Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2751 เข้าแทนที่ตำแหน่งอีกฝ่าย
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2751 เข้าแทนที่ตำแหน่งอีกฝ่าย
หนึ่งเดือนหลังจากที่หลินสวินปิดด่าน
ศิษย์หอแรกนภาอวี๋ฉวนมาเยี่ยม บอกหลินสวินว่ารองผู้ดูแลจินจงเยวี่ยรออยู่ที่ ‘ตำหนักลมดำเนิน’
“ศิษย์พี่อวี๋ฉวนรู้หรือไม่ว่ารองผู้ดูแลจินจงเยวี่ยหาข้าด้วยเรื่องใด”
หลินสวินเอ่ยถาม
“ศิษย์น้องไปเดี๋ยวก็รู้เอง” อวี๋ฉวนกล่าวเสียงเบา
แม้จะเป็นศิษย์พี่ แต่ยามอวี๋ฉวนเผชิญหน้ากับหลินสวินกลับยังคงเจือแววกริ่งเกรงอยู่
ถึงอย่างไรเขาก็มีมรรควิถีเพียงระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเท่านั้น
“ได้”
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบรับ
ตำหนักลมดำเนิน
จินจงเยวี่ยนั่งบนเก้าอี้ประธาน เขาสวมชุดหยกรัดเข็มขัด ผมยาวสีเทาขาว เงาร่างผอมบาง นั่งอยู่ตรงนั้นดุจเสือผอมครองศิลา กลิ่นอายแกร่งกล้า
ในฐานะระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ขั้นต้น เขาก้าวสู่อมตะจนถึงตอนนี้เป็นเวลาห้าพันปี เมื่อเทียบกับเฒ่าชราคนอื่นๆ เรียกได้ว่ายังหนุ่มอยู่
แต่ลำดับของเขากลับค่อนข้างสูง อยู่ในลำดับที่สิบสองในบรรดารองผู้ดูแลยี่สิบสี่คน!
เมื่อหลินสวินเดินเข้าตำหนักลมดำเนินก็เห็นจินจงเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง จึงประสานหมัดน้อยๆ กล่าวว่า “รองผู้ดูแลหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
“หลินสวิน เจ้าเข้าหอแรกนภามาแปดเดือนแล้ว เจ็ดเดือนก่อนหน้าเอาแต่อ่านตำรามรรคที่เขาตำราโถงที่เก้ามาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้กำหนดตำแหน่งในหอให้เจ้า”
จินจงเยวี่ยเอ่ยปากราบเรียบ “ครั้งนี้เรียกเจ้ามาก็เพื่อจัดหาตำแหน่งให้เจ้าตามกฎของหอแรกนภาของพวกเรา”
หลินสวินเลิกคิ้ว เพิ่งกระจ่างในยามนี้
ในฐานะศิษย์สามหอ จะเริ่มเข้าถึงอำนาจของลัทธิแรกกำเนิด ศิษย์แต่ละคนล้วนรับผิดชอบหน้าที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีอำนาจเพียงน้อยนิด แต่ถึงอย่างไรก็เริ่ม ‘กุมอำนาจ’ บ้างแล้ว ต่างจากผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่โดยสิ้นเชิง
เหมือนอย่างศิษย์หอแรกมายาเฉาจ้งหลินที่เคยกลั่นแกล้งหลินสวินในตอนแรก ศิษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับดูแลเรื่องการแจกจ่ายเบี้ยประจำเดือน อำนาจดูเหมือนน้อยนิด แต่กลับทำให้ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนต้องต่อแถวอย่างว่าง่ายต่อหน้าเขา ไม่กล้าละเลย หาไม่หากถูกแกล้งให้เบี้ยประจำเดือนล่าช้า เช่นนั้นย่อมไม่ดีแล้ว
ถึงอย่างไรผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่แห่งลัทธิแรกกำเนิดที่กล้าจัดการเฉาจ้งหลิน นอกจากหลินสวินก็ไม่มีกี่คนแล้ว
“รองผู้ดูแลจินเชิญกล่าว” หลินสวินกล่าว
จินจงเยวี่ยเอ่ยว่า “ทุกๆ หนึ่งปี ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่เชื่อมสู่ทะเลหมื่นดาราในแดนแรกเริ่มของเราต้องเปลี่ยนคนไปเฝ้า ครั้งนี้ถึงตาหอแรกนภาของพวกเราแล้ว และขณะนี้เจ้าก็ไม่มีตำแหน่งอื่นใด ก็ไปเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณชั่วคราวเถิด”
น้ำเสียงราบเรียบ
แต่ในใจหลินสวินกลับตระหนักได้ว่าหน้าที่นี้ไม่ชอบมาพากล
นี่เท่ากับให้ตนไป ‘เฝ้าประตู’ รับหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูคนหนึ่งชัดๆ!
