนิ่วหน้า ต่อมาสีหน้านั้นก็คล้ายมีแววผิดหวังฉายวาบขึ้นมากลายๆ
นี่ทำให้คนที่เย่อหยิ่งทระนงตนอย่างเย่ฉุนจวินยังปั้นหน้าไม่ถูก
สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวว่า “พี่หลิน เจ้าได้เห็นสามดาบชะตาของข้าแล้ว แต่ศึกนี้ยังไม่จบ ข้าอยากให้เจ้าชี้แนะวิชาโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าสักหน่อย”
ยามนี้ความลังเลฉายวาบขึ้นบนสีหน้าหลินสวิน จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ได้”
เย่ฉุนจวินไม่เข้าใจนัก เหตุใดหลินสวินต้องลังเล
หลินสวินก็ไม่ได้บอกเขาว่าไม่ว่าจะใช้อภินิหารหยุดเวลาหรือประตูเนรเทศ เกรงว่าศึกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อไปแม้สักนิด
เขาไม่ได้อยากกำราบคู่ต่อสู้ที่มีค่าผู้นี้ไปทั้งอย่างนี้
ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ก็พบได้ยากนัก!
ถัดจากนั้นอานุภาพของหลินสวินเปลี่ยนไปทันที เหยียบย่างไปกลางห้วงอากาศ เดินเข้าไปหาเย่ฉุนจวิน
แต่ละก้าวล้วนมีแรงกดข่มอันแรงกล้าถึงขีดสุด
ตอนแรกเย่ฉุนจวินไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่นานนักสีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย รับรู้ได้ว่าอานุภาพบนร่างของหลินสวินกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ากลัว
จนในที่สุดก็ทำให้ตัวเขาแข็งทื่อเล็กน้อย จิตใจได้รับแรงกดดันอันไร้รูป
เย่ฉุนจวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แขนเสื้อไหวกระพือ โคจรมรรควิถีของตนถึงขีดสุด หว่างคิ้วมีแต่ความเยือกเย็นหนักแน่น
หลินสวินต้านสามดาบชะตาของเขาได้
เขาก็ไม่เชื่อว่าตนจะต้านการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายไม่ได้!
จนกระทั่งตอนที่ทั้งสองห่างกันแค่ร้อยจั้ง หลินสวินจึงหยุดเดินทันที จากนั้นกำหมัดชกออกไปครั้งหนึ่งเงียบๆ
ตูม!
ฟ้าดินแห่งนี้คล้ายรับพลานุภาพของหมัดนี้ไม่ไหว พลิกตลบยุ่งเหยิงขึ้นทันควัน พลังหมัดอันน่าครั่นคร้ามอบอวลไปด้วยกลิ่นอายกลืนกินทั่วทิศ
มองจากไกลๆ หมัดนี้คล้ายราชันสวรรค์แดนเทพลงมือทำลายโลก!
ความรู้สึกอันตรายผุดขึ้นในใจเย่ฉุนจวิน ทันใดนั้นก็กระตุ้นดาบศึกถึงขีดสุด เสียงกระบี่ครวญดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
แต่นี่ไม่ได้ขจัดความรู้สึกที่เขาถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออกนั้นไป
นี่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
กระตุ้นวิชาลับป้องกันที่สูงส่งสุดหยั่งวิชาหนึ่งโดยไม่ลังเล
แต่ก็ในตอนนี้เองที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แขนเสื้อโบกสะบัด แสงเทพดุจอมตะไหวเคลื่อน สลายหมัดนั้นของหลินสวินไป
ตูม!
แสงเทพระเบิดออก แม้พลังหมัดจะสลายไป แต่เงาร่างที่โผล่มากะทันหันนั้นกลับส่งเสียงตะลึงอย่างอดไม่ได้ คล้ายอานุภาพของหมัดนี้ยังเหนือความคาดหมายเขาไปมาก ถึงกับออกจะไม่คาดคิด
หลินสวินนิ่วหน้า หยุดมือทันที
และไกลออกไป เย่ฉุนจวินเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตะลึงว่า “อาจารย์อาโม่ นี่ท่าน…”
เงาร่างที่โผล่มาแทรกแซงปุบปับก็คือโม่หลันซานในชุดเหลืองผมขาว มือถือพัดขนนกผู้นั้นนั่นเอง
เขายิ้มเอ่ย “อย่าหาว่าข้าผลุนผลัน แต่เป็นเพราะเวลากระชั้นชิด พวกเราต้องออกไปแล้ว”
ความไม่เข้าใจอย่างแรงกล้าผุดขึ้นในใจเย่ฉุนจวิน ต่อให้เวลากระชั้นชิดแค่ไหนก็ไม่น่าต้องมาเร่งเอาตอนนี้กระมัง
ทว่าโม่หลันซานมองไปที่หลินสวินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สหายน้อย เจ้าว่าอย่างไร”
หลินสวินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อผู้อาวุโสลงมือ ย่อมต้องมีเหตุผล ข้าจะรู้สึกอย่างไรความจริงแล้วไม่ได้สำคัญ”
โม่หลันซานฟังความระแวงระวังและไม่พอใจในน้ำเสียงหลินสวินออก เขาไม่ได้ขุ่นเคือง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้นถ้าข้าบอกให้เจ้าตัดใจทิ้งวิญญาณระเบียบที่นี่แล้วจากไปเท่านี้เล่า”
