Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2699 ผู้เฝ้าด่าน
สิ่งที่มู่จุนอู๋ไม่เข้าใจคือ หลินสวินนี่เอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าใช้วิธีท้าทายเช่นนี้
เขาไม่กลัวว่าคนเช่นตนหรือตงหวงเซ่าเหวินจะลงมือทำให้เขาถูกคัดออกหรือ
หรือจะบอกว่าเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถต้านสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้
คิดถึงตรงนี้นัยน์ตามู่จุนอู๋พลันหรี่ลง
เขานิ่งเงียบครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กดข่มไอสังหารในใจเอาไว้แล้วหมุนตัวจากไป
ไกลออกไปในงานประมูล หัวคิ้วหลินสวินขมวดมุ่นอย่างยากสังเกต อยากฆ่าคนพวกตัวใหญ่ๆ สองสามคนยากเย็นเช่นนี้เชียวหรือ
เป็นอย่างที่ตงหวงเซ่าเหวินและมู่จุนอู๋คาดเดา ที่หลินสวินจัดงานประมูลใหญ่โตเอิกเกริกในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อล่อให้ศัตรูมุ่งหน้ามา
เนื่องจากเวลาในการทดสอบรอบแรกเหลือไม่มากแล้ว ทว่าจนบัดนี้หลินสวินก็ยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่ถูกเขามองว่าเป็น ‘พวกตัวใหญ่ๆ’ เหล่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินทำได้เพียงหาวิธีอื่น
ดังนั้นจึงจัดงานประมูลครั้งนี้ขึ้น
ก่อนหน้านี้ยามเงาร่างของตงหวงเซ่าเหวินและมู่จุนอู๋ปรากฏขึ้น ในใจหลินสวินก็ไหวหวั่นน้อยๆ เตรียมพร้อมรออีกฝ่ายเข้ามาสู้แล้ว
แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ อีกฝ่ายกลับทยอยจากไป
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะตัดสินแพ้ชนะกับเขาในเวลานี้
หลินสวินรู้สึกรางๆ ว่านี่ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหวาดกลัว หากแต่เป็นการกระทำหลังจากวิเคราะห์ผลดีผลเสียอย่างใจเย็นแล้ว
ทว่าหลินสวินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้นัก
ว่ากันถึงที่สุด สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเพียงการทดสอบรอบแรกเท่านั้น
ต่อให้ท้ายที่สุดศัตรูเหล่านั้นจะเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดอย่างราบรื่นก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียถึงตอนนั้นทุกคนล้วนอยู่ในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ยังมีเวลาวัดฝีมืออีกมาก
โลกภายนอก
ผู้คนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของตงหวงเซ่าเหวินและมู่จุนอู๋ได้อย่างฉับไว เมื่อเห็นพวกเขาทยอยจากไป ไม่ได้ลงมือจัดการหลินสวิน คนไม่น้อยล้วนเผยแววผิดหวังออกมา
หรือพวกเขาก็เกรงกลัวหลินสวิน ไม่กล้าสู้กับอีกฝ่ายเหมือนกัน
หากเป็นเช่นนี้ ในการทดสอบครั้งนี้ใครยังจะกล้ากดหัวหลินสวินอีก
และมีคนรุ่นอาวุโสบางส่วนมองนัยแฝงในนั้นออก อดพยักหน้าเงียบๆ ไม่ได้ นี่สิจึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาดที่พวกตงหวงเซ่าเหวินควรทำ