หลินสวินเลิกคิ้ว “เท่าที่ข้ารู้ การเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ควรเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงของเก้ายอดเข้าใหญ่ผลัดเปลี่ยนกันไปทำ ไม่เกี่ยวข้องกับหอแรกนภาของพวกเราสักนิด”
จินจงเยวี่ยกล่าว “เจ้าไม่รู้อะไร ครึ่งปีให้หลังงานถกมรรคเก้ายอดเขาก็จะเปิดม่านแล้ว ตอนนั้นจะมีคนใหญ่คนโตจากโลกภายนอกมากมายมุ่งหน้ามาชมงาน แม้แต่สามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิวิญญาณ ลัทธิพ่อมด และลัทธิฌานก็จะส่งทูตมุ่งหน้ามาเช่นกัน ความสำคัญยิ่งใหญ่นัก”
“ถึงตอนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมีเจตนาไม่ดีแฝงตัวเข้าลัทธิของพวกเรา ต้องเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอย่างเข้มงวด และตรวจสอบตัวตนของผู้ที่มุ่งหน้ามาชมงานทุกคน”
“ถ้าเป็นศิษย์ทั่วไปคงคุมสถานการณ์ไม่อยู่สักนิด หากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นก็ไม่อาจจัดการได้ทันเวลา”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ดังนั้นจึงจะส่งข้าไปเป็นคนเฝ้าประตูหรือ”
จินจงเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าว “หลินสวิน เจ้าอย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ทำให้ฐานะเจ้าเสื่อมเสียเชียว ควรรู้ว่านับแต่อดีตจนถึงตอนนี้ งานถกมรรคเก้ายอดเขาที่หนึ่งพันปีมีหนึ่งหนของลัทธิพวกเราล้วนดึงดูดความสนใจจากทั่วหล้า ถึงตอนนั้นมีเพียงเจ้าคอยดูแลความเรียบร้อยหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเท่านั้น หอแรกนภาของพวกเราจึงจะไม่ห่วงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร”
หลินสวินก็ขมวดคิ้วกล่าว “หน้าทะเลหมื่นดารามีผนึกป้องกันเลิศล้ำ จากทะเลหมื่นดาราเข้าสู่แดนแรกเริ่มยิ่งมีพลังระเบียบปกคลุม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนโง่หน้าไหนจะกล้าเข้ามาด้วยเจตนาเป็นอื่น ยิ่งกว่านั้นในโลกยอดนิรันดร์แห่งนี้ จะมีคนไม่กลัวตายคนไหนกล้าเข้ามาก่อเรื่องในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราอีกหรือ”
จินจงเยวี่ยสีหน้าขรึมลง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ระวังไว้ก่อนย่อมไม่เกิดเรื่องผิดพลาด เจ้าเพิ่งเข้าสำนักมาเพียงหนึ่งปีเศษ ยังไม่เข้าใจความสำคัญของงานถกมรรคเก้ายอดเขาสักนิด”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ในเมื่อสำคัญเช่นนี้ ไม่สู้รองผู้ดูแลจินไปทำหน้าที่คนเฝ้าประตูนี่เอง จะได้ไม่ต้องให้ ‘คนใหม่’ ที่เพิ่งเข้าสำนักเพียงปีเศษและไม่รู้อะไรอย่างข้าทำผิดพลาด”
จินจงเยวี่ยตบพนักวางแขนอย่างเดือดดาล กล่าวเสียงกร้าว “หลินสวิน ในสายตาเจ้ายังมีกฎระเบียบอยู่หรือไม่ ข้าเป็นรองผู้ดูแลและกำลังจัดแจงหน้าที่ให้เจ้า หากเจ้ายังปฏิเสธอีกเท่ากับไม่เชื่อฟังการจัดการ ฝ่าฝืนกฎระเบียบ ต้องรับโทษตามกฎ!”
นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ กล่าวว่า “เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนว่ารองผู้ดูแลจินอยากให้ข้าปฏิเสธการจัดแจงนี้ใจจะขาด”
จินจงเยวี่ยหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ หยัดตัวขึ้นทันที กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าจะบอกว่าข้าจงใจเอาเรื่องนี้มากลั่นแกล้ง คิดอยากอาศัยเรื่องนี้มาลงโทษเจ้าหรือ”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “นี่ท่านเป็นคนพูดเอง ข้าไม่ได้พูด”
จินจงเยวี่ยสีหน้าอึมครึมน่าสะพรึง “หลินสวิน ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่”
หลินสวินกล่าวโดยไม่หยุดคิด “ย่อมรับอยู่แล้ว การถวายชีวิตเพื่อสำนักเป็นหน้าที่ของศิษย์อย่างพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเรื่องสำคัญอย่างการเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณตกอยู่ที่ข้า ข้าย่อมไม่อาจปัดหน้าที่ให้ผู้อื่น”
เขาตอบกลับอย่างขันแข็งยิ่ง ทำเอาจินจงเยวี่ยยังอึ้งไป สีหน้าวูบไหวไปมา คาดเดาความคิดของหลินสวินไม่ออกอยู่บ้าง
ในใจยิ่งมีความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกอยู่รางๆ
จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม “รองผู้ดูแลจิน หากมีคนมาแทนที่ตำแหน่งของท่าน ท่านก็จะลดขั้นกลายเป็นศิษย์ รับผิดชอบหน้าที่เดิมที่ศิษย์คนนั้นดำรงตำแหน่งอยู่ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว”
จินจงเยวี่ยที่กำลังใคร่ครวญในใจกล่าวตอบลวกๆ จากนั้นเขาพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เงยมองหลินสวินขวับแล้วกล่าวว่า “เจ้า… คิดจะทำอะไร”
หลินสวินยิ้มบางๆ ประสานหมัดกล่าว “พรุ่งนี้ยามฟ้าสาง ที่สนามรบพิพาทสวรรค์ ศิษย์หลินสวินขอเข้ารับตำแหน่งแทนที่รองผู้ดูแลจิน”
กล่าวจบเขาก็หมุนตัวจากไป
จินจงเยวี่ยสีหน้าแข็งค้าง เนิ่นนานกว่าจะตอบสนอง โมโหจนไม่มีที่ระบายทันที เจ้านี่กำเริบเสิบสานปานใด!!!
