Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2758 เคราะห์สังหารมาเยือนอีกครั้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2758 เคราะห์สังหารมาเยือนอีกครั้ง
เนื่องจากมีความผิดพลาดในการลงไฟล์ต้นฉบับตอนที่ 2758 เคราะห์สังหารมาเยือนอีกครั้ง จึงทำให้เนื้อหาที่ลงเป็นเนื้อหายังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อักษร ทั้งนี้ ทางสำนักพิมพ์ได้ดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ทางทีมงานจะระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก และต้องขออภัยอีกครั้งค่ะ
“ศิษย์น้องเล็ก!?”
ใบหน้าดำคล้ำของชายชาวนาเผยความประหลาดใจที่หาได้ยาก จากนั้นเขาพลันยิ้ม “ฮ่าๆ คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ”
ไม่ไกลนักร่างผอมบางและบาดเจ็บนั้นก็ชะงักไปเช่นกัน ก่อนหัวเราะอย่างผ่าเผย “ไม่ได้เจอกันนานมาก โชคดีจริงๆ!”
เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้ง สีหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน กล่าวว่า “ศิษย์พี่ผู้เจิน ศิษย์พี่เสวี่ยหยา พวกท่าน… กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
การพบกันอีกครั้งหลังจากไม่เจอกันนาน เดิมควรเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
แต่เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ทั้งสอง หลินสวินกลับเป็นกังวลขึ้นมาอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร ได้เจอพวกร้ายกาจของลัทธิฌานสองสามคนเลยได้สู้กันยกหนึ่ง”
ผู่เจินยิ้มซื่อๆ
“เฮ้อ ดูท่าสภาพน่าอนาถของพวกเราคงทำให้ศิษย์น้องเป็นกังวลแล้ว”
เสวี่ยหยารีบใช้วิชาลับฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและคราบเลือด กระทั่งผมยาวยุ่งเหยิงยังลูบจนเรียบ ทั้งร่างพลันดูไม่สะบักสะบอมขนาดนั้นแล้ว
แต่ใบหน้าของเขายังซีดขาว พลังขับเคลื่อนก็ปั่นป่วนอยู่เล็กน้อย เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง
หลินสวินล้วนเห็นทุกอย่าง กล่าวว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองเข้ามาพักในเรือนก่อน ค่อยพูดคุยกันระหว่างรักษาแผล”
“ดี”
ผู่เจินและเสวี่ยหยาต่างตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
ภายในห้อง
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนนั่งขัดสมาธิ หลินสวินรินน้ำชาให้พวกเขาสองคนด้วยตัวเอง
“เจ้าตั้งใจรักษาบาดแผล ข้าจะคุยกับศิษย์น้องเล็กเอง”
ผู่เจินกำชับเสวี่ยหยา อาการบาดเจ็บของฝ่ายหลังร้ายแรงยิ่ง ต้องรีบรักษาตัวโดยเร็ว
“เฮ้อ บาดเจ็บเช่นนี้ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเผชิญมาก่อน ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลมากไป ข้า…”
เสวี่ยหยายังพูดไม่จบ ก็ถูกผู่เจินถลึงตาใส่ จึงหุบปากทันที ทำสมาธิอย่างเชื่อฟัง
หลินสวินอดหัวเราะไม่ได้ มองออกว่าศิษย์พี่เสวี่ยหยาที่เมื่อก่อนมีฉายาว่า ‘จอหงวนมรรคจักรพรรดิ ท่องคัมภีร์สะท้านทั่วทิศ’ นั้นเกรงกลัวศิษย์พี่ผู่เจินอย่างแท้จริง
“ศิษย์น้อง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ผู่เจินถาม
หลินสวินเล่าเรื่องทั้งหมดที่เขาประสบตั้งแต่ออกจากหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินฆ่าสี่มารแห่งแดนเร้นนภา ผู้เจินก็ประทับใจยิ่ง
“ศิษย์น้องเล็กเจ้า… นับว่ามีความสามารถแล้ว”
เขาทอดถอนใจ บนใบหน้าดำคล้ำเต็มไปควายความปิติ
นึกถึงครั้งแรกที่เจอหลินสวิน ฝ่ายหลังมีมรรควิถีเพียงระดับอริยะ
ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง เขากลายเป็นผู้โดดเด่นในมรรคาอมตะแล้ว สามารถสังหารสี่มารได้ด้วยตัวคนเดียว!
