Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2769 คนต่อไป
สีหน้าฝูเหวินหลีดูเหมือนสงบยิ่ง แต่อันที่จริงในใจหนักอึ้ง
เขาตระหนักได้อย่างฉับไวว่าสายตาที่คนไม่น้อยในลัทธิแรกกำเนิดรวมถึงหลินสวินมองมาที่ตน ล้วนเจือแววเดือดดาลและผิดหวังรางๆ
เห็นชัดว่าการที่เขาออกมาตำหนิหลินสวินก่อนหน้านี้ทำให้คนมากมายไม่พอใจ
“พี่ฝู เมื่อครู่เจ้าเสียกิริยาอยู่บ้างแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงกล่าวเย็นชา
“ก่อนหน้านี้มีการกำหนดไว้นานแล้ว ว่าการต่อสู้เช่นนี้ห้ามสังหารคน ข้ากำลังเตือนหลินสวินเพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาทำความผิดร้ายแรง เป็นการคิดเพื่อสำนักของพวกเรา ไยจึงบอกว่าเสียกิริยา”
ฝูเหวินหลีกล่าวราบเรียบ
เสวียนเฟยหลิงไม่พูดมากความอีก
การตอบสนองของคนมากมายในลัทธิแรกกำเนิด ก็คือการโจมตีกลับต่อการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของฝูเหวินหลี!
ส่วนหลินสวินก็อาศัยการต่อสู้ครั้งนี้รวบรวมใจของคนทั้งบนล่างในสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย
“คราวหน้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้อีก”
หลินสวินโยนพลังจิตของจิงฉิงเจี่ยออกไปส่งๆ ราวกับเศษขยะ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
จิงฉิงเจี่ยทิ้งคำพูดเคียดแค้นเจ็บใจไว้ ก่อนหอบสมบัติและสังขารเปื้อนเลือดที่ถูกหลินสวินซัดกระจุยหนีหางจุกตูดออกจากลานมรรคเปิดสวรรค์
ในที่นี้ยิ่งเดือดคลั่งและเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่หลินสวินลงสนาม ก็เริ่มจากทรมานสิงจวิ้น แล้วโจมตีจิงฉิงเจี่ย อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งยวด ชนะอย่างสวยงาม และนี่ก็เรียกเสียงปรบมือเซ็งแซ่ นำมาซึ่งเสียงโห่ร้องและสนับสนุนมากมายจากลัทธิแรกกำเนิด
เมื่อมองบนแท่นพิธีอีกครา สีหน้าของเหล่าคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจเหล่านั้นล้วนเคร่งขรึมขึ้นน้อยๆ
รากฐานพลังที่หลินสวินสำแดงออกมาในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า อยู่เหนือจินตนาการและการคาดเดาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง!
“คนต่อไป”
หลินสวินทอดสายตามองไปยังข้างๆ ลานมรรคเปิดสวรรค์
ที่นั่นยังมีคนรออยู่อีกเจ็ดคน
ทว่าสีหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งขรึม ไม่มีความผ่อนคลายและเหยียดหยันเหมือนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ความพ่ายแพ้ยับเยินของสิงจวิ้นและจิงฉิงเจี่ย สร้างแรงโจมตีรุนแรงให้แก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“จ้งอิ่ง ตาเจ้าแล้ว”
ไกลออกไปมีคนตะโกนเตือนเสียงดัง
จ้งอิ่งคือคนที่กระโดดออกมารับคำท้าและประทับรอยนิ้วมือต่อหลังจิงฉิงเจี่ย
เขาสวมชุดคลุมสีเหลือง รูปร่างสูงใหญ่ หลังสะพายทวนศึกสีเลือดน่าสยดสยองเล่มหนึ่ง กลิ่นอายชวนประหวั่นถึงขีดสุด
เขามาจากตระกูลจ้งหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ มรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ ไม่ว่าในด้านชื่อเสียง รากฐาน หรือพลังต่อสู้ ล้วนไม่ด้อยไปกว่าจิงฉิงเจี่ย ถึงขั้นเหนือชั้นกว่ากันกลายๆ
“เฮอะ! ข้าคนแซ่จ้งต้องให้เจ้าเตือนด้วยหรือ”
จ้งอิ่งสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ระงับความตกใจและเกรงกลัวภายในใจเอาไว้ กระโดดขึ้นมายังลานมรรคเปิดสวรรค์
เขาไม่มาไม่ได้
หาไม่ สารหนังสือหยกไหมที่เขียนว่า ‘ใครกลับคำ คนนั้นเป็นหลานของทุกคนในที่นี้’ ฉบับนั้นจะเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขา
นอกจากนี้คนที่เสียหน้าไม่ใช่เพียงเขาแค่คนเดียว ยังมีคนตระกูลจ้งทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังเขาด้วยเช่นกัน!
และก็เป็นยามนี้เขาถึงได้เข้าใจเจตนาชั่วร้ายของหลินสวิน ใช้กระดาษแผ่นนี้ทำให้คนที่รับคำท้าเหล่านั้นนึกเสียใจภายหลังก็ทำไม่ได้!
