Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2752 รอยกระบี่สีเลือดสายนั้น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2752 รอยกระบี่สีเลือดสายนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น
หน้าสนามรบพิพาทสวรรค์มีเงาร่างมากมายมารวมตัวกันนานแล้ว
“หนึ่งเดือนก่อนหลินสวินที่เพิ่งแจ้งมรรคอมตะก็สังหารพวกฉีหลิงเจิ้นสี่คนในคราวเดียวอยู่ที่นี่ อานุภาพดุจตะวันกลางฟ้า!”
มีคนกล่าวออกมา เรียกเสียงทอดถอนใจขึ้นมากมาย
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนยังคงติดตา ทำให้พวกเขายากลืมเลือนจนบัดนี้ และตอนนี้หลินสวินยังอยากชิงตำแหน่งรองผู้ดูแลอีก นี่จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
“ลองคำนวณดูแล้ว ตำแหน่งรองผู้ดูแลในสามหอไม่เคยถูกศิษย์มาแทนที่นานสามพันปีเต็มแล้ว ครั้งนี้หลินสวินจะสามารถทำลายสถิตินี้ได้หรือไม่”
มีคนตั้งตาคอย
“ยากยิ่ง รองผู้ดูแลจินจงเยวี่ยอยู่ลำดับที่สิบสอง แจ้งมรรคอมตะมาห้าพันปี ตอนนี้มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ นิสัยของเขาดุดัน ประสบการณ์ต่อสู้เจนจัดโชกโชน กฎเกณฑ์อมตะที่หล่อหลอมล้วนมาจากระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า หากไม่เพราะเวลาไม่พอ ด้วยรากฐานของเขาคงสามารถก้าวสู่ขั้นดับเทพได้นานแล้ว!”
มีคนใหญ่คนโตวิเคราะห์ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินอยากเอาชนะ ความหวังมีไม่มากนัก”
บอกเพียงว่าความหวังไม่มาก แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีหวัง จากจุดนี้สามารถมองออกว่าคนใหญ่คนโตผู้นี้ก็ไม่ได้ดูเบาหลินสวินเช่นกัน
“ข้าได้ยินว่าสิ่งที่รองผู้ดูแลจินจงเยวี่ยภาคภูมิใจที่สุดคือขวานปากไก่นามว่า ‘มังกรดำ’ เล่มนั้นของเขา ลือกันว่าหลอมขึ้นจากเจตวัตถุอมตะนับพันชนิด และถูกเขาใช้กฎเกณฑ์อมตะในตัวหลอมตีหลายพันปี อานุภาพน่าสะพรึงถึงขีดสุด ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาสักนิด”
“จะว่าไปหลินสวินเพิ่งแจ้งมรรคเพียงหนึ่งเดือน เขาหลอมศาสตรามรรคอมตะออกมาแล้วหรือไม่”
ระหว่างวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนล้วนนึกถึงหนึ่งเดือนก่อนตอนที่หลินสวินสังหารพวกฉีหลิงเจิ้นสี่คนก็ใช้หมัดเปล่าตลอด ไม่ได้ใช้สมบัติอื่นใด
ภาพจำที่มอบให้ผู้คนก็คือ เขายังขาดศาสตรามรรคอมตะ!
พวกคนใหญ่คนโตระดับอมตะเหล่านั้นล้วนรู้ดี ศาสตรามรรคอมตะไม่ใช่จะหลอมขึ้นมาง่ายๆ ขนาดนั้น ต้องผสานรวมเจตวัตถุอมตะมากมายในการหลอม ยิ่งต้องใช้กฎเกณฑ์และมรรควิถีในตัวฟูมฟักและเคี่ยวกรำ
หากอยู่โลกพันจักรวาล ศาสตรามรรคอมตะที่แท้จริงชิ้นหนึ่ง อานุภาพของมันสามารถซัดสะเทือนโลกขนาดเล็กแห่งหนึ่งได้!
แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ อานุภาพของศาสตรามรรคอมตะก็ยังไม่อาจดูเบา สามารถแหวกภูเขาตัดสมุทร พังถล่มฟ้าดินแถบหนึ่งได้ แข็งกร้าวไร้ขอบเขตยิ่งยวด
และตอนนี้เพิ่งห่างจากช่วงที่หลินสวินแจ้งมรรคอมตะเพียงหนึ่งเดือน คิดอยากหลอมศาสตรามรรคอมตะที่แท้จริงออกมา เห็นชัดว่าความหวังมีไม่มากนัก
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย คนใหญ่คนโตมากมายล้วนมากันแล้ว อย่างเช่นผู้นำยอดเขาที่เก้าฉินอู๋อวี้ ผู้อาวุโสหอแรกนภาอย่างเซียวเหวินหยวน หลีเจิน เฉาเป่ยโต้วเป็นต้น
“พี่ฉินมองการต่อสู้ในวันนี้อย่างไร” เซียวเหวินหยวนมาหยุดข้างๆ ฉินอู๋อวี้ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินอู๋อวี้สีหน้าจนใจอยู่บ้าง กล่าวว่า “หลินสวินนี่ทำสิ่งใดล้วนเป็นเช่นนี้เสมอมา มักทำให้คนยากจะคาดเดา แต่หากถามตามความเห็นข้า ข้าย่อมหวังให้เขาสามารถเอาชนะได้อยู่แล้ว”
น้ำเสียงจนใจ แต่กลับเจือความหวังในตัวหลินสวินอยู่รางๆ
เซียวเหวินหยวนยิ้มอย่างเข้าใจ กล่าวคล้ายขบคิดว่า “ขึ้นเป็นรองผู้ดูแลก็ห่างจากตำแหน่งผู้ดูแลไม่ไกลแล้ว ถึงตอนนั้น ในแง่ฐานะในสำนัก เขาก็นั่งทัดเทียมกับเจ้าแล้ว”
ตำแหน่งผู้ดูแลสามหอเทียบเท่ากับผู้นำเก้ายอดเข้าใหญ่ ฉินอู๋อวี้ย่อมรู้ข้อนี้ดี
เขาถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “บางครั้งก้าวหน้าเร็วเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร คลื่นลมมที่เขาก่อมีมากเกินไป ประกายคมเปิดเผย ยั่วยุให้ผู้อื่นชิงชังได้มากที่สุด ข้ากลับหวังว่าเขาจะสงบนิ่งสักระยะ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ในลานก็เกิดความโกลาหลขึ้น สายตามากมายล้วนหันไปมองทางหนึ่ง…
ก็เห็นเงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินเดินออกมาจากไกลๆ
ชั่วขณะเดียวทุกคนในที่นี้ล้วนสีหน้าต่างกันไป
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ยามเห็นหลินสวินอีกครั้งเขาก็จะไปชิงตำแหน่งรองผู้ดูแลแล้ว ความเร็วในการเลื่อนขั้นระดับนี้ทำให้คนรุ่นอาวุโสบางส่วนยังทอดถอนใจไม่หยุด และอิจฉาริษยาไม่หาย
ถึงอย่างไรตั้งแต่หลินสวินเข้าสู้สำนักจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเพียงปีกว่าๆ เท่านั้น
“รองผู้ดูแลจินจงเยวี่ยมาแล้วหรือ”
หลินสวินเดินตรงเข้าไปยังสนามรบพิพาทสวรรค์ กวาดสายตามองรอบบริเวณ
“เฮอะ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
ในเสียงต่ำลึกเย็นเยียบ เงาร่างผอมบางของจินจงเยวี่ยปรากฏขึ้นกลางอากาศ มาที่สนามต่อสู้ อาภรณ์หยกทั้งชุดพลิ้วไหว ทั่วร่างมีกฎเกณฑ์อมตะสีดำสว่างจ้าพร่าตาพวยพุ่ง
ทุกคนในที่นี้หยุดสนทนา สายตาล้วนจับจ้องบนตัวทั้งคู่เป็นจุดเดียว กลั้นหายใจจดจ่อ ในใจเต็มไปด้วยความตั้งตาคอย
คนหนึ่งคือพวกชั้นเลิศแห่งยุคที่เพิ่งกลายเป็นระดับอมตะ มีพลังต่อสู้เย้ยฟ้า
อีกคนแจ้งมรรคอมตะมาห้าพันปี เป็นพวกร้ายกาจรุ่นอาวุโสที่อยู่ลำดับสิบสองในบรรดารองผู้ดูแลยี่สิบสี่คน
การต่อสู้นี้ย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา
“รองผู้ดูแลจิน ระหว่างท่านกับข้าไม่ต้องหยั่งเชิงกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างใช้ความแข็งแกร่งแท้จริง รีบสู้รีบจบ ตัดสินใจแพ้ชนะก็พอ”
หลินสวินเอ่ยปากราบเรียบ
ท่าทางเรียบเฉยวางตัวสบายๆ นั่นทำให้ผู้สืบทอดเก้ายอดเข้าใหญ่มากมายล้วนลอบหมองเศร้า
หนึ่งเดือนก่อนหลินสวินยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องระดับเดียวกับพวกเขา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่ก้าวสู่ระดับอมตะแล้ว ไม่ใช่คนระดับเดียวกันอีกต่อไป
“ตามที่เจ้าต้องการ”
สีหน้าจินจงเยวี่ยเฉยชาดุจหิน ประกายเทพตัดสลับ ขวานปากไก่เล่มหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามือเขา ตัวขวานดำสนิทมืดทึบ กลิ่นอายคมกริบเย็นเยียบที่ทำให้คนใจสะท้านไหลเวียน
มองจากไกลๆ มันดูไม่เหมือนขวานปากไก่ แต่เป็นมังกรดำบรรพกาลที่แผ่กลิ่นอายทำลายล้างฟ้าดินคละคลุ้ง!