“ศิษย์พี่ พวกท่านเล่า”
หลังจากเล่าเรื่องตัวเอง หลินสวินก็ผู่เจินบ้าง
ศิษย์พี่จวินหวนเคยบอกว่า พวกศิษย์พี่ใหญ่จักรพรรดิสงครามยุทธ์ ศิษย์พี่ห้าชื่อจวิน ศิษย์พี่แปดปู่ซ่วนจื่อ ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจิน ศิษย์พี่สิบสองเซิ่นเหยียน ศิษย์พี่สิบสามหลี่เสวียนเวยหกคน มุ่งหน้าไป ‘แดนยอดจักรวาล’ เมื่อหลายปีก่อนหน้า ว่ากันว่าเพื่อตามหามหาศุภโชคที่เกี่ยวกับ ‘การหลุดพ้น’
ส่วนพวกศิษย์พี่เสวี่ยหยา ศิษย์พี่ชิงถิง ศิษย์พี่เฉิงอวี๋เหล่านี้ มุ่งหน้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณพร้อมกับศิษย์พี่สาม
แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ผู่เจินที่มุ่งหน้าไปแดนยอดจักรวาล กลับมาอยู่กับศิษย์พี่สามไปหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ ทั้งยังถูกผู้แข็งแกร่งของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานทำร้ายบาดเจ็บ นี่น่าแปลกอย่างมาก
“พูดแล้วเรื่องมันยาว”
ผู่เจินเงียบลง ราวกับกำลังไตร่ตรองและใคร่ครวญ
ศิษย์พี่เสวี่ยหยาที่หลับตาอยู่ข้างๆ กลับเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์พี่ ท่านฝีปากทื่อ ให้ข้าพูดดีกว่า ศิษย์น้องเล็ก เรื่องเป็นเช่นนี้…”
จากนั้นเขาก็เล่าอย่างน้ำไหลไฟดับ
ไม่อาจไม่พูดว่าศิษย์พี่เสวี่ยหยาสมกับที่เป็นบัณฑิตคงแก่เรียน คำพูดคำจางดงาม เล่าถึงเรื่องที่หลินสวินอยากรู้ได้อย่างมีชีวิตชีวา
ผู่เจินเองก็จนคำพูด เขารู้เช่นกันว่าตัวเองพูดไม่เก่ง แม้จะกังวลอาการบาดเจ็บของเสวี่ยหยา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตัดบทคำพูดของเสวี่ยหยา
เมื่อเสวี่ยหยาเล่าจบ หลินสวินถึงเข้าใจในที่สุด
อันที่จริงเรื่องไม่ได้ซับซ้อน
พวกศิษย์พี่ผู่เจินไปเสาะหาศุภโชค ‘หลุดพ้น’ ที่แดนยอดจักรวาลกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่กลับพบเจอการสกัดขวางโจมตีจากหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน
สุดท้ายแม้พวกศิษย์พี่ใหญ่จะชิงศุภโชคที่เกี่ยวข้องกับการทะลวง ‘ขั้นหลุดพ้น’ นั้นมาได้ แต่กลับถูกกำลังพลของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานขังไว้ในแดนยอดจักรวาล
หอบรรพจารย์ลัทธิฌานร้ายกาจยิ่ง วางแหฟ้าตาข่ายดินปิดผนึกแดนยอดจักรวาล ทั้งยังร่วมมือกับขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่แปดกลุ่มหนึ่ง คอยควบคุมอยู่นอกแดนยอดจักรวาล
แต่แม้จะถูกขัง พวกศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ได้ถูกโจมตีถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต ซ่อนตัวอยู่ในเขตผนึกแห่งหนึ่งในแดนยอดจักรวาลมาตลอด จึงสามารถรักษาชีพได้โดยไร้กังวล
อีกทั้งตามความคิดของพวกศิษย์พี่ใหญ่ตอนนั้น ก็ไม่ได้จะรีบไปจากแดนยอดจักรวาล แต่วางแผนว่าจะรอจุดเปลี่ยน ให้พวกศิษย์พี่ห้าชื่อจวิน ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจินทะลวงขั้นหลุดพ้นได้เช่นกัน
และก็ผ่านไปเช่นนั้นสิบกว่าปีแล้ว
ที่ทำให้พวกศิษย์พี่ใหญ่คิดไม่ถึงก็คือ ยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นเคลื่อนไหว ส่งข่าวไปยังพวกศิษย์พี่สามที่อยู่ในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ…
ว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่ถูกปิดล้อม ชีวิตคับขันอันตราย!
