Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2754 สี่มารแปดเทพ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2754 สี่มารแปดเทพ
แกนเทพอมตะที่ได้รับในแต่ละเดือนของรองผู้ดูแลคนหนึ่งเพียงแค่สามหมื่นชั่งเท่านั้น
สำหรับคนระดับเดียวกันคนอื่นๆ อาจจะพอใช้แล้ว
แต่หลินสวินไม่เหมือนกัน หากคิดอยากเติมเต็มความต้องการในการฝึกปราณของเขา แต่ละเดือนต้องการแกนเทพอมตะอย่างน้อยห้าหมื่นชั่ง
เดิมทีเขายังกังวลกับเรื่องนี้
แต่ตอนนี้มีโอสถอมตะสุริยันจันทราที่เหยียนจี้มอบให้ ย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงแล้ว
หลินสวินระงับความตื่นเต้นในใจ เก็บป้ายคำสั่งไว้ก่อน จากนั้นสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง แล้วหยิบโอสถอมตะสุริยันจันทราออกมากลืนลงไปหนึ่งเม็ด
ตูม!
กระแสพลังพลุ่งพล่านหาใดเปรียบแผ่ซ่านในร่างกายอย่างบ้าคลั่งราวม้าป่าหลุดบังเหียน พลังบริสุทธิ์หนาแน่นนั่นทำให้ร่างกายของหลินสวินสั่นสะเทือนรุนแรง เกิดความรู้สึกพองบวมแทบแตก
เขาไม่กล้าคิดมากความ โคจรมรรควิถีในตัวทำการหลอมละลาย
สี่ชั่วยามเต็มให้หลัง
ฤทธิ์ยาของโอสถอมตะสุริยันจันทรานั่นจึงถูกหลอมรวมโดยสมบูรณ์ และหลินสวินรู้สึกอย่างชัดเจนถึงพลังปราณในตัวที่กระเตื้องขึ้นเสี้ยวหนึ่ง!
แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเดียวก็ทำให้หลินสวินตื่นเต้นไม่หยุด
เขาหยิบโอสถอมตะสุริยันจันทราออกมาอีกเม็ด ฝึกปราณต่อโดยไม่คิดมากความ
ตลอดหนึ่งวันเต็ม
หลินสวินหลอมโอสถอมตะสุริยันจันทราไปสามเม็ด เทียบเท่าพลังของแกนเทพอมตะสามพันชั่ง!
‘สามพันชั่งต่อวัน หนึ่งเดือนก็เท่ากับเก้าหมื่นชั่ง เทียบเท่ากับกลืนโอสถอมตะสุริยันจันทราไปเก้าสิบเม็ด และในหนึ่งเดือนขวดนี้สามารถควบรวมโอสถอมตะสุริยันจันทราได้หนึ่งพันเม็ด หมายความว่าแต่ละเดือนยังเหลืออีกเก้าร้อยสิบเม็ด…’
คิดถึงตรงนี้ หลินสวินรู้สึกอิ่มเอมและพึงพอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ถึงขั้นที่หงุดหงิดอยู่บ้างว่ามีโอสถอมตะสุริยันจันทรามากขนาดนี้ แต่กลับไม่สามารถหลอมได้หมดเพราะติดที่พลังปราณ นี่ก็เหมือนร่ำรวยชั่วข้ามคืน เงินเยอะจนไม่รู้ว่าควรใช้อย่างไร…
แต่หลินสวินก็รู้ดี เมื่อมรรควิถีเพิ่มสูงขึ้น แกนเทพอมตะที่ตนต้องการย่อมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
เหยียนจี้จะมอบขวดนี้ให้ตนหนึ่งร้อยปี เกรงว่าคงตระหนักได้แต่แรกแล้วว่าในหนึ่งร้อยปีนี้ โอสถอมตะสุริยันจันทราที่ควบรวมในขวดนี้สามารถตอบสนองความต้องการในการเลื่อนมรรควิถีของตน
…
เวลาเคลื่อนคล้อย สามเดือนให้หลัง
หลังจากหลินสวินหลอมโอสถอมตะสุริยันจันทราอีกหนึ่งเม็ด พลังปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นต้นของเขาบรรลุสู่ขั้นบริบูรณ์โดยสมบูรณ์ และใกล้จะก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง!
“ขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นแล้ว”
หลินสวินลืมตาขึ้นช้าๆ
การทะลวงขั้นกลางไม่ต้องการจุดเปลี่ยนอะไรนัก แต่กลับต้องการการทะลวงผ่านขีดจำกัดกดข่มแบบหนึ่ง
เวลานี้ต่อให้บากบั่นเคี่ยวกรำอย่างหนักต่อไปก็ไม่ช่วยอะไร
และหากอยากทะลวงขั้น อันที่จริงก็ง่ายดายยิ่ง ต้องต่อสู้!
