Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2681 คันฉ่องเทพหยั่งวิญญาณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2681 คันฉ่องเทพหยั่งวิญญาณ
เมื่อพวกจวงปี้ป๋อมาถึงก็เห็นภาพน่าเวทนาเกินทนนี้
พวกเขาล้วนอึ้งงันไปชั่วขณะ
ผู้อาวุโสใหญ่เป็นบุคคลระดับใด ทั้งยังครองระเบียบพิรุณเคราะห์ ทำไมถึงถูกเล่นงานจนเป็นเช่นนี้
“หยุดนะ…!”
จวงปี้ป๋อคำรามเดือด ใบหน้าเหลี่ยมเคร่งขรึมคล้ำเขียว ไอสังหารแผ่ซ่าน
“ไม่ต้องรีบ”
หลินสวินไม่แม้แต่เงยหน้า ในมือกลับมีดาบเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา คมกริบชวนสยอง
“เจ้าจะทำอะไร”
จวงซิวอู่ซึ่งโทรมไปทั้งตัว ทั้งหายใจรวยรินคำรามอย่างเดือดดาล
“แน่นอนว่าแหวกอกคว้านท้องชิงสมบัติ”
หลินสวินพูดพลางแทงดาบไปที่ท้องของจวงซิวอู่
พรวด!
เลือดแดงสดไหลออกมาราวน้ำตก จวงซิวอู่ขดตัวด้วยความเจ็บปวดสาหัส เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก พลังปราณของเขาถูกพันธนาการ ย่อมต้านอาการบาดเจ็บสาหัสนี้ไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
ภาพนองเลือดนี้ทำให้พวกจวงปี้ป๋อตาแทบถลน หมายจะลงมือ
“หากพวกเจ้าลงมือ พวกเราจะฆ่าเจ้าเฒ่านี่ซะ” จวินหวนเอ่ยปากเย็นชา
ประโยคเดียวทำให้พวกจวงปี้ป๋อต้องกล้ำกลืนฝืนทน ทั้งตกใจทั้งเดือดดาล ที่นี่เป็นถึงอาณาเขตของพวกเขาตระกูลจวง แต่ตอนนี้กลับถูกคนข่มขู่!
“ลงมือเร็วเข้า ฆ่าพวกมัน ฆ่าพวกมันซะ!!”
จวงซิวอู่ราวกับคลุ้มคลั่ง ถูกหยามเหยียดจนเป็นเช่นนี้ ทั้งตัวเขามีความรู้สึกว่าจะพังทลาย
เพียะ!
หลินสวินสะบัดมือใส่ “หากโวยวายอีกข้าจะฆ่าเจ้าเฒ่าอย่างเจ้าก่อน!”
แรงตบนั้นฟาดหน้าจวงซิวอู่จนร้อนผ่าว ราวกับตบหน้าพวกจวงปี้ป๋อด้วย ทำเอาพวกเขาเพลิงโทสะพลุ่งพล่าน ถลึงตาเหมือนอยากฆ่าคน
“พวกเจ้าคิดทำอะไรกันแน่ หากจะสู้กันให้รู้แล้วรู้รอด เกรงว่าวันนี้พวกเจ้าคงหนีไม่พ้น!”
จวงปี้ป๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง
จวินหวนยิ้มกล่าว “เอาตถุอมตะหมื่นชั่งกับไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุแสนปีขึ้นไปสามสิบต้นออกมา แล้วพวกเราจะจากไปทันที”
พวกจวงปี้ป๋อแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
วัตถุอมตะหมื่นชั่ง!?
ไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุแสนปีสามสิบต้น!?
นี่ไม่ใช่แค่เรียกร้องมากเกินไป แต่จะขูดเลือดขูดเนื้อพวกเขาชัดๆ!
“ทำไม ชีวิตของผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพคนหนึ่งยังเทียบกับของนอกกายพวกนี้ไม่ได้หรือ”
น้ำเสียงจวินหวนเรียบเฉย
พรืด!
ท่ามกลางน้ำเลือดสาดกระเซ็น หลินสวินล้วงของล้ำค่าทรงเจดีย์สมบัติหนึ่งออกมาจากตัวจวงซิวอู่ มีขนาดเท่ากำปั้น แบ่งเป็นเก้าชั้น ชายคาเจดีย์โค้งเหมือนกิ่งเหมย ตัวเจดีย์เขียวมรกตราวหล่อจากหยกเทพ ด้านบนประทับลายเมฆอสนีลึกลับ เจิดจรัสบาดตา
นี่เป็นสมบัติมรรคอมตะที่ล้ำค่ายิ่งชิ้นหนึ่ง อบอวลด้วยกลิ่นอายอมตะน่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ พลังเจตะสะเทือนใต้หล้า
เพียงชั่วขณะจวงซิวอู่ที่บาดเจ็บหนักเจียนตายเหมือนถูกคนชิงเลือดเนื้อจิตใจไป สีหน้าบิดเบี้ยว คำรามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
“เจดีย์มรรคเพลิงอสนีของข้า! ไม่…! รีบขวางเขาไว้!”