แม้ศิษย์พี่สามรั่วซู่จะมองออก ว่านี่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นแผนร้ายของยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้น
แต่เพราะกังวลในสถานการณ์ของพวกศิษย์พี่ใหญ่ จึงส่งศิษย์พี่เสวี่ยหยาไปสืบข่าวที่แดนยอดจักรวาลเพียงคนเดียว
เพียงแค่สืบข่าว แค่หนึ่งคนก็พอแล้ว
อีกทั้งในมือศิษย์พี่เสวี่ยหยายังมีไพ่ตายอยู่ เพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์อันตรายบางส่วนได้
แต่พวกเขายังคงประเมินความมุ่งมาดของหอบรรพจารย์ลัทธิฌานและยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นต่ำไป ยามศิษย์พี่เสวี่ยหยามุ่งหน้าไปแดนยอดจักรวาล ก็เจอกับการซุ่มโจมตี
หอบรรพจารย์ลัทธิฌานส่ง ‘จอมมุนี’ ขั้นหลุดพ้นหนึ่งคน กับ ‘เจ้าธรรม’ ขั้นดับเทพสี่คนออกเคลื่อนไหวด้วยกัน เข้าโจมตีศิษย์พี่เสวี่ยหยา
ในช่วงคับขัน ศิษย์พี่ผู้เจินปรากฏตัวถึงช่วยเสวี่ยหยาออกมาได้ และย้อนกลับมายังเรือนเมฆปรกนี้
ได้ยินดังนี้หลินสวินก็ตกใจยิ่ง
แม้ว่าศิษย์พี่เสวี่ยหยาจะเล่าอย่างไม่สะทกสะท้าน คำพูดงดงาม แต่เบื้องหลังเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยอันตรายยิ่งยวด!
หลังจากสงบสติอารมณ์ หลินสวินก็อดถามไม่ได้ “ศิษย์พี่ผู่เจิน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าศิษย์พี่เสวี่ยหยากำลังลำบากอยู่”
ผู่เจินกล่าว “แม้จะถูกขังในแดนยอดจักรวาล แต่อาศัยวิชาลับพรสวรรค์ของศิษย์พี่ปู่ซ่วนจื่อ กลับทำให้พวกเราสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวและการสนทนาของศัตรูที่โลกภายนอกได้”
“เมื่อรู้ว่าศัตรูพวกนั้นส่งข่าวออกไป ล่อให้พวกศิษย์พี่สามมาแดนยอดจักรวาล พวกเราก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงแล้ว”
“ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งคนออกไปหนึ่งคน เพื่อไปแจ้งไม่ให้พวกศิษย์พี่สามมา”
“จากนั้นพวกศิษย์พี่ใหญ่ก็ลงมือพร้อมกัน ใช้ศึกใหญ่ชิงโอกาสมาให้ข้าแหวกฝ่าวงล้อม”
“และจากนั้นข้าก็เจอศิษย์น้องเสวี่ยหยาระหว่างทาง หลังจากช่วยเขาออกมาก็หนีมาถึงที่นี่”
ศิษย์พี่ผู้เจินไม่เสียทีที่มีนิสัยเหมือนท่อนไม้ คำพูดคำจาไร้รสชาติ พูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคก็จบแล้ว
หลินสวินได้แต่จินตนาการภาพการต่อสู้น่าตะตะลึง อันตรายและนองเลือดนั้นในสมองตัวเอง
แต่ยังดีที่แม้คำพูดของศิษย์พี่ผู่เจินจะเรียบง่ายไปบ้าง แต่ก็อธิบายได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“พวกศิษย์พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” หลินสวินเอ่ยถาม
ผู่เจินกล่าว “ล้วนบาดเจ็บ นอกแดนยอดจักรวาลมีเฒ่าชราขั้นหลุดพ้นเฝ้าอยู่อย่างน้อยที่สุดสิบคน ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ที่แจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นแล้วสกัดขวางเคราะห์สังหารได้ด้วยตัวเองคนเดียว ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงมาก”
ในใจหลินสวินบีบรัด
เสวี่ยหยาที่อยู่ด้านข้างยิ้มปลอบว่า “ศิษย์น้องวางใจ ศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของพวกเรามีอันตรายยิ่งใหญ่น่ากลัวอะไรที่ไม่เคยเผชิญบ้าง ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก”
ผู่เจินพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ นี่ก็เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้ามาบอกพวกเจ้าหลังออกมา พวกเจ้าจัดการเรื่องของตนไปเป็นพอ ไม่ต้องกังวลเรื่องแดนยอดจักรวาล”