ขวานปากไก่มังกรดำ!
ศาสตรามรรคอมตะที่จินจงเยวี่ยหลอมมาหลายพันปี หลอมรวมเจตวัตถุอมตะนับพันชนิด พลังเข่นฆ่าสะท้านโลก
ทุกคนนอกสนามล้วนอดหวาดหวั่นไม่ได้ ยังไม่ทันเปิดศึกก็เรียกศาสตรามรรคอมตะออกมาแล้ว จินจงเยวี่ยรู้ชัดถึงความร้ายกาจของหลินสวินดี จึงคิดจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังตั้งแต่เริ่ม!
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินก็ยิ้มน้อยๆ
วู้ม!
เหนือศีรษะเขาปรากฏเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งขึ้นมาทันควัน ตัวเตาเก่าแก่เรียบง่ายสาดพรมละอองแสงคลุมเครือมหาศาลออกมา ขับเน้นเงาร่างเขาดุจฝันดั่งมายา
“นี่คือศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขา!”
เสียงอุทานดังขึ้น
“ไม่ สมบัตินี้ควรเรียกว่าศาสตรามรรคอมตะแล้ว กลิ่นอายเช่นนั้นดุจดั่งอมตะนิรันดร์กาล ไม่ผิดเป็นอันขาด”
คนใหญ่คนโตบางส่วนนัยน์ตาหดหัด ล้วนอดไหวหวั่นไม่ได้
หลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์เป็นศาสตรามรรคอมตะในเวลาหนึ่งเดือนหรือ
ความเร็วนี้น่าสะพรึงชัดๆ!
พวกที่ก่อนหน้านี้ยังเดาว่าหลินสวินไม่มีศาสตรามรรคอมตะ เวลานี้ล้วนอดตาค้างไม่ได้
“ดูท่าเจ้าเตรียมตัวมาพร้อมทีเดียว”
ในใจจินจงเยวี่ยหนักอึ้ง เมื่อวานหลังจากรับคำท้าของหลินสวิน เขาก็ใคร่ครวญทั้งคืน พยายามคิดถึงจุดอ่อนในตัวหลินสวิน
สุดท้ายเขาก็คิดออกสองจุด
จุดแรก หลินสวินเพิ่งทะลวงระดับ มรรควิถีอยู่เพียงแค่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นต้น ในแง่พลังปราณยังด้อยกว่าตนมาก
แต่รากฐานของหลินสวินน่าสะพรึงยิ่ง ชดเชยช่องว่างในด้านพลังปราณไปได้ หรือกล่าวได้ว่าตนอาจมีข้อได้เปรียบ แต่ข้อได้เปรียบกลับไม่มากเท่าไรนัก
จุดที่สอง ยามหลินสวินสังหารพวกฉีหลิงเจิ้นล้วนใช้หมัดเปล่า เป็นไปได้สูงว่าอาจไม่มีศาสตรามรรคอมตะเหมาะมือแม้แต่ชิ้นเดียว
และเป็นเพราะข้อนี้ทำให้จินจงเยวี่ยมั่นใจเต็มเปี่ยมในการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะขวานปากไก่มังกรดำในมือเขาอานุภาพแข็งแกร่ง เหนือกว่าศาสตรามรรคอมตะธรรมดาจะเทียบได้
อาศัยข้อนี้ก็สามารถกดหัวหลินสวินได้
แต่ไหนจะคาดคิดว่าการต่อสู้ในวันนี้ยังไม่ทันเริ่ม หลินสวินก็เรียกเตากระบี่ของเขาออกมา กลิ่นอายอมตะที่แผ่คลุ้งทั่วตัวเตานั่น ล้วนบ่งบอกว่าศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ชิ้นนี้ถูกหลอมเป็นศาสตรามรรคอมตะแล้ว!
