Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2739 แจ้งมรรคยอดเขาที่เก้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2739 แจ้งมรรคยอดเขาที่เก้า
สนามรบพิพาทสวรรค์
ที่นี่เป็นสถานที่คลายข้อพิพาทระหว่างศิษย์ในสำนัก
เมื่อศิษย์ขัดแย้งกัน และไม่อาจลงมือได้เพราะมีกฎสำนัก ก็จะเลือกสะสางในสนามรบพิพาทสวรรค์
ครั้นได้ยินว่าหลินสวินเลือกนัดสู้เช่นนี้ด้วยความโกรธ พวกฉีหลิงเจิ้นต่างอึ้งไป จากนั้นพลันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
สภาวะจิตเจ้าหมอนี่คงได้รับการโจมตีอย่างหนังถึงทำเรื่องน่าขันเช่นนี้ได้
เขานึกว่าพรุ่งนี้จะแจ้งมรรคได้สำเร็จจริงหรือ
ละเมอเพ้อพก!
ใกล้ๆ ภูเขา พวกฉินอู๋อวี้ยิ่งกังวลใจ เห็นชัดว่าหลินสวินถูกยั่วโมโหจนเสียอาการแล้ว
เพียงแต่สีหน้าเขาตอนนี้กลับมาสงบนิ่ง ดูไม่เหมือนว่าเสียการควบคุม
“ไม่กล้าหรือ”
หลินสวินไม่สนใจปฏิกิริยาของทุกคน มองพวกฉีหลิงเจิ้นตรงๆ
“ทำไมจะไม่กล้า”
ฉีหลิงเจิ้นหุบยิ้ม แววตาเจือความดูถูกและเวทนา เอ่ยว่า “แต่ศิษย์น้องไม่คิดว่าตอนนี้ออกจะเร็วไปหรือ ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ศิษย์น้องก็จะแจ้งมรรคอมตะ แต่ใครจะกล้ามั่นใจว่าเจ้าจะทำสำเร็จ”
“ต่อให้พวกเราตกลงตอนนี้ แต่ถ้าเกิดศิษย์น้อง… ไม่ระวังจนแจ้งมรรคล้มเหลว เช่นนั้นจะยังพูดถึงการนัดสู้อะไรได้”
จงหลีหรันยิ้มระรื่นเอ่ย
“พูดเช่นนี้ก็แปลว่าพวกเจ้าตกลงแล้ว เช่นนั้นก็ดี หลังข้าทะลวงกระดับพรุ่งนี้ก็เจอกันที่สนามรบพิพาทสวรรค์ ถึงตอนนั้นไม่ตายไม่เลิก!”
หลินสวินสีหน้ายิ่งสงบนิ่ง เสียงยังไม่เจือความรู้สึกใดๆ
นี่ทำให้พวกฉีหลิงเจิ้นหัวเราะขึ้นอีกอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งหลินสวินเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาแน่ใจ ว่าเรื่องก่อนหน้านี้จู่โจมสภาวะจิตของหลินสวินได้แล้ว!
ฉีหลิงเจิ้นเอ่ย “ศิษย์น้องก็รู้ การประลองของสนามรบพิพาทสวรรค์แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกแค่ตัดสินแพ้ชนะ อีกประเภทคือไม่ตายไม่เลิก แต่การประลองชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากรองหัวหน้าหอแรกนภาทั้งสามอย่างเป็นเอกฉันท์ถึงจะทำได้”
เขาหยุดไปแล้วยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอน ศิษย์น้องวางใจได้ รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีกับรองหัวหน้าหอฉีเซียวอวิ๋นย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเจ้า ส่วนรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิง…”
“เรื่องแบบนี้คิดว่ารองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงก็คงไม่ปฏิเสธ”
หลินสวินตัดบท
“หลินสวิน เจ้ามุทะลุไปแล้ว!”
ห่างไปไม่ไกลฉินอู๋อวี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยเตือนว่า “เรื่องสำคัญอยู่ตรงหน้า เจ้าต้องสงบจิตใจเตรียมตัวแจ้งมรรคพรุ่งนี้ อย่าถูกกระทบเพราะคนพวกนี้เป็นอันขาด!”
ฉินอู๋อวี้พูดเช่นนี้กลับทำให้พวกฉีหลิงเจิ้นหัวเราะอย่างเบิกบานกว่าเดิม ดูสิ ขนาดผู้นำยอดเขาที่เก้ายังดูออกว่าสภาวะจิตของหลินสวินมีเค้าล้างเสียการควบคุมแล้ว!
