Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2759 ลาหัวโล้น มาสู้กัน!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2759 ลาหัวโล้น มาสู้กัน!
ทันทีที่เสียงยิ่งใหญ่น่าเกรงขามนั่นดังขึ้น ผู่เจินก็เริ่มเคลื่อนไหว
โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
เงาร่างของเขา หลินสวินและเสวี่ยหยาหายไปในอากาศ
ความเร็วว่องไวยิ่ง ทำให้หลินสวินยังตอบสนองไม่ทัน!
ตูม!
ทันใดนั้นฟ้าดินสะเทือนไหวระลอกหนึ่ง ดุจดั่งอสนีเทพเก้าชั้นฟ้าร้องคำราม
“ลาหัวโล้นเฒ่า เหตุใดเป็นพวกเจ้าอีกแล้ว!”
เสียงของเสวี่ยหยาดังขึ้น เผยแววเย็นชา
“แค่ศึกแห่งสำนักเท่านั้น หากทุกท่านโอนอ่อนตามลัทธิฌานของข้า เคราะห์สังหารครั้งนี้ย่อมสลายไป”
เสียงยิ่งใหญ่ สงบนิ่ง น่าเกรงขามดังขึ้น
เมื่อภาพเบื้องหน้าสายตาของหลินสวินกลับมาชัดอีกครั้ง
ก็มองเห็นฟ้าดินเวิ้งว้าง แสงทองส่องอร่าม เมฆมงคลดุจสมุทร มีเสียงธรรมเป็นระลอกดังก้อง ประหนึ่งโลกสุขาวดีในตำนาน
ไกลออกไปเงาร่างห้าสายยืนตระหง่าน
เงาร่างผอมแห้งที่เป็นผู้นำคิ้วขาวเรียวยาว ใบหน้าซูบตอบ ฝ่าเท้าเหยียบบนแท่นบัวเขียวมรกตสามสิบหกกลีบ ท้ายทอปรากฏจักรเทพสายหนึ่ง ภายในนั้นมีโลกธรรมไพศาลใบหนึ่ง ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
ในมือเขายังถือวัชระทองม่วงด้ามหนึ่ง
ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้น ดุจดั่งนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวกลางฟ้าดิน ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงมีบุปผาสวรรค์โปรยปราย เสียงธรรมกึกก้อง ประกายเทพแสงมลคลนับไม่ถ้วนพร่างพรม
ทำให้คนมองอยู่ไกลๆ ล้วนเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยยำเกรง!
และในสายตาหลินสวิน สิ่งที่มองเห็นคล้ายไม่ใช่คนผู้หนึ่ง หากแต่เป็นร่างมหามรรคสูงสุดสายหนึ่ง หลุดพ้นเหนือโลกีย์ ขับเคลื่อนเหนือสรรพชีวิต มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เหยียดหยันทั่วหล้า!
นี่น่าสะพรึงยิ่ง!
ด้านหลังภิกษุเฒ่าผอมแห้งคนนี้ยังมีเงาร่างสี่สายยืนอยู่ ล้วนห่มจีวร นุ่งชุดธรรม สวมรองเท้าฟาง รอบตัวแต่ละคนกลิ่นอายอมตะไหลเวียน ส่องแสงสว่างเรืองรองไร้สิ้นสุด
พวกเขาคนหนึ่งมือถือลูกประคำสีขาวหิมะ เงาร่างลอยเหนือละอองแสงเมฆมงคล
คนหนึ่งมือถือบรรทัดทัณฑ์สีดำ ดุจดั่งรูปปั้นทองกราดเกรี้ยว รอบตัวปรากฏภาพธรรมสถูป
คนหนึ่งถือคทาขักขระไม้แห้ง ปราศจากกลิ่นอาย ราวนิ่งงันจมในความเงียบ
คนหนึ่งรอยยิ้มโอบอ้อมเป็นมิตร มือถือโคมสำริด
ผู้บำเพ็ญฌานห้าคนควบคุมฟ้าดินแถบนี้ อานุภาพของพวกเขาดุจแสงทองมหามรรค ซึมแทรกภูผาธารา ส่องสะท้อนใต้หล้า สว่างโรจน์ไร้ขอบเขต!