เสวี่ยหยาที่อยู่ด้านข้างคล้ายยังกังวลว่าหลินสวินจะไม่เข้าใจ จึงกล่าวเสริมอีกว่า “พวกศิษย์พี่ใหญ่หลบอยู่ในแดนยอดจักรวาล ก็ไม่ต้องกังวลาว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าพวกเราปรากฏตัวไปช่วยเหลือ กลับจะกลายเป็นตกลงไปในกับดักที่ศัตรูพวกนั้นตั้งใจวางไว้”
“ดังนั้นพวกศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้พยายามส่งศิษย์พี่ผู่เจินออกมาเต็มที่ เพื่อมาบอกพวกเรา ให้พวกเราจัดการเรื่องของตน ไม่ต้องถูกผลกระทบจากเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่าพวกเราติดกับแล้ว”
เสวี่ยหยาเอ่ยออกมายืดยาว ส่วนผู่เจินกลับเอ่ยออกมาคำเดียวว่า “ใช่”
“แต่ถ้าหาก…”
หลินสวินเพิ่งเอ่ยปาก ก็ถูกเสวี่ยหยาตัดบท “ไม่มีถ้าหาก”
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราจะไปช่วยศิษย์พี่ใหญ่เมื่อไร”
“รอพวกศิษย์พี่สามจัดการเรื่องในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณสำเร็จ รอเจ้าศิษย์น้องเล็กจัดการเรื่องในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดสำเร็จ” เสวี่ยหยาเอ่ยอย่างจริงจัง
หลินสวินใจสะท้าน “กลายเป็นหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์หรือ นั่นไม่ใช่ยังต้องรอไปเกือบร้อยปีเลยหรือ”
ผู่เจินกล่าวเสียงต่ำ “พวกเรารอได้ พวกเขารอไม่ไหว”
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ต้องกังวลแล้ว พวกเราคีรีดวงกมลรอมากี่กาลเวลาแล้ว กว่าจะมีสถานการณ์เช่นวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ต้องรีบ”
เสวี่ยหยายิ้มอ่อนโยน เสียงสดใส “ตัวแปรสามารถปรากฏขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขากลับได้แต่เฝ้าอยู่นอกแดนยอดจักรวาล และทุกการกระทำของพวกเขาล้วนถูกพวกเรามองเห็น นี่ก็คือข้อได้เปรียบของพวกเรา”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ตอนนี้พวกเขาวางกระบวนทัพยิ่งใหญ่เช่นนั้น เป็นการพิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขารับรู้ได้ถึงภัยคุกคามจากพวกเราอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายอะไร หากเป็นเมื่อก่อน นอกจากอาจารย์แล้ว พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลล้วนไม่ถูกพวกเขาเห็นอยู่ในสายตา”
สภาวะจิตของหลินสวินค่อยๆ สงบลง เอ่ยว่า “เช่นนั้นต่อไปศิษย์พี่ทั้งสองคิดจะทำอะไร”
ผู่เจินกับเสวี่ยหยาสบตากันปราดหนึ่ง เสวี่ยหยาเอ่ยว่า “ไปหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ เตือนพวกศิษย์พี่สามว่าอย่าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ แล้วพลันถามว่า “ศิษย์พี่ อาจารย์เขา… ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…”
นี่เป็นข้อสงสัยใหญ่ที่สุดในใจเขา
เพราะศัตรูพวกนั้นในน่านฟ้าที่แปดล้วนกล่าวว่า เจ้าแห่งคีรีดวงกมลประสบเคราะห์ดับสิ้นไปแล้วตั้งแต่ปีที่จะมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่เก้า
“ยังมีชีวิตอยู่” ผู่เจินพูดเรียบๆ
“ต้องมีชีวิตอยู่แน่” เสวี่ยหยาเอ่ยอย่างหนักแน่น
ไม่ว่าใครก็เห็นชัดว่ามั่นใจยิ่ง
“เช่นนั้นตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ไหนหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้
เสวี่ยหยาหัวเราะเบิกบาน “ฮ่าๆๆ นี่พวกเราก็ไม่รู้ พวกเราแค่ต้องทำเรื่องของตัวเองก็พอ”
ผู่เจินก็พยักหน้าเช่นกัน ขณะกำลังจะพูดอะไร
ก็เป็นตอนนี้เองที่เสียงทุ้มหนาดุจระฆังยามเช้ากลองยามค่ำดังขึ้น
“สหายยุทธ์เสวี่ยหยาหัวเราะเบิกบานเช่นนี้ คงไม่ใช่คิดว่าหนีพ้นคราวเคราะห์นี้ได้จริงๆ กระมัง”
ทุกคำล้วนมีพลังแปลกประหลาดประหนึ่งสะเทือนหู ทะลวงใจคน
ที่มาพร้อมกับเสียงกึกก้องนี้ คือกลิ่นอายมงคล วิเวก และเคร่งขรึมที่บอกไม่ถูก อัดแน่นอยู่ทุกอณูในเรือนโดยพลัน
…………………..