นี่ทำให้แรงกดดันของจินจงเยวี่ยเพิ่มขึ้นทันควัน
“หากไม่มีความมั่นใจอยู่บ้าง จะกล้าคิดเข้าแทนที่ตำแหน่งของรองผู้ดูแลจินได้อย่างไร”
หลินสวินเอ่ยปากเนิบๆ พลังขับเคลื่อนรอบตัวพลันโคจรถึงขีดสุด
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ เขาเสริมความมั่นคงของมรรควิถี มองทะลุและควบคุมอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่เปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมนี้ได้โดยสิ้นเชิง
ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ลองทดสอบในการต่อสู้ ทำให้หลินสวินเองก็ไม่แน่ใจว่าอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งในตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด
แต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีเยี่ยม!
“ฮ่าๆ เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้หรือไม่!”
ในเสียงหัวเราะดังลั่น จินจงเยวี่ยมือกระชับขวานปากไก่มังกรดำทะลวงผ่านอากาศ
พริบตานั้นขวานปากไก่ในมือเขาแทงออกไปมากกว่าพันครั้ง ขวานปากไก่ที่กวัดแกว่งเต็มฟ้าเหมือนดั่งเงามายา ปิดฟ้าบังตะวัน กระหน่ำโจมตีลงมา ประกายคมอมตะสีดำประหนึ่งธารดาราเก้าชั้นฟ้าร่วงหล่น เกรียงไกรน่าเกรงขาม
ตูม!
ในสนามรบพิพาทสวรรค์โกลาหลไปทั้งแถบ ภาพประหลาดทำลายล้างปรากฏ
เพียงแค่การโจมตีนี้ จินจงเยวี่ยก็สำแดงอานุภาพน่าสะพรึงของคนระดับอมตะรุ่นเก่าออกมา ทำเอานอกสนามล้วนเกิดเสียงอุทานดังสนั่นขึ้นระลอกหนึ่ง
คนใหญ่คนโตบางส่วนยิ่งขมวดคิ้ว จัดการกับคนหนุ่มที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นอมตะคนหนึ่ง ควรค่าถึงขั้นต้องลงมือขนาดนี้เชียวหรือ
เคร้ง!!!
ต่อจากนั้นเสียงกระแทกสะเทือนจนหูแทบดับดังกึกก้อง อานุภาพอมตะประหนึ่งภูเขาไฟปะทุแผ่กว้างในสนามรบพิพาทสวรรค์
ก็เห็นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยอยู่กลางอากาศ สกัดขวางและทำลายการโจมตีทั้งหมดของจินจงเยวี่ย ขวานปากไก่มังกรดำน่าสะพรึงปานใด แต่กลับไม่อาจมุ่งไปเบื้องหน้า ไม่สามารถสั่นคลอนการขัดขวางของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้!
หัวใจของทุกคนเต้นแรง เผยแววไม่อยากเชื่อออกมา ต้านได้หรือ!?
“ทลาย!”
จินจงเยวี่ยส่งเสียงคำรามยาว อานุภาพล้นฟ้า กลิ่นอายอมตะรุ่งโรจน์ดุจเพลิงโหม ขวานปากไก่มังกรดำในมือโบกฟันลงไป เสมือนมังกรดำป่วนโลกมาเยือนจากฟากฟ้า อหังการถึงขีดสุด
นี่คือพลังของขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ จินจงเยวี่ยกล้ามั่นใจว่าหากเปลี่ยนเป็นคนระดับเดียวกันที่โลกภายนอกเหล่านั้น ก็ต้านพลังการโจมตีนี้ไม่ไหวแน่นอน!
กล่าวง่ายๆ คือ ต่อให้เขาเป็นรองผู้ดูแลคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็มาจากลัทธิแรกกำเนิด ในสายตาของเขา คนระดับเดียวกันที่โลกภายนอกเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา
แต่ตอนนี้การโจมตีเช่นนี้ถูกเขานำมาใช้จัดการกับหลินสวิน!
เคร้ง…!!