พลังที่ฝึกปราณออกมาต้องผ่านการขัดเกลาด้วยการต่อสู้ จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงเมื่อปลดปล่อยถึงขีดสุดได้
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้นทันใด เดินออกจากถ้ำสถิต
ยอดเขาที่เก้า
“ผู้นำยอดเขา ข้าอยากทำความเข้าใจสักหน่อย ว่าตอนศิษย์พี่เย่ฉุนจวินไปทำภารกิจนอกสำนักได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”
หลินสวินมาหาฉินอู๋อวี้ และเริ่มซักถาม
เรื่องนี้เขาไม่มีวันลืมเด็ดขาด
เจ็ดเดือนที่ปิดด่านในโถงที่เก้าของเขาตำรา เย่ฉุนจวินออกไปทำภารกิจนอกสำนัก แต่กลับได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เห็นชัดว่าเป็นฝีมือของขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้น
ฉินอู๋อวี้กล่าว “นี่เจ้าตั้งใจจะแก้แค้นแทนเขาหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “ตั้งแต่ข้าเข้าสำนัก ศิษย์พี่เย่ดูแลข้ามากมาย แต่เขากลับถูกศัตรูทำร้ายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ ข้าย่อมต้องออกหน้าแทนเขา”
ฉินอู๋อวี้ลังเลครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “ตอนนั้นฉุนจวินไม่ยอมให้ข้าบอกเจ้า ก็เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อสภาวะจิตยามแจ้งมรรคอมตะของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ามีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว เช่นนั้นบอกเจ้าตอนนี้ก็คงไม่เป็นไร”
ที่แท้ สถานที่ที่เย่ฉุนจวินเดินทางไปทำภารกิจครานั้นคือเขตแดนใจกลางของน่านฟ้าที่เจ็ด หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ระหว่างทางขากลับเย่ฉุนจวินกลับถูกซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากไม่เพราะเขาอาศัยพลังของป้ายคำสั่งสำนักเอาชีวิตรอดมาได้หวุดหวิด ก็เกือบต้องสิ้นชีพไปแล้ว
ฉินอู๋อวี้กล่าว “จากที่ฉุนจวินว่ามา คนที่ลอบโจมตีเขาคือมือสังหารขั้นอายุขัยเทียมฟ้าคนหนึ่งในแดนเร้นนภา ฉายาว่า ‘ภูตชือ’”
แดนเร้นนภา!
หลินสวินประหลาดใจโดยพลัน มีหรือเขาจะไม่รู้จักแดนเร้นนภา ยามอยู่ที่แดนใหญ่พันศึก เขายังเคยถูก ‘นกกระเรียน’ อันดับที่หกในระดับจักรพรรดิ และ ‘น้ำค้าง’ อันดับสี่ในระดับมกุฎจักรพรรดิลอบสังหาร
นี่เป็นขุมอำนาจมือสังหารที่เร้นลับ และมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งในโลกยอดนิรันดร์ ทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะบางส่วนยังต้องกริ่งเกรง
จากที่ฉินอู๋อวี้อธิบาย มือสังหารระดับอมตะของแดนเร้นนภามีทั้งหมดสิบสองคน เป็นที่รู้จักในนาม ‘สี่มารแปดเทพ’
สี่มาร ได้แก่ มารภูต มารผี มารพราย และมารสาง
แปดเทพ ก็ตั้งชื่อตามแผนผังแปดทิศ ได้แก่ เทพวารีอุดร เทพอัคคีทักษิณ เทพฟ้าพายัพ เทพดินหรดีเป็นต้น
แปดเทพเร้นลับที่สุด ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ปรากฏตัวออกมาน้อยยิ่งยวด
คนที่ทำร้ายเย่ฉุนจวินบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ ก็คือมารภูตหนึ่งในสี่มาร
เป็นมือสังหารขั้นอายุขัยเทียมฟ้าคนหนึ่ง!