“ศิษย์น้องเล็ก ลาหัวโล้นเฒ่าที่เป็นผู้นำฉายาธรรม ‘ชื่อเย่’ หนึ่งในเก้าจอมมุนีลัทธิฌาน มรรควิถีขั้นหลุดพ้น สี่คนที่เหลือเป็นจอมธรรมของลัทธิฌาน ได้แก่ หงเคอ หงจิ่ง หงอี้ และหงหย่วน แต่ละคนล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพ”
เสียงของศิษย์พี่เสวี่ยหยาดังขึ้นในใจหลินสวิน ‘เป็นลาหัวโล้นพวกนี้ที่ทำร้ายข้าเจ็บหนักก่อนหน้านี้ไม่นาน โชคดีที่ได้ศิษย์พี่ผู่เจินช่วยเหลือจึงหนีกลับเรือนเมฆปรกได้ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะถึงกับไล่ตามมา’
เสียงเจือแววแปลกพิกลและเย็นชา ‘สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้นามว่า ‘โลกธรรมแสงทอง’ สร้างขึ้นจาก ‘ระเบียบแสงทอง’ หนึ่งในเจ็ดระเบียบใหญ่ของลัทธิฌาน มีฉายาว่าแดนพิสุทธิ์แห่งธรรม นรกแห่งมาร หากถูกขังไว้ภายใน มรรควิถีในตัวจะถูกควบคุมอย่างน่ากลัว’
‘อีกเดี๋ยวหากเปิดศึก ข้าและศิษย์พี่ผู่เจินจะลงมือสุดกำลังเพื่อเปิดทางรอดให้เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งเจ้าออกไป’
ขณะพูดเสียงธรรมไกลออกไปดังอึงอล คล้ายเสียงมุนินทร์ท่องคัมภีร์ จอมมุนีชื่อเย่เอ่ยปาก “หากข้ามองไม่ผิด คนที่อยู่ข้างๆ พวกเจ้าคือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลลำดับที่ห้าสิบหลินสวินใช่หรือไม่”
ส่วนลึกนัยน์ตาเขาปรากฏรอยประทับดอกบัวทองอร่าม แสงเร้นลับพวยพุ่ง มองสำรวจหลินสวิน เผยความแปลกใจและคาดไม่ถึง
จอมธรรมอีกสี่คนก็สีหน้าแปลกไป คล้ายนึกไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวไล่ล่าสังหารผู่เจินและเสวี่ยหยาครั้งนี้ ยังจะบังเอิญพบกับชายหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าคนนี้เข้า
“พูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
ผู่เจินเอ่ยปากเสียงขรึม เงาร่างสูงใหญ่ของเขามีกฎเกณฑ์มหามรรคเดือดพล่านซัดโหม แปลงเป็นภาพมรรคลึกลับซ่อนเร้นหลายม้วนๆ ขวางอยู่เบื้องหน้าเขาและหลินสวิน
“ไม่มีประโยชน์จริงๆ แค่จะตัดสินแพ้ชนะ ไยต้องพูดพล่าม”
เสวี่ยหยากล่าวเรียบเฉย มือเขาถือม้วนตำราม้วนหนึ่ง กลิ่นอายไพศาลทั่วร่างพุ่งเสียดฟ้า อาภรณ์โบกสะบัด ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายประดุจเมฆาหมื่นกาล
จอมมุนีชื่อเย่ที่อยู่ไกลออกไปกล่าวเรียบๆ “นี่ไม่ใช่พูดพล่าม หากเจ้าหมอนี่ยอมจำนนต่อลัทธิฌานของข้า ความทุ่มเทที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรอคอยมาหมื่นกาลก็จะทลายลงทันที สำหรับพวกข้าย่อมเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในโลก”
“น่าขัน”
เสวี่ยหยาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง กลางฟ้าดินปรากฏอักษรมรรคที่ประดุจสร้างขึ้นจากทองเทพเป็นแถวๆ เปล่งแสงเรืองรองหอบม้วนออกไป
กลิ่นอายไพศาลเพียงเล็กน้อยก็ล่องลอยไปไกลในสายลมพันลี้!
“โอม!”