พวกจวงปี้ป๋อล้วนโกรธแค้นถึงขีดสุด แต่กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช ต่อให้สมบัติล้ำค่าเพียงใด แต่ไหนเลยจะสำคัญกว่าชีวิตของจวงซิวอู่
จวินหวนกลับยิ้มกล่าว “หากพวกเจ้าไม่รับปาก เกรงว่าเจ้าเฒ่านั่นคง…”
จวงปี้ป๋อสีหน้าอึมครึมพลางกล่าว “หากยอมรับเงื่อนไขของพวกเจ้า พวกเจ้าจะปล่อยตัวผู้อาวุโสใหญ่จริงหรือ”
จวินหวนพูดเรียบๆ “พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่กลับคำและทรยศหักหลังเหมือนบางตระกูล วาจาที่กล่าวออกมาเชื่อถือได้เสมอ”
นี่คือการถากถางตระกูลจวงที่ตอบแทนคุณด้วยความแค้น
สีหน้าของคนตระกูลจวงพวกนั้นไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิมดังคาด
“ได้ ข้ารับปากเจ้า!”
จวงปี้ป๋อตาแดงก่ำ เสียงเหมือนลอดออกมาจากไรฟัน
จวินหวนพลันยิ้มกล่าว “ศิษย์น้องเล็ก เบามือหน่อย อย่าทำลายรากฐานของ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ท่านนี้ หากเป็นเช่นนั้นตระกูลจวงต้องลากพวกเราไปตายด้วยแน่”
หลินสวินหยัดร่างขึ้นพลางกล่าว “ศิษย์พี่จะพอแค่นี้หรือ”
จวินหวนไหวไหล่พูด “ด้วยความสามารถของพวกเราสองคน ไม่อาจยึดครองแดนมงคลไผ่เขียวนี้ได้ ต่อให้ยึดครองก็รักษาไว้ได้ไม่นาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ “ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว รอภายหน้าหากสบโอกาสข้าค่อยมาทวงแดนมงคลไผ่เขียวคืนก็พอ ถึงตอนนั้นแม้ต้องยกแดนมงคลไผ่เขียวให้หมาตัวหนึ่ง ก็ดีกว่าเหลือไว้ให้พวกเนรคุณ ไร้ยางอายชั่วช้า”
ยามทั้งสองคนพูดคุยกัน ทุกประโยคล้วนเหมือนกระบี่คมกริบ กระตุ้นจนเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลจวงหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด แทบควบคุมไอสังหารในใจไม่อยู่
จวงปี้ป๋อไม่อาจทนฟังอีกต่อไป ตัดบททันควัน “พวกเจ้าสองคน วัตถุอมตะและไผ่เขียวเพลิงอสนีที่พวกเจ้าต้องการต้องใช้เวลาตระเตรียม หากพวกเจ้าเชื่อในตัวข้าก็ให้เวลาข้าอีกหน่อย ข้ารับรองว่าจะรวบรวมให้พวกเจ้าอย่างครบถ้วน”
“เจ้าคิดว่าพวกเรายังเชื่อตระกูลจวงของพวกเจ้าอีกหรือ”
หลินสวินเยาะหยัน
จวินหวนกลับกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ มอบสมบัติในตัวพวกเจ้ามาให้หมด”
“ไม่ได้!”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“พวกเจ้าคีรีดวงกมลระรานคนอื่นเกินไปแล้ว!”
เหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลจวงต่างร้องขึ้นมา เดือดดาลเกินต้าน พวกเขาไม่เคยสัมผัสรสชาติที่ถูกคนรีดไถเช่นนี้มาก่อน
“ไม่ได้หรือ”
แววตาจวินหวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ”
จวงปี้ป๋อเห็นดังนี้ก็ออกคำสั่งหน้าเขียว “เร็วเข้า นำสมบัติในตัวออกมา!”
ทุกคนพลันลังเล
มีคนอดกล่าวไม่ได้ “หากส่งของให้แล้วพวกเขากลับคำจะทำอย่างไร”
จวงปี้ป๋อกล่าวเสียงเหี้ยม “หากพวกเขากล้าทำเช่นนี้ ต่อให้จ่ายค่าตอบแทนมากแค่ไหน ก็อย่าให้พวกเขาก้าวออกจากแดนมงคลไผ่เขียวไปแม้เพียงครึ่งก้าว!”