ไม่นานนักพวกฉีหลิงเจิ้นก็ทยอยจากไป แต่ละคนยินดีปรีดาเหมือนได้รับชัยชนะ
“หลินสวิน ทำไมเจ้าเลอะเลือนเช่นนี้! รู้อยู่ว่าพวกเขามาคราวนี้ก็เพื่อก่อกวนสภาวะจิตเจ้า เหตุใดถึงไปติดกับพวกเขาอีก”
ฉินอู๋อวี้เดือดดาล
“ผู้นำยอดเขา สภาวะจิตข้าไม่มีปัญหาอะไร ยินดี โกรธ เกลียดชัง รังเกียจ เคียดแค้น หลงใหล บ้าคลั่ง… ไม่อาจกระทบได้นานแล้ว ข้ายินดีแล้วอย่างไร ข้าเคียดแค้นแล้วจะเป็นไร ต่างเป็นสิ่งที่เกิดจากสภาวะจิตข้า ไม่ต้องกดข่มควบคุมก็ได้”
หลินสวินเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ก็เหมือนที่ผู้บำเพ็ญธรรมว่าไว้ เพียงใจตั้งในธรรม จะเนื้อหนังฤาสุราล้วนไม่สำคัญ ถ้าคล้อยตามก็เหมือนเข้าสู่ทางมาร มองทะลุอุปสรรคนี้ได้ย่อมได้ดั่งใจปอง ไร้หวั่นไร้กลัว ไร้ซึ่งพะวง”
ฉินอู๋อวี้อึ้งไป เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรจริงหรือ”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ผู้นำยอดเขา เป็นท่านยึดติดกับเปลือกนอกแล้ว”
ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีไอสังหารสักนิด เป็นธรรมชาติ เยือกเย็นผ่อนคลาย
ฉินอู๋อวี้เงียบไปแล้วถอนใจยาวเอ่ยว่า
“ขอแค่สภาวะจิตไม่มีปัญหาก็ดี แต่ทำไมเจ้ายังไปนัดสู้กับพวกเขาอีก เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ในระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้ามาหลายปีแล้ว ระเบียบอมตะทั้งตัวหลอมรวมจนบริสุทธิ์สมบูรณ์มานานแล้ว ต่อให้พรุ่งนี้เจ้าบรรลุระดับได้อย่างราบรื่น แต่ถึงอย่างไรก็เพิ่งก้าวเข้าธรณีประตูของระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ห่างชั้นกับพวกเขาไม่น้อยอยู่ดี บุ่มบ่ามนัดสู้กับพวกเขาเช่นนี้จะไม่ทำให้พวกเขามีโอกาสกำจัดเจ้าหรือ”
หลินสวินเอ่ย “ผู้นำยอดเขา ถ้าตอนนี้ข้าไม่นัดสู้ หลังจากพรุ่งนี้เกรงว่าพวกเขาจะไม่กล้าตกลงแล้ว พวกเขาอยากฆ่าข้า ข้าก็จะให้โอกาส แต่ท้ายที่สุดก็ต้องดูว่าใครจะกำจัดใครได้กันแน่”
ฉินอู๋อวี้จ้องหลินสวินครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ข้ายึดติดกับเปลือกนอกจริงหรือ”
หลินสวินยิ้ม “เพราะผู้นำยอดเขาใส่ใจจึงว้าวุ่น”
ฉินอู๋อวี้ตบไหล่หลินสวินแล้วหมุนตัวจากไป “เช่นนั้นข้าก็จะรอให้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจ!”
กลางดึก
หลินสวินนั่งอยู่ในถ้ำสวรรค์ตามลำพัง สีหน้าระคนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
ศัตรูพวกนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ตนแจ้งมรรคอมตะ
ในลัทธิแรกกำเนิด ยอดเขาที่เก้าพลอยติดร่างแหไปด้วย พวกเซี่ยงเสี่ยวหยวน เย่ฉุนจวิน เฟิงซีซี หลิวอวิ๋นเฟิงต่างถูกทำโทษอย่างต่อเนื่อง
ที่โลกภายนอก พวกศิษย์พี่รั่วซู่ถูกโจมตีในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ แม้สุดท้ายจะรอดพ้นอันตราย แต่ก็ดูออกว่าวิธีการของศัตรูเหล่านั้นต่ำช้าโหดร้ายปานไหน
ตระกูลลั่วก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ออกจากเขาเทพหลังมังกร ผลลัพธ์ย่อมไม่อาจคาดคิดได้
หากเพียงเท่านี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่หลินสวินรับได้
แต่คำพูดของพวกฉีหลิงเจิ้นในคืนนี้แตะเส้นความอดทนของหลินสวินแล้ว!
