Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2687 ทะเลหมื่นดารา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2687 ทะเลหมื่นดารา
ภายใต้เวิ้งฟ้ามีเมฆขาวรางเลือน ยานสมบัติลำหนึ่งกดอัดคลื่นเมฆาลัดเลาะอยู่ภายใน
“ศิษย์พี่ พวกเราจะไปไหนหรือ”
ในห้องโดยสาร หลินสวินยกน้ำเต้าสุราเปลือกเขียวขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามลอยๆ
“แน่นอนว่าไปเข้าร่วมการคัดเลือกของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”
จวินหวนนอนบนหนังสัตว์อ่อนนุ่มขาวโพลนผืนหนึ่งอย่างสบายๆ ไขว้เรียวขายาวดั่งหยกขึ้นบนโต๊ะเหมือนแมวเกียจคร้าน นัยน์ตาคู่งามหรี่ลงน้อยๆ ไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนสักนิด
นางพูดพลางสะบัดมือลวกๆ โยนม้วนหยกหนึ่งให้หลินสวิน “เจ้าดูม้วนหยกนี้ให้ดีๆ ข้าจะนอนพักสักหน่อยก่อน”
นางพลิกตัวทันที ช่วงเอวและสะโพกที่โค้งเว้าอวบอิ่มโก่งขึ้น เสื้อผ้าล้วนถูกเลิกจนปิดไม่มิด เผยผิวขาวผ่องเนียนละเอียดช่วงหนึ่ง
ภาพนี้ดูเย้ายวนยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมหลินสวินคิดเตือนนางให้ห่วงภาพลักษณ์สักหน่อย แต่สุดท้ายก็ถอดใจ เขาเดาได้ว่าหากตนเอ่ยปากคงถูกหยอกล้อยกหนึ่งแน่
หลินสวินทำใจให้สงบ หันสายตาไปยังม้วนหยก
ห้องโดยสารเงียบสงบ จวินหวนดูเรื่อยเฉื่อยเหมือนแมว นอนหลับสบาย หลินสวินนั่งอ่านม้วนหยกอย่างจดจ่ออยู่หน้าโต๊ะ ในความรางเลือนมีกลิ่นหอมน่าค้นหาอบอวลจางๆ
นั่นคือกลิ่นกายบนตัวจวินหวน ดุจดอกกล้วยไม้คล้ายกวางชะมด กลิ่นหอมซึมซาบเข้าสู่ใจคน
หลังจากหลินสวินพักอยู่เรือนเมฆปรก จวินหวนก็จากไปเพียงลำพัง บอกว่าไปสืบข่าวบางส่วนเกี่ยวกับหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
ไปคราหนึ่งก็เกือบสองปี
หลายวันก่อนหลังจากจวินหวนกลับมาก็พาหลินสวินออกเดินทาง นั่งยานสมบัติห้อทะยานภายใต้นภาคราม ออกจากเมืองจันทร์เหมันต์มา
เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะวางม้วนหยกลง เขาจมสู่ห้วงคิด
ข่าวที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดรับผู้สืบทอดครั้งนี้แพร่ไปทั่วโลกยอดนิรันดร์ ก่อให้เกิดความโกลาหลและดึงดูดความสนใจจากทุกน่านฟ้า
หากคาดเดาจากข่าวที่จวินหวนสืบมาได้
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้มีมากนับร้อย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์!
เมื่อหลินสวินเห็นจำนวนนี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดินับร้อยคน!