โดยเฉพาะตงหวงชิง เมื่อเห็นตงหวงเซ่าเหวินจากไปก็อดลูบเครายิ้มๆ ไม่ได้ “เซ่าเหวิน เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เซียวเหวินหยวนกล่าวอมยิ้ม “เป็นคนหลักแหลมจริงๆ”
มุมปากหลีเจินกระตุกคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เลือกนิ่งเงียบต่อไป
เพียงแต่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้กลับทำให้ในใจตงหวงชิงไม่ค่อยชอบใจนัก หลีเจินเจ้าหมายความว่าอย่างไร มีอะไรจะพูดก็พูด ยังต้องยึกๆ ยักๆ อีก
แน่นอนว่าตงหวงชิงก็รู้ดี ว่าหากหลีเจินปริปากย่อมไม่มีทางพูดจาดีๆ อะไร
ในงานประมูล
ยามที่เหลือเชลยเพียงสามคน หลินสวินก็ปิดการประมูล
นี่ทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแถวนั้นที่ยังรอเสนอราคารู้สึกยังไม่จุใจ แต่ไม่นานก็ทยอยแยกย้ายจากไป
หลินสวินยืนนิ่งอยู่บนลานมรรค กวาดสายตามองรอบๆ หลังจากเห็นว่ายังไม่มีศัตรูคนใดปรากฏตัว ในใจก็อดถอนใจเบาๆ คราหนึ่งไม่ได้
เขารู้ว่าหากอยู่ในสมรภูมิหมื่นยอดแห่งนี้ต่ออีก เกรงว่าคงไม่มีโอกาสสักเท่าไรแล้ว
หลินสวินลงมือพิชิตเชลยทั้งสามโดยไม่ลังเลอีก และผ่านด่านอย่างราบรื่น ทั้งตัวอันตรธานหายไปจากสมรภูมิหมื่นยอด
“ในที่สุดเจ้าหมอนี่ก็ไปเสียที!”
โลกภายนอกปั่นป่วน มองดูหลินสวินที่หายไปจากด่านทดสอบรอบแรกประหนึ่งมองส่งเทพแห่งโรคระบาดจากไป
ขุมอำนาจอมตะเหล่านั้นแต่ละคนราวยกภูเขาออกจากอก ยิ้มดีใจชื่นมื่น
ฟางเต้าผิง เซียวเหวินหยวน หลีเจิน ตงหวงชิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็โล่งอกไม่มากก็น้อยเช่นเดียวกัน
ช่วยไม่ได้ หลินสวินก่อเรื่องเก่งเกินไปจริงๆ ตั้งแต่เข้าร่วมการทดสอบรอบแรกนี้ ก็ไม่เล่นตามกฎกติกา ก่อเรื่องที่เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อขึ้นไม่รู้เท่าไร
อย่างเช่นปล้นคู่ต่อสู้ กำราบศัตรู
หรืออย่างเอาเชลยมาซื้อขาย ถึงขั้นดำเนินการประมูล
เสมือนว่าในการทดสอบรอบแรกนี้ไม่มีอะไรที่เขาไม่กล้าทำ!
นี่ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ ว่าหากหลินสวินเลือกอยู่ต่อในการทดสอบรอบแรก ต่อจากนี้ยังไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก
“ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของข้าผ่านด่านแล้ว ก่อนหน้านี้ใครบอกว่าเขาต้องถูกคัดออกแน่นอนกันนะ”
จวินหวนเอ่ยขึ้น
สายตาไม่น้อยล้วนมองไปทางสัตว์ประหลาดเฒ่าจากยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้น
“ก็แค่การทดสอบรอบแรกเท่านั้น อย่าเพิ่งได้ใจเร็วเกินไป”
ตงหวงฉยงแค่นเสียงเย็น
จวินหวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนั้นข้าจะรอหลังจากการทดสอบรอบที่สามสิ้นสุดแล้วค่อยถามพวกเจ้าอีกที”
วังกระบี่หมื่นยอด
ในโถงชั้นบนสุด หลังจากหลินสวินผ่านการทดสอบรอบแรกและออกจากสมรภูมิหมื่นยอดก็ปรากฏตัวอยู่ในโถงใหญ่
ฟุ่บ!