หลินสวินมุ่นคิ้ว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไม่ได้ลงมือกับข้าก็เป็นความเมตตาแล้ว ข้าจะไม่รู้ที่ถูกที่ควรได้อย่างไร ลาล่ะ”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป
เย่ฉุนจวินมองดูเงาหลังเขาจากไป เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่หลิน ช้าก่อน”
หลินสวินหยุดเดินเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ”
เย่ฉุนจวินสีหน้าผกผันไม่ว่างเว้น สักพักจึงถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ศึกนี้ข้าแพ้แล้ว ตามสัญญาข้าต้องตัดใจจากวิญญาณระเบียบที่นี่ถึงจะถูก”
นี่ทำให้หลินสวินประหลาดใจ หันกลับไปมองเย่ฉุนจวินแล้วกล่าว “เจ้าทำแบบนี้จะทำให้ผู้อาวุโสผู้นั้นอึดอัดเอา”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้เจือความเสียดสี
แต่กลับพบว่าโม่หลันซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ฉุนจวินใจกว้าง กระทำการใดก็สง่าผ่าเผย ข้าดีใจนัก จะยังอึดอัดใจได้อย่างไร”
เขาหยุดไปแล้วมองดูหลินสวินด้วยแววตาแฝงนัยลึกซึ้ง “กลับสหายน้อยเสียอีก ในใจคล้ายมีไฟโทสะสุมอยู่ไม่น้อย”
หลินสวินเอ่ยสีหน้าราบเรียบ “จะมีไฟโทสะก็เป็นเรื่องธรรมดา ถึงอย่างไรเดิมทีข้ามาคราวนี้ก็เพื่อสยบวิญญาณระเบียบที่นี่ แต่ช่วยไม่ได้ มีผู้อาวุโสอยู่ คาดว่าวาสนาคราวนี้คงไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว แต่ผู้อาวุโสก็ไม่ได้กำจัดข้าให้สิ้นซาก ต่อให้ข้าไม่ยินยอมแค่ไหนก็ต้องรับน้ำใจ”
แววชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาโม่หลันซาน เอ่ยว่า “ทั้งที่เสียดายก็ยังกระทำการอย่างพอเหมาะพอควร สภาวะจิตเช่นนี้สมเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจริงๆ”
ดวงตาดำหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อย จากนั้นก็คืนสู่ความสงบทันที ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ศักยภาพน่ากลัวจนไม่อาจประเมินได้เช่นนี้มองฐานะออก ก็ไม่ได้ทำให้เขาคาดไม่ถึงเท่าไร
เขาแค่มองไม่ทะลุถึงท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อ ‘ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล’
ถึงอย่างไรโลกยอดนิรันดร์ในตอนนี้ สิบยักษ์ใหญ่น่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นต่างประกาศว่าจะต้องกำจัดผู้สืบทอดคีรีดวงกมลให้สิ้น
โม่หลันซานเอ่ยว่า “สหายน้อย ถ้าข้าบอกเจ้าว่าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตที่นี่ก็คือสิ่งที่เฒ่าชราหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดของข้าคนหนึ่งทิ้งไว้ เจ้าจะคิดอย่างไร”
หลินสวินเลิกคิ้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ตนจะคิดอย่างไรได้อีก
แน่นอนว่าคิดยังไม่กล้าคิด ถามยังไม่กล้าถาม ยังจะทำอะไรได้เล่า
โม่หลันซานคล้ายมองทะลุความคิดของหลินสวินในปราดเดียว เอ่ยขึ้นว่า
“เขตผนึกเร้นแห่งนี้เป็นแดนแรกกำเนิดฟ้าประทานแห่งหนึ่ง นานมาแล้วเฒ่าชราหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดของข้าผู้นั้นรอนแรมอยู่ที่นี่ แล้วทิ้งวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตที่เขาครอบครองไว้ ณ ที่แห่งนี้ เป้าหมายก็เพื่อให้วิญญาณระเบียบนี้หลอมและดูดซับไอแรกกำเนิดฟ้าประทานในเขตผนึกเร้นแห่งนี้ ใช้สิ่งนี้มาแปรสภาพตัวเอง”
“และตอนนี้ข้านำพวกฉุนจวินมา ข้อแรกก็เพื่อเคี่ยวกรำมรรควิถีของพวกเขา ข้อสองก็เพื่อเอาวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนี้ของเจ้าเฒ่าคนนั้นกลับไปด้วย”
หลินสวินฟังจบในใจก็เชื่ออยู่บ้าง ด้วยฐานะและความสามารถของโม่หลันซานคนนี้ ถ้าอยากยึดครองวิญญาณระเบียบนี้จริงๆ ไม่ต้องมาอธิบายกับเขามากขนาดนี้เลยสักนิด
แต่ความผิดหวังในใจก็เลี่ยงได้ยากอยู่ดี
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วข้าน้อยขอลาก่อน” หลินสวินกุมมือ หมุนตัวจะจากไป
โม่หลันซานกลับเรียกเขาไว้
——