นี่เป็นจำนวนที่สะเทือนใจคนจริงๆ
ต้องรู้ว่าในน่านฟ้าที่หนึ่งถึงน่านฟ้าที่หกแทบยากจะได้เห็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ต่อให้ปรากฏตัวมาสักคนก็จะถูกขุมอำนาจใหญ่แห่งน่านฟ้าที่เจ็ดและน่านฟ้าที่แปดหมายตา ก่อนพาตัวไปในเวลาอันสั้น
เหมือนตระกูลลั่วเมื่อก่อนหน้านี้ ยามลั่วฉงคุมอำนาจตระกูล เขาแทบจะทุ่มเททรัพย์สินในตระกูลทั้งหมดกว่าจะปั้นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างลั่วเฟิงออกมาได้
แน่นอนว่าในน่านฟ้าที่เจ็ดนี้ไม่ขาดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่จำนวนก็น้อยจนน่าสงสาร เรียกได้ว่าเป็นบุคคลหายากดั่งขนหงส์เขากิเลน
เท่าที่หลินสวินรู้ เผ่าจักรพรรดิอมตะทุกตระกูลในสิบสองถ้ำสวรรค์ อย่างมากก็มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแค่คนสองคน ทั้งมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนี้ยังแจ้งมรรคมาหลายปีแล้ว บางส่วนถึงขั้นทะลวงปราณกลายเป็นระดับอมตะแล้ว
ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากสามสิบหกแดนมงคลไม่น้อย แต่ก็ต้องเสี่ยงโชค ใช่ว่าทายาททุกรุ่นจะมีบุคคลเช่นนี้ปรากฏตัว
หรือพูดได้ว่าต่อให้รวมคนทั่วน่านฟ้าที่เจ็ดมา ก็ใช่ว่าจะรวบรวมมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิได้มากนับร้อย!
ว่ากันตามจริงผู้ฝึกปราณที่บรรลุถึงขอบเขตนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังมีน้อยเกินไป
สาเหตุที่ครั้งนี้มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิมากนับร้อยมาเข้าร่วมการคัดเลือกของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ก็อยู่ที่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิส่วนหนึ่งในนั้นมาจากน่านฟ้าที่แปด!
ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่านี้จวินหวนรวบรวมข้อมูลมาตลอด ตอนนี้สิ่งที่แน่ใจได้คือในกลุ่มสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด มีคนของสี่ยักษ์ใหญ่เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย
สี่ยักษ์ใหญ่นี้ได้แก่ตระกูลฉี ตระกูลตงหวง ตระกูลมู่ และตระกูลจงหลี!
ในแต่ละยักษ์ใหญ่อมตะ ล้วนมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎบรรพจารย์หกเจ็ดคนเข้าร่วมการคัดเลือก
แค่จากจำนวนของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ก็มองออกว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดพวกนั้น มีความแตกต่างจากขุมอำนาจยักษ์ใหญ่แห่งน่านฟ้าที่แปดมากเพียงใด
หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เขาสนใจคือสี่ยักษ์ใหญ่อมตะที่เข้าร่วมการคัดเลือกผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้ แต่ละขุมอำนาจดันมีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกับตนทั้งสิ้น!
ตระกูลตงหวงคือผู้หนุนหลังสี่ตระกูลตงหวง ในแดนลับทวยเทพหลินสวินเคยสังหารยอดบุคคลรุ่นเยาว์แห่งสี่ตระกูลตงหวงไปไม่น้อย
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิฉีหลิงอวิ๋นทายาทของตระกูลฉี ตอนนี้ยังถูกกำราบอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
ส่วนมู่อี้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งตระกูลมู่ จงหลีเซียวมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งตระกูลจงหลี ล้วนตายในมือหลินสวินยามอยู่แดนลับทวยเทพ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินไม่อาจไม่สงสัย ว่าสี่ยักษ์ใหญ่อมตะนี้เข้ามายุ่งเพราะมีเจตนาเล่นงานตนหรือไม่
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ในม้วนหยกยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการรับผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้บันทึกไว้