เมื่อเงาร่างของเขาปรากฏ สายตาของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิทั้งกลุ่มที่ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้ในโถงใหญ่ล้วนมองมายังหลินสวินเป็นจุดเดียว
สีหน้าของทุกคนล้วนเร้นลับยิ่ง
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ความสามารถในการทดสอบรอบแรกของหลินสวินถูกพวกเขารู้นานแล้ว เวลานี้ยามเห็นเขาปรากฏตัว ในใจย่อมผุดความรู้สึกหลากหลาย
แต่ยังดีที่เวลานี้ไม่มีใครเข้าไปท้าทาย
“พี่หลิน” เซี่ยงเสี่ยวหยวนโบกมือ ข้างๆ นางพวกหลิ่วเซียงเหินก็อยู่เช่นกัน เมื่อเห็นหลินสวินทุกคนล้วนเผยรอยยิ้ม
หลินสวินพยักหน้ายิ้มๆ ขณะที่เตรียมจะไปนั่งรวมกับพวกเซี่ยงเสี่ยวหยวน สายตากลับเหลือบเห็นเงาร่างอรชรที่นั่งโดดเดี่ยวตัวคนเดียวในมุมโถงโดยบังเอิญ ทำเอาอดลอบถอนใจเบาๆ ไม่ได้
เขาเดินตรงเข้าไปหา
“แม่นางโยวหรัน” หลินสวินเอ่ยเสียงเบา
เงาร่างอรชรนั่นเป็นตู๋กูโยวหรันนั่นเอง นางนั่งขัดสมาธิเพียงลำพัง บนใบหน้าขาวเนียนงามวิจิตรซึมทื่อและเคว้งคว้าง
เห็นได้ชัดว่าเรื่องของอวิ๋นมู่เจอสร้างแรงโจมตีให้นางอย่างมาก
นางเงยดวงตาใสกระจ่างขึ้นแล้วกล่าวว่า “พี่หลิน เจ้าถึงกับเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง เมื่อก่อนยามอยู่แดนใหญ่พันศึก เจ้าเกรงแต่จะคอยหลบหน้าข้าแทบไม่ทัน”
แววตาหลินสวินหวนระลึกถึงเรื่องเก่าไปชั่วขณะ
ปีนั้นตอนอยู่แดนใหญ่พันศึก เพราะการปรากฏตัวของตู๋กูโยวหรันมักดึงดูดคนที่คอยเทียวไล้เทียวขื่อนางให้เข้ามารุมตอมมากมาย ก่อให้เกิดปัญหาไม่น้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้หลินสวินในตอนนั้นปวดหัวไม่หยุด
แต่ตอนนี้เวลาผันผ่าน เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในครานั้น หลินสวินก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่อาจโทษตู๋กูโยวหรัน ถึงอย่างไรฐานะของนางก็โดดเด่นสุดขีด อีกทั้งรูปโฉมยังเฉิดฉาย ไม่อยากดึงดูดบุรุษหนุ่มรูปงามมาตามเกี้ยวพวกนั้นคงยาก
“เจ้าคงไม่ใช่ยังโกรธข้าเพราะเรื่องญาติผู้พี่ของเจ้ากระมัง” หลินสวินเอ่ยถาม
ตู๋กูโยวหรันส่ายหน้า “ในการทดสอบมีหรือจะไม่เกิดการต่อสู้ ข้าเพียงนึกไม่ถึงว่าญาติผู้พี่ที่เชื่อใจมากที่สุดจะเป็นคนเช่นนี้”
อวิ๋นมู่เจอถูกหลินสวินกำราบจนเป็นสภาพนั้น ทำให้ในใจนางยากจะรับเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนเล่นสนิทกันตั้งแต่วัยเด็ก
หลังจากล่วงรู้ถึงไอสังหารที่อวิ๋นมู่เจอมีต่อหลินสวินยามอยู่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้า ภายในใจตู๋กูโยวหรันยิ่งเจ็บปวดหนักกว่าเดิม
นางชื่นชมหลินสวินมาก ในช่วงหลายปีมานี้ก็คอยให้ความสนใจสิ่งที่หลินสวินทำมาโดยตลอด ในใจยังคิดว่ายามได้เจอกับหลินสวินในอาณาเขตของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้จะเป็นสถานการณ์เช่นไร