ทางเดินโบราณฟ้าดารา ในโลกชั้นล่างมีตระกูลหลิน มีสำนักยุทธ์ก่อเกิดที่เขาก่อตั้งขึ้นเองกับมือ และยังมีจ้าวจิ่งเซวียนกับหลินฝานลูกของเขา!
นี่เป็นเส้นความอดทนที่อ่อนไหวที่สุดในใจเขา
แต่ตอนนี้ศัตรูพวกนั้นกลับเอาสิ่งเหล่านี้มาข่มขู่ นี่ทำให้หลินสวินโมโหโดยสมบูรณ์
‘ถ้าญาติมิตรเหล่านั้นของข้าประสบเคราะห์ ข้าจะเอาชีวิตของพวกเจ้าทั้งตระกูลมาสังเวย!’
หลินสวินรำพึงในใจ
นี่เป็นแผนชั่วเพื่อขัดขวางไม่ให้เขาแจ้งมรรคอมตะ เขารู้และมองขาดด้วย แต่ความแค้นกับความโมโหในใจกลับไม่ได้สงบลงได้ง่ายดายปานนั้น
อันที่จริงหลินสวินไม่คิดจะเก็บกลั้นความแค้นและความโมโหเหล่านี้สักนิด ปล่อยให้ความแค้นและไอสังหารที่ปะทุเหมือนหินหนืดนี้ถาโถมไปทั้งกาย
และเขาก็กำลังตั้งใจสัมผัสถึงความรู้สึกแค้นถึงที่สุด โมโหอย่างยิ่งยวดเช่นนี้
พลังแบบนั้นทำให้สภาวะจิตใครก็ปั่นป่วนได้ แต่หลินสวินกลับสีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว ความคิดจิตใจเขาไม่ได้รับผลกระทบสักนิด
……
กลางดึกคืนเดียวกัน
พวกคนใหญ่คนโตอย่างฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ชือเวินต่างได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้ายอดเขาที่เก้า
หลังจากพวกฉีหลิงเจิ้นกลับมาก็ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงสักนิด เอาม้วนหยกออกมาม้วนหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ฉายออกมา เผลท่าทางของหลินสวินในตอนนั้นออกมาอย่างชัดเจน
พอดูจบเหล่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลีต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พวกเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าสภาวะจิตของหลินสวินยุ่งเหยิงแล้ว
“ถ้าหลังจากเขาแจ้งมรรคล้มเหลวในวันพรุ่งนี้ ได้รู้ว่าแม้แต่พวกเรายังไม่รู้ว่าญาติมิตรที่บ้านเกิดเขาพวกนั้นเป็นอย่างไร จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกัน”
มีคนใหญ่คนโตแค่นหัวเราะเอ่ย
เรื่องที่ยังไม่ได้รับการยืนยันเรื่องหนึ่งกลับกระทบสภาวะจิตของหลินสวิน เรื่องนี้ก็น่าสนใจนัก
“พรุ่งนี้พวกเราไปยอดเขาที่เก้าด้วยกัน ไปเป็นพยานความล้มเหลวของเจ้าหมอนี่!”
ฝูเหวินหลีเอ่ยเรื่อยเฉื่อย
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฟ้าเพิ่งสางหน้ายอดเขาที่เก้าก็มีเงาร่างมารวมตัวอยู่มากมายแล้ว ต่างรีบมาจากที่ต่างๆ ของแดนแรกเริ่มก่อนฟ้าสาง
มีผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ ผู้สืบทอดสามหอ
และยังมีเหล่าคนใหญ่คนโตที่มีตำแหน่งสำคัญด้วย
ยอดเขาที่เก้าในวันนี้แทบจะดึงดูดทุกคนในลัทธิแรกกำเนิดมา ภาพอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นทำให้ผู้สืบทอดจำนวนหนึ่งตกตะลึงไม่หยุด
“รองหัวหน้าสามหอทั้งเก้าท่านมากันครบแล้ว!”
“ผู้นำเก้ายอดเขาใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลในสามหอก็มาหมดแล้ว”
“สถานการณ์เช่นนี้เมื่อก่อนยังเกิดขึ้นน้อยนัก”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แต่ละคนต่างตระหนักได้ว่าการนแจ้งมรรคที่ยอดเขาที่เก้าในวันนี้ของหลินสวิต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“ได้หรือยัง เมื่อคืนหลินสวินถูกยั่วโมโหแล้ว ประกาศกร้าวว่าจะประลองกับศิษย์หอแรกนภาอย่างฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงที่สนามรบพิพาทสวรรค์หลังจากแจ้งมรรค มิหนำซ้ำยังต้องการตัดสินเป็นตายด้วย!”