…
เขาแรกนภา ในถ้ำสถิตแดนมงคลแห่งหนึ่ง
เมื่อเห็นจินจงเยวี่ยเดินเข้ามา เฉาเป่ยโต้วที่รออยู่ที่นั่นมาโดยตลอดอดถามด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เรื่องราวเป็นอย่างไร”
เฉาเป่ยโต้ว หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสหอแรกนภา มรรควิถีขั้นดับเทพ
“เจ้านั่น… ตอบรับแล้ว” จินจงเยวี่ยสีหน้าอึมครึม กล่าวเสียงอัดอั้น
เฉาเป่ยโต้วอึ้งไป จากนั้นจึงยิ้มกล่าว “นึกไม่ถึงว่าด้วยนิสัยใจกล้าบุ่มบ่ามอย่างเขาถึงกับไม่ปฏิเสธ ช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ”
เขาเสียดายอยู่บ้างจริงๆ
หากหลินสวินปฏิเสธ ก็สามารถใช้กฎระเบียบของลัทธิแรกกำเนิดมาลงโทษหลินสวินได้
“แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หนึ่งปีนับแต่นี้ไป หลินสวินก็จะลดบทบาทกลายเป็นคนเฝ้าประตู ทุกวันคนที่สัญจรค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณล้วนจะเห็นเขา ความรู้สึกนี้ยากจะยอมรับนัก”
รอยยิ้มของเฉาเป่ยโต้วฉายทั่วหน้า “ศิษย์ระดับอมตะผู้สูงส่ง ซ้ำยังเคยสู้หนึ่งต่อสี่ โจมตีสังหารคนสะท้านยุคอย่างพวกฉีหลิงเจิ้นสี่คน ตอนนี้กลับถูกลดบทบาทกลายเป็นคนเฝ้าประตู จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไร”
เขาไม่สังเกตสักนิดว่าสีหน้าจินจงเยวี่ยอึมครึมยิ่ง ไม่ได้มีท่าทีดีใจแม้แต่น้อย
เขายิ้มชอบใจกล่าวคิดเองเออเอง “ครึ่งปีให้หลัง งานถกมรรคเก้ายอดเขาจะเปิดม่าน ตอนนั้นลัทธิวิญญาณ ลัทธิพ่อมด ลัทธิฌานล้วนจะส่งทูตมาชมงาน คนเฝ้าประตูอย่างหลินสวินต้องตรวจสอบตัวตนของผู้มาชมงานเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าว่าถึงตอนนั้นจะเกิดเรื่องขัดแย้งบางอย่างขึ้นหรือไม่”
ในกาลเวลาที่ผ่านมา เมื่องานถกมรรคเก้ายอดเขาที่มีทุกๆ พันปีเปิดม่าน จะมีคนใหญ่คนโตจากโลกภายนอกมากมายมุ่งหน้ามาชมงาน
และในฐานะคนเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ก็มักล่วงเกินคนได้ง่ายที่สุด
สมัยก่อนเคยเกิดความขัดแย้งขึ้นมากมาย คนใหญ่คนโตบางคนไม่พอใจที่ถูกตรวจสอบตัวตน ระบายโทสะใส่คนเฝ้าประตู แต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย
อย่างไรเสียทุกคนที่มีคุณสมบัติมุ่งหน้ามาชมงานล้วนมีแต่คนใหญ่คนโต ลัทธิแรกกำเนิดมีหรือจะกล้าถือสากับอีกฝ่าย
คนที่อดสูที่สุดก็คือศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณคนนั้น!
จินจงเยวี่ยยังคงไม่เอ่ยพูดตามเดิม มีเพียงสีหน้าที่อึมครึมลงเรื่อยๆ
ส่วนเฉาเป่ยโต้วยิ่งคิดยิ่งตั้งตาคอย กล่าวอย่างฮึกเหิม “จากนิสัยของเจ้านั่น ต้องสร้างเรื่องล่วงเกินคนบางส่วนอย่างแน่นอน!”