แต่นางคาดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่ายามพบเจอกัน กลับทำให้นางต้องเป็นฝ่ายไปขอร้องหลินสวินเพราะเรื่องที่อวิ๋นมู่เจอถูกกำราบ
สำหรับนางที่มีนิสัยรักอิสระและเสรี ความรู้สึกนี้ช่างยอมรับได้ยากจริงๆ
แต่ที่คิดไม่ถึงเด็ดขาดก็คือ เรื่องที่อวิ๋นมู่เจอถูกกำราบ ที่แท้กลับเป็นเพราะมีเหตุผล สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลยิ่งกว่าคืออวิ๋นมู่เจอไม่เพียงไม่ซึ้งน้ำใจ ตรงข้ามกลับด่าทอนางว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง
นางในตอนนั้นตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำอย่างไรก็ผิด ภายในใจยิ่งห่อเหี่ยว ผิดหวังถึงขีดสุด
แม้แต่ตอนนี้ยังไม่อาจสงบใจได้อย่างสิ้นเชิง
นิ่งเงียบครู่หนึ่งหลินสวินก็กล่าวว่า “อวิ๋นมู่เจอเป็นคนอย่างไรข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่าเขาแซ่อวิ๋น มาจากตระกูลอวิ๋นหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวง ต่อให้ครั้งนี้เขาโชคช่วยเอาชีวิตรอดไปได้ แต่ชั่วชีวิตนี้ข้ากับเขาก็ถูกลิขิตให้เป็นศัตรูคู่แค้น”
ตู๋กูโยวหรันถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้ารู้ เจ้าเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ต่อให้เจ้ายอมถอย ญาติผู้พี่คนนั้นของข้าก็ไม่มีทางปรานี พี่หลิน หากเจ้าเห็นข้าเป็นสหายก็อย่ามาปลอบโยนข้าอีกเลย ข้าไม่ได้เปราะบางเหมือนที่เจ้าคิดหรอก เพียงแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวเท่านั้น”
หลินสวินเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้ากล่าว “ได้ หลังจากนี้ยังมีการทดสอบอีกสองรอบ เจ้าต้องปรับสภาพจิตใจให้ดีโดยเร็ว อย่าให้มีผลกระทบ”
ตู๋กูโยวหรันร้องอืมคราหนึ่ง
หลินสวินไม่ได้พูดมากความอีก หมุนตัวเดินออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆ กับเซี่ยงเสี่ยวหยวน ในใจรู้สึกหดหู่รางๆ อย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าเป็นเพราะเรื่องของอวิ๋นมู่เจอ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตู๋กูโยวหรันเกิดความรู้สึกห่างเหินขึ้นมากะทันหัน
…
การทดสอบรอบแรกเหลือเพียงไม่กี่วัน
และเมื่อหลินสวินไปจากสมรภูมิหมื่นยอด จำนวนมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ผ่านด่านอย่างราบรื่นก็มีทั้งสิ้นสิบเก้าคน
อิงจากการคาดคะเนของทุกคน มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่สามารถเข้าสู่การทดสอบรอบที่สองได้ในท้ายที่สุด เกรงว่าคงมีไม่ถึงสามสิบคนด้วยซ้ำ
เพราะในสมรภูมิหมื่นยอดตอนนี้เหลือไม่ถึงสามสิบคนแล้ว
ดังคาด ยามเมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุด ในบรรดามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหนึ่งร้อยกว่าคน สุดท้ายมีเพียงยี่สิบเจ็ดคนที่เข้าสู่การทดสอบรอบที่สองได้อย่างราบรื่น!