เขานำสมบัติของตนออกมาก่อน
ทุกคนเห็นดังนี้แล้วจึงตัดสินใจเด็ดขาด นำสมบัติในตัวออกมาทั้งหมด
กลับเห็นจวินหวนยื่นมือพลิกออกไป กลางฝ่ามือมีคันฉ่องสำริดหน้าเดียวกลิ่นอายเก่าแก่เพิ่มขึ้นมา นางยิ้มพลางกล่าว “คันฉ่องนี้มีนามว่า ‘คันฉ่องเทพหยั่งวิญญาณ’ สืบหาสมบัตินานัปการกลางฟ้าดินได้ หรือกล่าวได้ว่าหากบนตัวพวกเจ้ามีสมบัติเก็บซ่อนไว้แล้วไม่นำออกมา ก็จะเผยให้เห็นภายใต้แสงสะท้อนของคันฉ่องนี้ พวกเจ้าอยากลองดูหรือไม่”
บุคคลสำคัญของตระกูลจวงรวมถึงจวงปี้ป๋อสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที เกือบสบถด่าอยู่ในใจ ไหนเลยจะคาดคิดว่าในตัวจวินหวนยังมีสมบัติเช่นนี้ด้วย
เหี้ยมนัก!
จวงปี้ป๋อสะบัดมือ ริมฝีปากขยับพูด “นำออกมา!”
ตัวเขาก็แอบซ่อนไว้บางส่วน แต่ยามนี้ได้แต่ส่งมอบออกมาเช่นกัน
ต่อให้คนอื่นไม่สมัครใจแค่ไหน ตอนนี้ต่างก็นำสมบัติที่เก็บไว้ออกมาทั้งหมด
เห็นหลินสวินเก็บสมบัติพวกนั้นไปด้วยรอยยิ้มสดใส เหล่าบุคคลสำคัญตระกูลจวงโกรธจนอกแทบแตก
สมบัติล้ำค่าพวกนั้นเป็นถึงแรงกายแรงใจของพวกเขา ไม่อาจใช้ราคามาเทียบวัดได้อย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ทั้งหมดล้วนถูกกวาดไปสิ้น!
“ตอนนี้เจ้าน่าจะส่งคนมาได้แล้วกระมัง”
จวงปี้ป๋อกล่าวเย็นชา
“รีบร้อนอะไรเล่า รอออกจากแดนมงคลไผ่เขียวแล้วพวกเราย่อมทำตามสัญญา”
จวินหวนพูดพลางหิ้วจวงซิวอู่ที่บาดเจ็บหนักเจียนตายขึ้นมาแล้วกล่าว “ตอนนี้พวกเจ้ามานำทาง ขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่าเล่นตุกติกอะไรจะดีกว่า”
จวงปี้ป๋อหันหลังเดินไปโดยไม่ลังเล
เขาห่วงว่าหากล่าช้าต่อไปต้องถูกทำให้โกรธจนช้ำในแน่
ผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลจวงคนอื่นรีบตามไป จ้องมองจวินหวนกับหลินสวินด้วยท่าทางพร้อมสู้ทุกเมื่อ
จวินหวนกลับเหมือนไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง พาหลินสวินก้าวตามจวงปี้ป๋อไปอย่างเนิบช้า
“ศิษย์พี่ ข้าขอยืมคันฉ่องเทพหยั่งวิญญาณของท่านหน่อย ข้าอยากดูว่าระหว่างทางนี้จะสืบหาสมบัติชั้นดีบางส่วนได้หรือไม่” หลินสวินกล่าว
ในแดนมงคลไผ่เขียวมีโอสถเทพและวัตถุดิบเทพมากมาย สำหรับหลินสวินถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว ไม่สู้ปล้นสมบัติต่ออีกหน่อยดีกว่า
พวกจวงปี้ป๋อได้ยินดังนี้แล้วหน้าเขียว เจ้าหมอนี่ช่างเสียสติจริงๆ!
กลับเห็นจวินหวนยิ้มพลางส่ายหัว “ศิษย์น้องเล็ก นั่นข้าหลอกพวกเขาเล่น คันฉ่องเทพหยั่งวิญญาณอะไร นั่นเป็นแค่คันฉ่องที่ข้าใช้ยามแต่งตัวเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าพวกนี้จะถูกหลอกจริงๆ คิกๆ น่าสนใจมากใช่หรือไม่”
พรืด!
หลินสวินหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ศิษย์พี่จวินหวนก็หลอกคนเก่งเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้แม้แต่เขายังมองร่องรอยไม่ออกสักนิด!
คำโบราณกล่าวไว้ดีแล้วดังคาด ผู้หญิงยิ่งสวย ยามหลอกคนยิ่งทำให้ผู้อื่นตั้งตัวไม่ทัน…
เมื่อมองพวกจวงปี้ป๋ออีกครั้ง แต่ละคนหน้าดำราวก้นหม้อ เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดนูนออกมา ท่าทางอึดอัดเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
“พวกเจ้าผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลถึงกับเล่นลูกไม้เช่นนี้ ถือเป็นพวกต้มตุ๋นโดยแท้ น่าขายหน้า!”
มีคนกล่าวกราดเกรี้ยว
“ข้าให้พวกเจ้าส่งมอบสมบัติ แต่พวกเจ้ากลับไม่เชื่อง ยังโทษข้าได้อีกหรือ”
จวินหวนแค่นเสียงเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ข้าหลอกลวง แต่พวกเจ้าอยู่มานานหลายปีเช่นนี้กลับยังถูกหลอก จะโง่เกินไปแล้วกระมัง”
หลินสวินหัวเราะจนปวดท้อง ค้นพบเป็นครั้งแรกว่านิสัยนี้ของศิษย์พี่จวินหวนยั่วโมโหคนได้อย่างง่ายดายโดยแท้ ขอเพียงนางต้องการก็ปั่นหัวคนเล่นได้แน่นอน
ตลอดทางไม่มีอุปสรรคและเหตุไม่คาดฝันอะไร
เห็นชัดว่าฐานะของผู้อาวุโสใหญ่จวงซิวอู่สำคัญมาก สำคัญถึงขั้นทำให้พวกจวงปี้ป๋อไม่กล้าเล่นตุกติกระหว่างทางสักนิด
กระทั่งก้าวออกจากแดนมงคลไผ่เขียว
จวงปี้ป๋อกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมคล้ำเขียว “ตาพวกเจ้าทำตามสัญญาแล้ว”
เหล่าบุคคลสำคัญตระกูลลั่วที่อยู่ใกล้ล้วนเตรียมตัวพร้อมสู้ ดวงตาจ้องจวินหวนกับหลินสวินเขม็ง
จวินหวนมองไปโดยรอบ ทั้งมองแดนมงคลไผ่เขียวแล้วกล่าว “ศิษย์น้อง หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาคงลอบหารือกันแล้ว รอหลังจากพวกเราส่งคนให้ พวกเขาต้องลงมือกับพวกเราทันทีแน่”
หลินสวินกล่าว “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”
จวงปี้ป๋อกล่าวเดือดดาล “นี่พวกเจ้าคิดกลับคำรึ”
สีหน้าคนอื่นก็ไม่เป็นมิตร ไอสังหารแผ่ซ่าน
ตั้งแต่อยู่บนยอดเขาไต่สวนพวกเขาก็ถูกบีบ สะสมความแค้นและความโกรธไว้สุมอก แทบควบคุมไม่อยู่นานแล้ว
กลับเห็นจวินหวนยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ลืมบอกพวกเจ้าไป การกระทำของพวกเราคีรีดวงกมล แค่ทำตามสัญญากับผู้รักษาคำพูด ส่วนพวกตอบแทนคุณด้วยความแค้นและทรยศหักหลังอย่างพวกเจ้า พวกเราได้แต่ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน…”
ขณะกล่าวนางพลันยกมือขึ้น เรียกยันต์หยกสีดำประหลาดหนึ่งออกมากลางอากาศ
ตูม!
ยามเสียงนางยังดังก้อง ยันต์หยกสีดำพลันกลายเป็นละอองแสงระเบียบแถบหนึ่งม้วนพัดออกไป
พวกจวงปี้ป๋อหลีกหลบทันที ทั้งยามพุ่งหลบยังสำแดงวิชาสังหารที่เตรียมมานานแล้วโดยไม่ลังเล
แต่เพียงพริบตาเงาร่างของจวินหวนกับหลินสวินก็หายไปกลางอากาศ
ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ทั้งไม่ใช่การท่องทะยาน แต่เหมือนถูกระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่ากลางฟ้าดินนี้พาตัวไป หายไปโดยไร้ร่องรอย
พวกจวงปี้ป๋อเห็นภาพนี้แล้วงงเป็นไก่ตาแตก ถูกเหตุการณ์นี้โจมตีจนรับมือไม่ทัน
หายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาเช่นนี้ ทั้งยังไม่เหลือร่องรอยใดๆ!
……………………….