จอมธรรมหงเคอก้าวออกมา ตวัดประคำสีขาวหิมะในมือขึ้นแล้วพนมสองมือ
ตูม!
ลูกประคำสีขาวหิมะมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดลูก แปลงเป็นเงาร่างมุนินทร์หนึ่งร้อยแปดสายในห้วงอากาศ แต่ละสายล้วนโบกขยับสำแดงมรดกสูงสุดของลัทธิฌาน
เสียงสนั่นอึงอลที่สะเทือนรุนแรงดังกึกก้อง อักษรมรรคแถวหนึ่งของเสวี่ยหยาถูกซัดกระจุย กลายเป็นละอองแสงสาดกระจาย
และในเวลาเดียวกันจอมมุนีชื่อเย่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสวี่ยหยา เจ้าบาดเจ็บสาหัส เป็นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้ว หากสู้ต่อไปมีแต่จะทำให้บาดเจ็บถึงรากฐานมหามรรค ขอเตือนเจ้าว่าอย่าคิดเข่นฆ่าด้วยโทสะอีก”
เสวี่ยหยาเลิกคิ้ว หัวเราะลั่นกล่าวว่า “พูดพล่ามอะไร ข้าไม่ใช่ลาหัวโล้นเสียหน่อย เหตุใดต้องเชื่อฟังพวกเจ้า ข้าจะลงมือแล้วจะทำไม!”
ขณะพูดเขาก็ฉีกม้วนตำราในมือออกหนึ่งหน้า แล้วโบกมือคราหนึ่ง
ปราณกระบี่ไพศาลสายหนึ่งควบรวม ยาวพันฉื่อ อานุภาพดุจสายรุ้งพุ่งพาดกลางอากาศ อานุภาพหนึ่งกระบี่เสมือนจะเปิดฟ้าแยกแผ่นดิน
ยอดชาตรีพกกระบี่ท่องทั่วหล้า ร่ำสุราท่องกวีเบิกบานจิต!
จอมมุนีชื่อเย่ขมวดคิ้ว ครั้งนี้ไม่รอให้สี่จอมธรรมลงมือ ในแท่นบัวเขียวมรกตสามสิบหกกลีบใต้เท้าเขาพลันมีแสงธรรมสายหนึ่งพุ่งออกมา โจมตีออกไป
ปึง!
แสงธรรมนั่นคมกริบไร้ทัดเทียม โจมตีปราณกระบี่แหลกกระจุยได้โดยง่าย ก่อนพุ่งไปหาเสวี่ยหยาด้วยพลังเหลือล้นไม่ลดทอน
นี่คือพลังแห่งขั้นหลุดพ้น แสงธรรมสายเดียวสามารถกำราบวัฏจักรทั่วหล้า!
“ข้าเอง!”
ผู่เจินซัดหมัดอย่างแรง รับง่ายๆ โดยตรง แต่กลับมีอานุภาพทะลุทะลวง นอกจากข้าไม่มีใครเทียม
ตูม!
โลกธรรมแสงทองสั่นโคลง ดุจทะเลเมฆมงคลถูกมือใหญ่ชกแหลกกระจุย ปลิวกระจายราวปุยนุ่น สลายเป็นสายๆ สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน พลังอมตะพลุ่งพล่านไร้เทียมทานหอบม้วนแผ่กว้าง
หลินสวินรู้สึกเพียงเบื้องหน้าเจ็บแปลบ ในใจรับรู้ถึงแรงกดดันถึงขีดสุด รู้สึกหายใจไม่ออก!
เพราะการปะทะกันระดับนี้อยู่เหนือขั้นอายุขัยเทียมฟ้าไปแล้ว แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ
หากไม่เพราะตอนนี้เขามีความสามารถแฝงที่ประหนึ่งยอดอมตะ เกรงว่าคงไม่สามารถยืนอยู่ที่นี่ได้สักนิด คงถูกพลังระดับนั้นกวาดถล่มในพริบตานานแล้ว!
เงาร่างของผู่เจินโคลงเคลง กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงคำหนึ่ง ใบหน้าดำเข้มของเขาไร้สีเลือด
“ศิษย์พี่!”