หรือกล่าวได้ว่า เพียงแค่การทดสอบรอบแรกก็มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิถูกคัดออกไปเกินกว่าครึ่ง
สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ เมื่อการทดสอบรอบแรกสิ้นสุด ถึงแม้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจำนวนหนึ่งจะไม่เคยถูกคัดออก แต่เพราะเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ถึงสามคน สุดท้ายก็ไม่สามารถเข้าสู่การทดสอบรอบที่สองเช่นเดียวกัน
วันถัดมาหลังจากการทดสอบรอบแรกสิ้นสุดลง การทดสอบรอบที่สองก็เปิดฉากขึ้น
การทดสอบครั้งนี้จะดำเนินการอยู่ในลานมรรคมหึมาที่อยู่เบื้องหน้าวังกระบี่หมื่นยอด
“หลีเจิน การทดสอบด่านที่สองให้เจ้าดูแล”
ฟางเต้าผิงกล่าวกำชับ
หลีเจินที่เงาร่างสูงใหญ่กำยำ ผมเคราดุจง้าว ผิวหนังทั่วร่างเรื่อประกายแสงสำริดพยักหน้าน้อยๆ ตรงดิ่งไปยังใจกลางลานมรรคมหึมาแห่งนั้น
เมื่อเขาปรากฏตัว เสียงพูดคุยจอแจแถวนั้นพลันเงียบกริบ ไร้สรรพเสียง
“ผู้สืบทอดแกนหลักที่เก้ายอดเขาใหญ่แต่ละแห่งส่งมาอยู่ที่ใด” หลีเจินเอ่ยพูดเสียงขรึม
สวบๆๆ!
เพิ่งสิ้นเสียง รุ้งเทพพร่างพราวบาดตาเป็นสายๆ ก็ลงมาเยือนจากฟากฟ้า ยามที่ร่วงลงบนลานมรรคพลันแปลงเป็นชายหญิงเก้าคน แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายน่าตกใจ มาดสง่าสะท้านยุค
ในที่นั้นเกิดความปั่นป่วนโกลาหลระลอกหนึ่ง
เก้าคนนี้ก็คือผู้สืบทอดแกนหลักที่ยอดเขาที่หนึ่งถึงยอดเขาที่เก้าของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดส่งตัวมา!
แม้ว่าปราณแต่ละคนจะอยู่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเก้าคนนี้เหนือชั้นเกินกว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วๆ ไปจะเทียบชั้นได้!
เมื่อเทียบกับพวกเขา มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ทั้งหมด ส่วนใหญ่ล้วนด้อยกว่าอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
ความแตกต่างเช่นนี้ละเอียดอ่อนยิ่งยวด ราวกับว่าเก้าคนนี้ไร้ศัตรูในระดับนี้นานแล้ว สามารถฝ่าทะลวงระดับก้าวสู่ระดับอมตะได้ทุกเมื่อ
และมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการทดสอบเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนขาดบารมีไร้ศัตรูที่ตกตะกอนมานานเช่นนี้
มีเพียงคนอย่างหลินสวิน ตงหวงเซ่าเหวิน ฉีชิงซือ และมู่จุนอู๋เท่านั้นจึงจะมีบารมีพอจะเทียบเคียงได้
แน่นอนว่าคนทั่วไปยากจะแยกแยะความแตกต่างเช่นนี้
ถึงอย่างไรในฐานะระดับมกุฎบรรพจารย์เหมือนกัน หากคิดอยากแยกความแตกต่างระหว่างกลิ่นอายกับบารมีก็ค่อนข้างยากจริงๆ
และตอนนี้ ผู้สืบทอดแกนหลักจากเก้ายอดเขาใหญ่ทั้งเก้าคนนี้ก็จะกลายเป็น ‘ผู้เฝ้าด่าน’ ในการทดสอบรอบที่สอง!
——