“แดนเร้นนภานี่ต้องเสียสติปานใด ถึงขั้นยังกล้าแตะต้องผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรา” หลินสวินอดกล่าวไม่ได้
ฉินอู๋อวี้กล่าวเย็นชา “แดนเร้นนภาไม่กล้า ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่กล้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าขุมอำนาจแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังแดนเร้นนภาคือใคร”
หลินสวินส่ายหน้า
“ยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลจิงแห่งน่านฟ้าที่แปด”
“ตระกูลจิงหรือ”
หลินสวินตกใจ ในข่าวลือ ตระกูลจิงเก็บตัวที่สุดในบรรดาสิบขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะ แม้จะไม่ได้อยู่ลำดับต้นๆ แต่รากฐานพลังกลับน่าสะพรึงถึงขีดสุด
“ตระกูลจิงและตระกูลฝูมีความสัมพันธ์อันดี ตั้งแต่อดีตถึงบัดนี้ทั้งสองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานกัน และเจ้าแห่งแดนเร้นนภาก็คือเฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งของตระกูลจิง นามว่าจิงเหิงเจิน ความลับนี้โลกภายนอกอาจมีคนรู้ไม่มาก แต่สำหรับลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรากลับรู้กันทั่ว”
ฉินอู๋อวี้กล่าว “หลังจากรู้เรื่องที่ฉุนจวินถูกลอบสังหาร ข้าก็เดาได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นการชี้นำจากรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีแน่นอน ตอนนั้นเพื่อจะสร้างผลกระทบต่อสภาวะจิตของเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น”
หลินสวินหรี่ตาลงน้อยๆ กล่าวว่า “ผู้นำยอดเขา หากข้าอยากจัดการมารภูตคนนี้ ควรไปหาเขาที่ใด”
“แดนเร้นนภาถนัดซ่อนตัวเป็นที่สุด แหล่งที่อยู่ลึกลับซับซ้อน พวกตัวโตๆ ในแดนเร้นนภาอย่างมารภูตยิ่งถูกหาพบได้ยาก”
ฉินอู๋อวี้กล่าว “หลังจากเกิดเรื่องที่ฉุนจวินถูกลอบสังหาร ข้าก็ไปขอให้รองหัวหน้าหอฟางเต้าผิงช่วยเหลือในทันที”
“รองหัวหน้าหอฟางหรือ” หลินสวินแปลกใจทันใด
ฉินอู๋อวี้ทอยิ้ม กล่าวเจือความทอดถอนใจ “เจ้าอย่าเห็นว่าเขานิสัยพูดน้อย ไม่ปะทะกับใคร ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาเป็นพวกดุดันที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ ประมาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพันปีก่อน รองหัวหน้าหอฟางที่ตอนนั้นยังมีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสพาผู้สืบทอดออกไปนอกสำนัก ระหว่างทางกลับได้รู้ว่าคนในครอบครัวของผู้สืบทอดคนนี้ล้วนถูกมือสังหารแดนเร้นนภาฆ่าตาย เด็กเล็กคนชราทั้งตระกูลหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าคนล้วนไม่มีใครรอดชีวิต”
“ผู้สืบทอดคนนั้นทั้งโศกเศร้าและเดือดดาล ส่งผลให้สภาวะจิตได้รับผลกระทบ รองหัวหน้าหอฟางจึงบุกไปแดนเร้นนภาเพียงลำพังด้วยความโกรธเกรี้ยว ตัดหัวคนโชกเลือดไม่รู้เท่าไร ลำพังแค่ระดับอมตะก็ถูกฆ่าตายไปสิบสามคนแล้ว!”
“ศึกครั้งนั้นโลกภายนอกแทบไม่มีใครรู้ แต่ในสี่หอบรรพจารย์และน่านฟ้าที่แปดกลับใหญ่โตสะท้านสะเทือน”
หลินสวินยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ สังหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อนแดนเร้นนภาด้วยตัวคนเดียว!
หากไม่เพราะฉินอู๋อวี้บอก เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านี่จะเป็นเรื่องที่คนนิสัยเฉยชาอย่างฟางเต้าผิงจะทำออกมาได้
“เมื่อรู้เรื่องของฉุนจวิน รองหัวหน้าหอฟางก็มอบยันต์หยกชิ้นนี้ให้ข้า”
กล่าวพลางฉินอู๋อวี้หยิบยันต์หยกสีเทาที่กลมมนโปร่งแสงชิ้นหนึ่งออกมา “จากที่เขาว่ามา รังของแดนเร้นนภาย้ายไปหลายครั้งแล้ว เสาะหาได้ยากยิ่ง แต่หากอยากตามหามือสังหารของแดนเร้นนภากลับไม่ใช่เรื่องยากเย็น อาศัยยันต์นี้มุ่งหน้าไปยังเขตแดนใจกลางของน่านฟ้าที่เจ็ด แล้วหาชายชรานามว่า ‘เฟยอวิ๋น’ ในเมือง ‘ธารดารา’ ให้พบ ก็สามารถเจอร่องรอยของมือสังหารแดนเร้นนภาพวกนั้นได้”
นัยน์ตาหลินสวินวาววับ กล่าวว่า “ผู้นำยอดเขา ให้ข้ายืมใช้ยันต์หยกนี่ได้หรือไม่”
ฉินอู๋อวี้ยิ้มพลางยื่นยันต์หยกให้หลินสวิน “หากเป็นเมื่อก่อนข้าย่อมไม่ยอมให้เจ้าไปทำเรื่องเช่นนี้แน่ แต่ตอนนี้เจ้ามุ่งหน้าไปสักเที่ยวกลับเหมาะสมยิ่งนัก”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้จะให้ผู้อาวุโสโม่หลันซานไปเป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่”
หลินสวินส่ายหน้า “ข้าคนเดียวก็พอ ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสโม่อีกแล้ว”
“เช่นนั้นระหว่างทางเจ้าต้องระวังด้วย”
ฉินอู๋อวี้ใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “หากให้พวกคนในลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราที่มองเจ้าเป็นศัตรูเหล่านั้นรู้เรื่องที่เจ้าจะมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เจ็ด เกรงว่าจะเกิดเคราะห์สังหารไม่น้อย”
“ผู้นำยอดเขาวางใจได้ ข้าย่อมมีวิธีปกป้องชีวิต หากพวกเขากล้าเคลื่อนไหวอะไรจริงๆ ข้าจะมอบผลลัพธ์ที่ยากจะรับไหวให้พวกเขา”
หลินสวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังออกจากยอดเขาที่เก้า หลินสวินก็มุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณของแดนแรกเริ่มทันที
เมื่อมาถึงที่นั่นก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยสายหนึ่ง
เป็นจินจงเยวี่ย!