จินจงเยวี่ยทนไม่ไหว กระแอมแห้งๆ กล่าวตัดบทในที่สุด “ผู้อาวุโสเฉา”
เฉาเป่ยโต้วอึ้งไป “มีอะไรเจ้าก็พูดมาตรงๆ เหตุใดต้องอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้”
จินจงเยวี่ยสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเฉายังไม่รู้ แม้ว่าเจ้าหลินสวินนี่จะตกลงไปเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ แต่กลับประกาศว่าจะขอท้าสู้เพื่อเข้ารับตำแหน่งแทนที่ข้าตอนเช้าวันพรุ่งนี้”
เฉาเป่ยโต้วอึ้งงันทันที ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย “นี่เข้าบ้าไปแล้วหรือ”
จินจงเยวี่ยสีหน้าวูบไหวไปมา กล่าวว่า “คนเช่นเขา ตั้งแต่เข้าสู่สำนักจนถึงตอนนี้เคยทำเรื่องใหญ่ที่ถูกคนมองว่าบ้าคลั่งมาแล้วมากมาย ข้ากังวลว่า…”
เฉาเป่ยโต้วขมวดคิ้วตัดบท “จินจงเยวี่ย เจ้าเป็นถึงรองผู้ดูแลลำดับที่สิบสอง อยู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าหลายพันปีอย่างโชกโชน ผ่านประสบการณ์การต่อสู้โหดร้ายมากมาย ยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเอาชนะได้อีกหรือ”
จินจงเยวี่ยถอนใจยาว “หากเปลี่ยนเป็นศิษย์คนอื่น ข้าไม่เห็นในสายตาสักนิด แต่หลินสวินนี่… ทำให้ข้าไม่กล้าดูเบาใดๆ พวกฉีหลิงเจิ้นสี่คนก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว”
ในใจเขานึกเสียใจขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว เหตุใดต้องไปยั่วยุหลินสวินเวลานี้ แม้ว่าเรื่องจะจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเป็นการหาเหาใส่หัวเช่นกัน!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากเขาแพ้การประลองวันพรุ่งนี้ หลินสวินก็จะเข้าแทนที่ตำแหน่งของเขา กลายเป็นรองผู้ดูแลคนหนึ่ง
ส่วนเขาก็จะรับตำแหน่งของหลินสวิน ไปเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้จินจงเยวี่ยส่ายหน้าทันควัน ไม่กล้าคิดต่อไปอีก ด้วยฐานะของเขา หากลดขั้นกลายเป็นคนเฝ้าประตู…
นั่นย่อมกลายเป็นตัวตลกใหญ่ยิ่งของสำนักชัดๆ ขายหน้ายับเยิน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉาเป่ยโต้วหายไปโดยสิ้นเชิง นิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนกล่าวว่า “เมื่อง้างธนูแล้วศรย่อมไม่ย้อนกลับ จินจงเยวี่ย การต่อสู้วันพรุ่งนี้ขอเพียงเจ้าชนะ ข้ารับรองว่าจะคว้าตำแหน่งผู้ดูแลมาให้เจ้าโดยเร็วที่สุด!”
จินจงเยวี่ยสีหน้าอึมครึมลงน้อยๆ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้าเบาๆ
เขาไม่เชื่อเช่นกันว่าด้วยมรรควิถีที่อัดแน่นสั่งสมมาหลายพันปีของเขา ยังจะกำราบ ‘คนใหม่’ ที่เพิ่งแจ้งมรรคอมตะเพียงเดือนเดียวไม่ได้
ข่าวที่หลินสวินท้าสู้จินจงเยวี่ยก็แพร่กระจายจากหอแรกนภาในวันนั้น สะพัดไปทั่วลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างด้วยความรวดเร็วถึงขีดสุด
เรียกคลื่นลูกใหญ่โหมซัดในชั่วขณะเดียว
“เพิ่งหนึ่งเดือนเท่านั้น หลินสวินก็นั่งไม่ติดอีกแล้วหรือ”
“นี่จะก่อเรื่องอีกแล้ว!”
นี่คือการตอบสนองแรกของคนมากมาย ช่วยไม่ได้ ตั้งแต่หลินสวิเข้าลัทธิแรกกำเนิด ก็มักสร้างเรื่องใหญ่สะท้านสะเทือนที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงขึ้นมาเป็นพักๆ
จนถึงตอนนี้เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขา ผู้คนจึงคิดตามจิตใต้สำนึกว่าหลินสวินตั้งใจจะก่อเรื่องอีกแล้ว!
——