“ดูจากตรงนี้เกรงว่าสภาวะจิตหลินสวินจะได้รับผลกระทบแล้ว…”
“หลินสวินคนนี้… ทำไมถึงเลอะเลือนเช่นนี้! ถ้าเขาล้มเหลวในการแจ้งมรรคคราวนี้ ชื่อเสียงบารมีทั้งหมดในอดีตจะมลายสิ้น ต่อให้ผ่านไปได้แต่จะไปเป็นคู่ต่อสู้ของพวกฉีหลิงเจิ้นได้อย่างไร”
เสวียนจิ่วอิ้นก็มาแล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ไม่เพียงอึ้งไป ยังกราดเกรี้ยวยกใหญ่เอ่ยว่า “ท่านเทียด เป็นเจ้าสวะไม่มีตาพวกไหนวางแผนทำร้ายสหายหลินสวินของข้าหรือ”
เขายืนอยู่ข้างๆ เสวียนเฟยหลิง คนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงมีแต่คนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิด ยามเอ่ยเช่นนี้ออกไป ทำให้พวกฟางเต้าผิง ตู๋กูยงยังเผยสีหน้าประหลาด
และไม่ไกลนักพวกรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ชือเวิน ทังชิวต่างนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนรุ่นหลังคนหนึ่ง
“สวะไม่มีตาพวกไหน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
เสวียนเฟยหลิงตบหัวเสวียนจิ่วอิ้นเบาๆ “คอยมองดูให้ดีก็พอ ยามแจ้งมรรค เจ้าคิดว่าใครยังกล้าลงมือกับสหายหลินสวินของเจ้าคนนั้นหรือ”
“นี่ก็จริง”
เสวียนจิ่วอิ้นพยักหน้า ขณะพูดสายตาเขาก็เปล่งประกาย โบกมือเอ่ยทันที “พี่หลิน มองทางนี้! พวกเราได้พบกันสักที!”
เสียงตื่นเต้น ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
เงาร่างสูงโปร่งนั้นของหลินสวินปรากฏขึ้นที่จุดสูงสุดของยอดเขาที่เก้าซึ่งอยู่ไกลออกไป พอได้ยินเสียงร้องเรียกก็มองมองไปตามจิตใต้สำนึก และเห็นเสวียนจิ่วอิ้นเช่นกัน
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าหนูอย่างเจ้าก็อยู่ที่ลัทธิแรกกำเนิดด้วยหรือ”
เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างดีใจว่า “ข้ามาเร็วกว่าเจ้าอีก แต่ช่วงนี้ถูกท่านเทียดข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเสวียนเฟยหลิงตบท้ายทอยอีกครา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าหนูพูดจาระวังหน่อย!”
เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มเจื่อนๆ โบกมือให้หลินสวินพูดว่า “สรุปแล้ววันนี้เจ้าตั้งใจทะลวงระดับให้ดี มีท่านเทียดข้าอยู่ ข้าล่ะอยากเห็นว่าสวะตัวไหนจะกล้ามากวนเจ้า!”
ประโยคเดียวทำให้คนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นรู้สึกอึดอัดใจ หมายจะตบเจ้าเด็กปากไม่มีหูรูดคนนี้ให้ตาย
หลินสวินพลันยิ้ม พยักหน้าให้
จากนั้นเขาก็อึ้งไปอีกครั้ง ในสายตาเห็นเงาร่างคุ้นเคยร่างหนึ่ง ชุดขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ เอวคาดเข็มขัดทอง ผมดำดุจน้ำตกปล่อยลู่ลงมาที่เอว บนใบหน้าพริ้งเพรางามพิสุทธิ์ดุจภาพเขียนในยามนี้มีแต่แววตื่นเต้นยินดี
เพียงแต่ต่อให้นางตื่นเต้นหาใดเทียบ แต่กลับเก็บซ่อนเอาไว้
“แม่นางเสวียนเยวี่ย” หลินสวินแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เสวียนจิ่วอิ้นปรากฏตัวในลัทธิแรกกำเนิด เขาไม่ได้ประหลาดใจอะไรมาก ถึงอย่างไรก็มีเสวียนเฟยหลิงอยู่ แต่จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็ปรากฏตัวที่นี่ ทำให้หลินสวินแปลกใจยิ่งแล้ว
“คุณชาย”
สุดท้ายจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็เก็บกลั้นความตื่นเต้นยินดีในใจไว้ไม่อยู่ ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย เอ่ยเรียกออกไปเบาๆ
กี่ปีแล้ว ในที่สุดก็ได้พบกับชายที่นางหลงใหลผู้นี้อีกครั้ง ตัวนางยังออกจะควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ ในใจสั่นระรัวขึ้นมาเล็กน้อย
มืองามทั้งสองยังกำแน่นไปตามจิตใต้สำนึก
——