เขาในตอนนี้ไม่ใช่รองผู้ดูแลแล้ว หากแต่เป็นศิษย์คนหนึ่งคอยดูแลที่นี่ สำหรับคนรุ่นอาวุโสระดับอมตะเช่นเขา นี่เป็นหน้าที่ที่น่าอับอายยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ก็เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว
เมื่อมองเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวแต่ไกล สีหน้าของจินจงเยวี่ยพลันอึมครึมลง นัยน์ตามีแววแค้นอย่างไม่อาจควบคุม และมีแววกริ่งเกรงอยู่เช่นกัน
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจเขา เดินตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ไม่นานเงาร่างก็อันตรธานหายไป
จินจงเยวี่ยเดินเข้าไปสำรวจกลิ่นอายของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณโดยละเอียด จากนั้นอดเลิกคิ้วไม่ได้ เจ้าหมอนี่ออกไปข้างนอกครั้งนี้จะไปทำอะไรอีก
ขณะครุ่นคิดเขารีบหยิบม้วนหยกส่งสารออกมาบันทึกข้อมูลที่หลินสวินออกไปข้างนอก แล้วส่งออกไปทันที
“หลินสวินหนอหลินสวิน เจ้าไม่ควรทำอะไรสุดโต่งเกินไป เจ้าแย่งตำแหน่งข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ…”
หลังจากทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ ในใจจินจงเยวี่ยก็เบิกบานไม่น้อย
น่านฟ้าที่เจ็ด
เขตแดนใจกลาง
เมื่อมาถึงโลกภายนอกอีกครั้ง ในใจหลินสวินก็อดทอดถอนใจระลอกหนึ่งไม่ได้
หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ เขาและศิษย์พี่จวินหวนมาถึงน่านฟ้าที่เจ็ดพร้อมกัน กบดานอยู่ในตรอกธรรมดาสายหนึ่งในเมืองจันทร์เหมันต์ เปิดร้านค้านามว่าเรือนปรกเมฆอยู่ที่นั่น
ที่นั่นเขายังเคยได้รู้จักกับแม่นางน้อยนั่วนั่วที่น่ารักแสนซนคนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางฝึกปราณอยู่ที่สำนักกระบี่แรกวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง…
หลินสวินส่ายหน้าน้อยๆ เอามือไพล่หลัง เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเร่งออกเดินทาง
สิบวันให้หลัง
เมืองธารดารา
ยามค่ำคืนโคมไฟในเมืองดุจมังกร พร่างพราวบาดตา ดวงดาราแต่งแต้มบนเวิ้งฟ้า หลั่งรินดุจลำธารแห่งดารามาบรรจบกัน
ชื่อของเมืองธารดาราได้มาจากเหตุนี้
ทันทีที่หลินสวินเข้าเมือง คลื่นเสียงครึกครื้นจอแจก็ลอยปะทะเข้ามา บนตรอกเล็กถนนใหญ่ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสัน การสัญจรพลุกพล่าน เสียงตะโกนและเสียงหัวเราะสนทนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศคึกคัก สรรพสิ่งร้อยพัน ล้วนส่องสะท้อนในครรลองสายตา
ส่วนหลินสวินก็เหมือนคนผ่านทางคนหนึ่งที่เดินอยู่ในนั้น สัมผัสถึงอารมณ์หลากหลายท่ามกลางเสียงคึกคักจอแจด้วยท่าทางสบายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังน่านฟ้าที่เจ็ดอีกครั้งหลังจากที่เข้าลัทธิแรกกำเนิดจนถึงตอนนี้
เพียงแต่สภาวะจิตแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว
…………………..