เรื่องการรับผู้สืบทอดครั้งนี้ มีรองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์แห่งลัทธิแรกกำเนิดกับผู้อาวุโสสามคนดำเนินการ
รองหัวหน้าหอนามว่าฟางเต้าผิง ระดับอมตะขั้นดับเทพขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง
คนผู้นี้นิสัยเรียบง่าย มากด้วยบารมี
ผู้อาวุโสสามคนได้แก่ตงหวงชิง เซียวเหวินหยวน หลีเจิน
เมื่อเห็นชื่อของตงหวงชิง หลินสวินหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ ว่าผู้อาวุโสแห่งหอแรกพิสุทธิ์คนนี้ต้องมาจากตระกูลตงหวงแน่
‘ตึงมืออยู่บ้างจริงๆ ยามคัดเลือกผู้สืบทอด หากเจ้าเฒ่านี่ลอบใช้แผนการบางอย่างเกรงว่าคงมีอุปสรรคไม่น้อย…’
หลินสวินใคร่ครวญ
แต่เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในการคาดเดาของเขา
สี่หอบรรพจารย์โดดเด่นเหนือใคร แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ก็มีคนจากตระกูลสิบยักษ์ใหญ่อมตะมากมายเข้าไปฝึกปราณในสี่หอบรรพจารย์
เหมือนตงหวงชิง เห็นชัดว่าอยู่ในตัวอย่างนี้เช่นกัน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าวางใจได้ เรื่องคัดเลือกผู้สืบทอดนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ต่อให้เป็นตงหวงชิงก็ไม่กล้าละเมิดกฎของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”
ไม่รู้ว่าจวินหวนตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ นางพลิกตัวกลับมา นัยน์ตาคู่งามยิ้มมองหลินสวิน เสียงนุ่มนวลเสนาะหู
“สาเหตุที่สี่หอบรรพจารย์โดดเด่นเช่นนี้ อยู่ที่ต่อให้เป็นคนของสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์”
“ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีบุคคลสำคัญจากกลุ่มยักษ์ใหญ่อมตะคนหนึ่ง ยามรับตำแหน่งผู้อาวุโสยอดเขาที่หกของลัทธิแรกกำเนิด เคยทำลายกฎโดยไม่สนใจอะไรเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำยอดเขา แต่เจ้าเดาได้ไหมว่าผลลัพธ์ของเขาเป็นอย่างไร”
ไม่รอให้หลินสวินตอบ จวินหวนก็กล่าวง่ายๆ “ถูกฆ่า มีผู้คุมกฎของหอแรกนภาออกหน้า สังหารต่อหน้าธารกำนัล จิตสิ้นวิญญาณสลาย”
“หลังจากเกิดเรื่องนี้ ขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะเบื้องหลังคนผู้นั้นส่งคนไปหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในคืนเดียวกัน ไม่ได้มากล่าวโทษ แต่มาเพื่อขอโทษ หวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วอดไหวหวั่นไม่ได้
สังหารผู้อาวุโสคนหนึ่ง ทั้งทำให้ยักษ์ใหญ่อมตะเบื้องหลังผู้อาวุโสคนนี้มาขอโทษด้วยตัวเอง รากฐานของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดนี้น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการได้ดังคาด!
“ศิษย์น้องเล็ก สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจอย่างแท้จริง คือทำอย่างไรให้ไม่ถูกคนกำจัดออกจากการคัดเลือก”
จวินหวนนั่งตัวตรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน “ปัจจุบันทุกคนในน่านฟ้าที่เจ็ดล้วนรู้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ขอเพียงไม่โง่ก็ย่อมคาดเดาได้ว่า เมื่อการคัดเลือกเริ่มต้นเจ้าจะกลายเป็นเป้าโจมตี”
หลินสวินพยักหน้ากล่าว “หากคัดเลือกตามกฎ ข้าไม่หวาดกลัวทุกเคราะห์สังหาร”
จวินหวนกล่าว “ห่วงว่าพวกเขาจะไม่ทำตามกฎนี่สิ”
หลินสวินหรี่ตา “เมื่อครู่ศิษย์พี่บอกว่าแม้แต่สิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ไม่กล้าละเมิดกฎของลัทธิแรกกำเนิดไม่ใช่หรือ”
จวินหวนกล่าว “คนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดไม่กล้าละเมิดกฎเพราะเจ้า แต่ใช่ว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะอื่นจะไม่กล้า ก่อนการคัดเลือกปิดฉาก คนที่เข้าร่วมการคัดเลือกเหมือนเจ้ายังไม่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด หากพวกเขาใช้วิธีชั่วช้าบางอย่างในการคัดเลือก เช่นนั้นก็รับมือยากแล้ว”
นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสงสัยนักว่าพวกเขาคงหมายสังหารเจ้าโดยไม่สนใจว่าต้องแลกกับอะไรเป็นแน่”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเขามีความสามารถในการสังหารข้าหรือไม่”
จวินหวนพลันยิ้มแล้ว ยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากหลินสวินพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นเจ้าหนูอย่างเจ้าคงหวังว่าจะได้สังหารไปทั่วแน่ ใช่หรือไม่”
หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “พวกเขาเห็นข้าเป็นศัตรู ทั้งตามล่าข้ามาหลายปี ตอนนี้ยังจะขวางข้าไม่ให้เข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ข้าไม่ใช่รูปปั้นพระโพธิสัตว์ มีหรือจะไม่เดือดดาล หากพวกเขากล้าลงมือในการคัดเลือกจริง ข้าก็ไม่ถือสาที่จะส่งพวกเขาไปลงนรกทั้งหมด”
เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย นัยน์ตาเขาฉายแววเยียบเย็นวูบหนึ่ง
“จริงสิ หากข้าเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แล้วศิษย์พี่จะไปไหน” หลินสวินถาม
จวินหวนกะพริบตาคู่งามอย่างเบิกบาน “ศิษย์น้องเล็ก ทำไมเจ้าถึงสนใจข้าเช่นนี้ เสียดายที่ศิษย์พี่จะจากเจ้าไปใช่ไหม”
หลินสวินมุมปากกระตุกเล็กน้อย กล่าวว่า “ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไรเล่า”
จวินหวนพูดเหมือนควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว “ต้องรู้สึกเสียดายข้าแน่ เรื่องนี้ต้องเดาด้วยหรือ”
หลินสวินยิ้มขื่น เขายังพูดอะไรได้อีก
ในช่วงเวลาต่อมายานสมบัติพาจวินหวนกับหลินสวินข้ามผ่านเขตแดนใจกลาง ไม่ได้เร่งเดินทาง ยามผ่านสถานที่เลื่องชื่อบางแห่ง พวกเขายังไปเยี่ยมชมเป็นครั้งคราวเหมือนท่องเที่ยว
น่านฟ้าที่เจ็ดแตกต่างจากน่านฟ้าอื่น อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เกรงว่าคนธรรมดาทั่วไปใช้เวลาทั้งชีวิตก็ก้าวออกจากน่านฟ้านี้ไม่ได้
ยามเดินทางอยู่ในน่านฟ้านี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณก็รู้สึกทอดถอนใจเหมือนเป็นข้าวเม็ดหนึ่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่
เวลาล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า
ระหว่างเดินทางหลินสวินกับจวินหวนเหมือนคู่ชีวิต ท่องอยู่กลางภูเขาแม่น้ำ สัญจรผ่านสถานที่รุ่งเรือง ห้อตะบึงเหนือชั้นเมฆ พักผ่อนภายใต้สุริยันจันทราดารา
หนึ่งปีผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
วันนี้จวินหวนสวมชุดสีชมพู ท่วงท่าสง่างาม ยืนโดดเด่นบนยาน ทอดมองไปเบื้องหน้าพลางกล่าว
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่เกินครึ่งเดือนจะถึงริม ‘ทะเลหมื่นดารา’ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้าไหม”
นางหันกลับมา แย้มยิ้มพิมพ์ใจ
ตั้งแต่อดีตทะเลหมื่นดาราคือเขตผนึกแห่งหนึ่ง หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดครองอาณาเขตอยู่ในนั้น
ยามปกติไม่มีใครเข้าใกล้ทะเลลึกลับแปลกประหลาดแห่งนั้นได้
งานรับผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้ก็จัดขึ้นบนทะเลหมื่นดารา ถึงตอนนั้นทะเลหมื่นดาราจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าออกได้ตามใจ
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “ข้าอยากพูดอะไรหรือ”
จวินหวนเอ่ยแก้อย่างจริงจัง “เจ้าอยากพูดอะไรกับข้า ไม่ใช่เจ้าอยากพูดอะไร”
แววตาหลินสวินดูพิกล ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ต้องพูดด้วยหรือ”
จวินหวนแค่นเสียงกล่าว “ไม่อยากพูดรึ”
หลินสวินเก็บงำความรู้สึกทันที ครุ่นคิดจริงจังครู่ใหญ่ก่อนกล่าว “ศิษย์พี่ รอข้าเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแล้ว ย่อมช่วยท่านดูว่ามีชายชาตรีที่คู่ควรกับท่านหรือไม่”
“เจ้าท่อนไม้บื้อ!”
จวินหวนจิ้มนิ้วใส่หน้าผากหลินสวิน ทั้งฉิวทั้งขัน
………………..