เสียงกระแทกสะเทือนฟ้าดินดังขึ้นอีกระลอก ทั่วทั้งสนามรบพิพาทสวรรค์ล้วนสั่นโคลงรุนแรง กระแสทำลายล้างพร่าตาน่าสะพรึงสะเทือนฟ้าดิน
การโจมตีนี้ทำให้สภาวะจิตของพวกที่พลังค่อนข้างด้อยนอกสนามเหล่านั้นล้วนเจ็บปวดรุนแรง ได้รับแรงสะเทือนจนอดหวาดผวากับเรื่องนี้ไม่ได้
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ เมื่อฝุ่นควันจางหาย พลังโจมตีอหังการไร้เทียมทานนี้ของจินจงเยวี่ยกลับถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งของหลินสวินต้านไว้ได้อีกครั้ง!
นอกสนามเสียงดังฮือฮาทันที พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนเผยแววตกใจปนกังขา เพิ่งหนึ่งเดือนเท่านั้น เตากระบี่ของหลินสวินหลอมจนแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ
“รองผู้ดูแลจิน นี่คือพลังจริงๆ ของท่านหรือ”
เสียงของหลินสวินดังขึ้น เจือแววผิดหวังที่คล้ายมีแต่ไม่มี
สีหน้าจินจงเยวี่ยพลันอึมครึมโดยสิ้นเชิง ราวกับถูกยั่วโทสะ เขาสูดหายใจเข้าลึกไม่ได้พูดพล่าม ใช้วิธีต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทันที
“นภาดาวระบำคลั่ง!”
ทันใดนั้นขวานปากไก่มังกรดำในมือจินจงเยวี่ยส่งเสียงวู้ม กึกก้องประหนึ่งมังกรคำราม ยามถูกสะบัดแทงออกไป บนสนามรบพิพาทสวรรค์นั่นเสมือนมีดาวทั่วฟ้าร่วงหล่น ดวงดาวมหาศาลแตกระเบิด สร้างพลังทำลายล้างสะท้านสะเทือน
พลังทำลายล้างที่มาพร้อมกับการจ้วงแทงของขวานปากไก่ในมือจินจงเยวี่ย ประหนึ่งหมายจะทะลวงผ่านกาลเวลา บดขยี้สรรพสิ่งในฟ้าดิน!
น่าสะพรึงเกินไป!
ผู้สืบทอดนอกลานล้วนไม่อาจลืมตาได้ สภาวะจิตถูกสั่นคลอนอย่างสิ้นเชิง
การโจมตีนี้ทำให้พวกเขาสัมผัสถึงความน่าสะพรึงของระดับอมตะรุ่นเก่าได้อย่างลึกซึ้ง
พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างจับตามอง ทุกคนล้วนตระหนักถึงความร้ายกาจในการโจมตีนี้ของจินจงเยวี่ย นัยน์ตาวาววับไม่หยุด
นภาดาวระบำคลั่ง
การโจมตีนี้หลอมรวมมรรควิถี กฎเกณฑ์ และเจตจำนงทั้งหมดในตัวจินจงเยวี่ย ยิ่งมีความทุ่มเทของเขาอยู่ พลังระดับนั้นทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นดับเทพบางส่วนยังรู้สึกแปลกใจ
เคร้ง!!!
ก็เห็นหลินสวินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแผ่ละอองแสงมหาศาล ต้านทานพลังโจมตีน่าสะพรึงที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดนี้ด้านนอก นภาดาราพังทลายแตกกระจุย กระแสทำลายล้างทรุดยวบเลือนหาย ท่ามกลางเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหว ขวานปากไก่มังกรดำโค้งงอเป็นเส้นโค้งที่ทำให้คนใจสะท้าน
แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถสั่นคลอนเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแม้เพียงเสี้ยว!
ภาพนี้ทำเอาทั่วลานสะท้านสะเทือนทันที สร้างความแตกตื่นและเสียงฮือฮาขึ้น
โจมตีสามครั้ง แต่ละครั้งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งล้วนถูกเตากระบี่ต้านทาน ไม่อาจทะยานต่อไปได้แม้เพียงเสี้ยว!
นี่น่าเหลือเชื่อชัดๆ
พวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนนึกไม่ถึง ว่าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่หลินสวินเรียกออกมาจะทนทานและแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ปกปักษ์อยู่ตรงนั้น ดุจดั่งคงมั่นเพียงหนึ่งเดียว หมื่นกาลไม่เขยื้อน!