เสวี่ยหยาหวั่นใจ
ผู่เจินยกปากยิ้มกล่าว “พลังของขั้นหลุดพ้นกร้าวแกร่งจริงๆ แต่ยังฆ่าข้าไม่ตายหรอก เจ้าอย่ากังวลใจ”
เขาสูดหายใจลึก อานุภาพทั่วร่างยิ่งน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ
ไกลออกไปจอมมุนีชื่อเย่และสี่จอมธรรมล้วนสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ นั่นเป็นท่าทีกำชัยมั่นเหมาะอย่างหนึ่ง วางตัวเรียบง่ายสบายๆ
“ไพ่ตายของพวกเจ้า ส่วนใหญ่คงใช้ในการต่อสู่ก่อนหน้านี้หมดแล้ว ตอนนี้เท่ากับอับจนหนทาง จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับหนึ่งห้วงคิดของพวกเรา”
จอมมุนีชื่อเย่เอ่ยปาก ดุจระฆังใหญ่ดังกังวาน กึกก้องทั่วหล้า “ข้าตัดใจทำลายความทุ่มเทที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรอคอยหมื่นกาลไม่ลง ดังนั้นจึงไม่เคยลงมือขั้นรุนแรง ตอนนี้ข้าจะให้พวกเจ้าพิจารณาในสิบลมหายใจ หากยอมจำนนต่อสำนักข้าจะได้รับชีวิตใหม่ หาไม่ข้าก็ได้แต่ใช้พลังพิทักษ์มรรค กำจัดศัตรูนอกคอกเท่านั้น”
เขาสีหน้าสงบเคร่งขรึม
“ฮ่าๆๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ศึกระหว่างสำนักก็ไม่ตายไม่เลิกราทั้งสิ้น เลิกพูดพล่ามแล้วลงมือตรงๆ ดีกว่า!” เสวี่ยหยาหัวเราะลั่น กลิ่นอายยิ่งกร้าวแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
บุรุษแม้นตายใจดุจเหล็ก!
“คีรีดวงกมลของข้าไม่เคยมีคนทรยศ”
ผู่เจินเอ่ยเสียงหนักและเด็ดขาด
จอมมุนีชื่อเย่ที่อยู่ไกลออกไปพยักหน้า กล่าวเรียบๆ “เดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าจะโปรดสัตว์ให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง”
เขาชูวัชระทองม่วงในมือขึ้น
ตูม!
กลางฟ้าดินพลันปรากฏพลังระเบียบแสงทองที่ใหญ่หนาราวงูมังกรนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนรวมตัวไปทางวัชระทองม่วง ทำให้สมบัตินี้ดุจลำแสงหมื่นจั้ง ประหนึ่งตะวันดวงใหญ่ที่ลุกโชนในทันที
กลิ่นอายน่าสะพรึงถึงชีวิตที่ไม่อาจพรรณนาทะลักสู่กลางใจผู่เจิน เสวี่ยหยา และหลินสวินในพริบตา
“ลงมือพร้อมกัน เปิดทางรอดให้ศิษย์น้องเล็ก!”
ผู่เจินกล่าวเสียงต่ำ
ในมือเขาปรากฏจอบสีดำด้านเล่มหนึ่ง พลังขับเคลื่อนบนตัวประดุจภูเขาไฟระเบิด บังเกิดสภาวะบ้าคลั่งรุนแรง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เสวี่ยหยากล่าวยิ้มบางๆ กลิ่นอายไพศาลทั่วร่างสะเทือนฟ้าดิน ท่ามกลางความเลือนรางมีเสียงท่องคัมภีร์มหามรรคดังกึกก้องอึงอล
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจสู้สุดชีวิต เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ของจอมมุนีชื่อเย่
ตูม!
ไกลออกไปสีหน้าจอมมุนีชื่อเย่สงบเคร่งขรึม โบกขยับวัชระทองม่วงในมือ ทันใดนั้นเสมือนมีตะวันสีม่วงดวงใหญ่ดวงหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศ ในตะวันใหญ่มีโลกธรรมสามพัน เสียงธรรมดุจอสนีบาต แสงเรืองรองมหาศาลประชันแสง
การโจมตีนี้น่าสะพรึงเกินไป!
น่าสะพรึงถึงขั้นสามารถทำให้ขั้นดับเทพคนใดก็ตามล้วนรู้สึกสิ้นหวัง!