และสีหน้าของจินจงเยวี่ยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเขียวคล้ำหาใดเปรียบ เขาส่งเสียงตะโกนลั่น ผมเคราชี้ตั้ง ดุจดั่งเพลิงลุกโชน โบกขวานปากไก่มังกรดำแล้วฟันลงไปอย่างเดือดดาล
“เรื่องเดิมไม่เกิดซ้ำสาม เจ้าก็รับการโจมตีของข้าสักตั้ง”
และเวลานี้จู่ๆ หลินสวินที่นิ่งมาโดยตลอดก็เริ่มเคลื่อนไหว เงาร่างทะยานอากาศ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงอึงอลพุ่งไปเบื้องหน้าพร้อมเขา
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ขวานปากไก่มังกรดำแทง ฟัน กวาด กระแทก ตวัดเฉือนไม่ขาดสาย แต่กลับทำลายพลังป้องกันของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไม่ได้ มีเพียงเสียงปะทะดังสั่นดุจฟ้าร้องดังขึ้น ประกายไฟพร่างพราวแสบตาเป็นสายๆ พุ่งกระเซ็น
และก็เป็นเวลานี้ที่นัยน์ตาหลินสวินเย็นเยียบ คิดเงียบๆ ในใจ
‘ทะยาน!’
กระบี่มรรคเล่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากปากเตาที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแรกกำเนิดคลุมเครือนั่น
ตัวกระบี่สีเทาขุ่นเรียบง่ายทึบทึม ปราศจากประกายคมใดๆ แต่กลับมีกลิ่นอายอมตะอันเร้นลับคลุมเครือเป็นสายๆ ไหลเวียนอยู่รำไร
ดูแล้วไม่มีจุดน่าทึ่งสะดุดตาใดๆ ธรรมดายิ่ง
“ไป!”
แต่เมื่อกระบี่มรรคเล่มนี้ตวัดฟันลงมา
เปรี๊ยะ!
ท่ามกลางเสียงแตกหักกังวาน ปลายคมของขวานปากไก่มังกรดำหล่นร่วง ถูกฟันด้วยกระบี่เดียว จุดที่แตกเรียบลื่นอย่างชัดแจ้ง
นี่เป็นถึงขวานปากไก่มังกรดำ!
ศาสตรามรรคอมตะอานุภาพแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง แต่กลับถูกตัดปลายคมราวหั่นเต้าหู้!
การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หัวใจจินจงเยวี่ยหลั่งเลือด ราวถูกทำลายแก้วตาดวงใจ รู้สึกตกใจระคนเดือดดาล โมโหแต่ไม่มีที่ระบาย
ทว่าไม่ให้โอกาสเขาตอบสนองสักนิด กระบี่มรรคที่ฟันลงมานั่น หลังจากฟันส่วนคมของขวานปากไก่มังกรดำก็ฟันเข้าใส่เขาทันที
ปราณกระบี่คลุมเครือทึบทึม ยามนี้กลายเป็นลำแสงหนาวสะท้านที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ ฟ้าดินเปรียบเสมือนผืนผ้า ถูกตัดขาดอย่างเงียบๆ ภายใต้คมประกายนี้
สวบ!
เพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ปราณกระบี่อันตรธานหายไป
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น ภาพประหลาดแตกสลายอะไรล้วนไม่ปรากฏ หลังจากกระบี่นี้ฟันลงไปก็อันตรธานหายไปเงียบๆ
ทุกคนนอกสนามล้วนแปลกใจ นี่เป็นสถานการณ์อะไร
เมื่อมองจินจงเยวี่ยอีกที กลับคล้ายโดนโจมตีหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งตัวอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น สีหน้าห่อเหี่ยว
เนิ่นนานเขาถึงถอนหายใจยาวกล่าวเสียงเบาว่า “คนรุ่นใหม่มาแทนที่คนรุ่นเก่า ข้าคนแซ่จิน… แพ้แล้ว…”
เสียงเจือความขมขื่นและหมองหม่นอย่างบอกไม่ถูก
ก็เป็นตอนนี้คนอื่นๆ ถึงมองเห็นชัด ว่าบริเวณหน้าผากของจินจงเยวี่ยมีรอยเลือดค่อยๆ ลากลงมาเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง ปรากฏบนสันจมูก ริมฝีปาก คาง ลำคอ…
รอยเลือดแดงฉานสายนั้น เป็นรอยกระบี่ตื้นๆ สายหนึ่งนั่นเอง!
——