ผู่เจินและเสวี่ยหยาสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนอดยิ้มไม่ได้ เสมือนปล่อยวางและผ่อนคลายหลังจากทุ่มหมดหน้าตัก
มองความตายดุจกลับบ้านเกิด ปล่อยใจไปด้วยกัน!
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ครั้งนี้ยกให้ข้าเอง”
ทันใดนั้นเสียงของหลินสวินดังขึ้น
ผู่เจินและเสวี่ยหยานัยน์ตาหดรัด เพิ่งหมายจะห้ามปราม
ก็เห็นเงาร่างสูงตระหง่านดุจเทพสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางนภาสูงกะทันหัน
พลังอมตะที่ลำแสงหมื่นจั้ง สว่างจ้าพร่าตา ไพศาลราวสมุทรของเงาร่างนี้แปลงเป็นกฎเกณฑ์รูปกระบี่แสงวูบไหวมหาศาลรายล้อมรอบตัว ส่งเสียงดังชิ้งๆ ดุจกระแสเชี่ยวซัดโหม หอบม้วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ลำพังแค่อานุภาพระดับนั้นก็กดข่มจนโลกธรรมแสงทองนี้พังถล่ม หมื่นชีวิตแตกดับ ปรากฏภาพทำลายล้างน่าสะพรึง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน การโจมตีจากจอมมุนีชื่อเย่ก็เคลื่อนขวางอากาศมาเยือน
ตะวันดวงใหญ่สีม่วงดุจเพลิมโหมบดขยี้ผ่านห้วงอากาศเข้ามา ระเบียบแสงทองแปลงเป็นแสงดุร้ายพร่างพรม ประหนึ่งหมายจะหลอมละลายฟ้าดินให้สิ้นซาก
ตูม!
เงาร่างสูงตระหง่านนั่นเหยียดหยันและอหังการ กระโจนตัวขึ้นไปปล่อยหมัด
ตะวันม่วงลุกโชนแตกระเบิด กระจุยกระจายในการโจมตีเดียว ระเบียบแสงทองไร้สิ้นสุดพุ่งกระเซ็นแผ่กว้าง ฟ้าดินนี้สั่นสะเทือนรุนแรง
พลังหมัดกร้าวแกร่งอหังการระดับนี้ดึงดูดสายตาทุกคนในที่นั้น!
ผู่เจินและเสวี่ยหยาต่างก็สะเทือนไหว ตระหนักได้ว่าแม้นี่จะเป็นรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยอานุภาพน่าสะพรึงของขั้นหลุดพ้น
นี่ย่อมเป็นพลังเจตจำนงของหัวหน้าหอแรกนภาเหยียนจี้!
ไกลออกไปจอมมุนีชื่อเย่หรี่ตาลง ก่อนกลับสู่ความสงบดังเดิม กล่าวว่า “ที่แท้เป็นสหายยุทธ์เหยียนจี้ เหลือเพียงพลังจิต ทิ้งไว้เพียงรูปจำลองเจตจำนง ช่างทำให้คนทอดถอนใจนัก”
แววตกใจบนใบหน้าของสี่จอมธรรมก็จางหายไปเช่นกัน กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
รูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งของหัวหน้าหอแรกนภาเท่านั้น ยังไม่อาจทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวได้อย่างแท้จริง เพราะที่นี่พวกเขามีทั้งจอมมุนีชื่อเย่ มีทั้งโลกธรรมแสงทอง!
“ข้าตกต่ำจนน่าสังเวชขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับทำให้ลาหัวโล้นอย่างพวกเจ้าเริ่มทอดถอนใจเวทนา”
รูปจำลองเจตจำนงของเหยียนจี้แค่นเสียงเย็น กฎเกณฑ์รูปกระบี่ไพศาลทั่วร่างส่งเสียงดังชิ้งๆ อานุภาพระดับนั้นทำให้คนยากจะเชื่อว่ารูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งจะมีได้
ขณะพูดเขาย่างเท้าก้าวขึ้นมา แขนเสื้อสะบัดโบก ตะโกนดังลั่นดุจสายฟ้า “ลาหัวโล้น มาสู้กัน!”
——