แต่หลังจากยืนอยู่ในลานมรรค จ้งอิ่งก็สงบลงโดยสมบูรณ์ สลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไป สำแดงมาดและอานุภาพที่คนสะท้านยุคคนหนึ่งพึงมี
ชิ้ง!
เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ด้านหลังมีวงแหวนเทพอมตะสีเงินอ่อนสายหนึ่งพิทักษ์ เมื่อวงแหวนเทพโคจร ทวนศึกแดงฉานที่สะพายอยู่ข้างหลังเขาก็ส่งเสียงกังวานฮึกเหิมออกมา และเข้ามาอยู่ในมือของเขาอย่างรวดเร็ว
ตูม!
รอบตัวเขาแสงมรรคอมตะทะลักล้น พุ่งทะยานสู่เวิ้งฟ้า ชุดเหลืองปลิวสะบัด อานุภาพสะท้านฟ้าดิน
“ตัดวัฏจักรเงาแสง!”
เขาตะโกนลั่นคราหนึ่ง ออกโจมตีโดยตรง โบกทวนศึกแดงฉาน ฟ้าดินถูกสีเลือดท่วมมิด ราวจมสู่นรกสีเลือด
นี่คือกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่แปลกประหลาดยากหยั่งถึง ผสานรวมกับมรรควิถีในตัวจ้งอิ่ง ถูกเขาใช้พรสวรรค์ทางสายเลือดของตนผสมผสาน
ทันทีที่ออกโจมตีก็พุ่งเข้าใส่เต็มกำลัง!
มีบทเรียนก่อนหน้าของสิงจวิ้นและจิงฉิงเจี่ยให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าใครล้วนรู้ดีว่าการต่อสู้กับหลินสวินไม่อาจดูเบาและออมมือใดๆ เด็ดขาด
หลินสวินยังคงใช้หมัดเปล่า ไม่หลบไม่หลีก กระโจนตัวขึ้นไปข้างหน้า
ทั้งคู่โรมรันดุเดือดในทันที คนหนึ่งรอบตัวปรากฏภาพหุบเหวใหญ่ พลังกฎเกณฑ์คลุมเครือตัดสลับโคจรอยู่ระหว่างนิ้วมือ โจมตีเหิมเกริม
อีกคนมือกระชับทวนศึกแดงฉาน เคลื่อนขวางวางกระบวนยุทธ์ ยิ่งใหญ่อลังการ องอาจสะท้านภพ
สายตาทุกคู่นอกลานมรรคล้วนถูกดึงดูด
แต่เพียงครู่สั้นๆ
จ้งอิ่งก็ถูกโจมตีราบคาบ ปราณกระบี่คมกริบสะท้านยุคสายหนึ่งฟันร่วง กรีดแหวกช่วงอกของเขา ทั้งตัวเกือบถูกผ่าเป็นสองท่อน
เขาพุ่งจู่โจมเต็มกำลัง ใช้อภินิหารพรสวรรค์ ไม่ได้ออมมือใดๆ เช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน ถูกทำร้ายสาหัสทั้งอย่างยั้น
และแตกต่างจากสิงจวิ้นและจิงฉิงเจี่ย จ้งอิ่งยอมแพ้ดังคาด
หลินสวินหยุดมือทันควัน
“แม้จะเป็นศัตรู แต่ข้าไม่อาจไม่ยอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก”
แววตาจ้งอิ่งซับซ้อน เคลือบแฝงความไม่ยินยอมและขมขื่น เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวจากไป
นอกลานมรรคไร้สรรพเสียง ล้วนสะเทือนไหวจนวาจา
บนแท่นพิธีต่างกดดันไปทั้งแถบ
ความแข็งแกร่งของหลินสวินสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วในการต่อสู้สามศึก หากเปลี่ยนเป็นสถานกาณ์ปกติ ใครต้องการท้าสู้กับเขาอีกล้วนต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่จะตามมา
แต่ตอนนี้การต่อสู้เช่นนี้ถูกลิขิตให้ดำเนินต่อไป
เพราะก่อนจะต่อสู้ หลินสวินให้ผู้รับคำท้าสู้เหล่านั้นประทับลายนิ้วมือลงบนสารหนังสือหยกไหมฉบับนั้นแล้ว ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก
ไม่ต่อสู้ก็ต้องยอมแพ้!
และเป็นยามนี้ ทุกคนถึงเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดหลินสวินจึงเอาสารหนังสือหยกไหมฉบับนี้ออกมา ที่กังวลคือเกรงว่าผู้ที่รับคำท้าเหล่านั้นจะใจเสาะ!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหล่าคนใหญ่คนโตบนแท่นพิธีนั่นล้วนโมโหคับใจไประลอกหนึ่ง
หากแพ้เช่นนี้ต่อไป บรรดาเฒ่าชราที่มุ่งหน้ามาชมงานที่ลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกเขาก็ต้องอับอายขายหน้า และจะเงยหัวไม่ขึ้นต่อหน้าเจ้าเฒ่าลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้น!
แต่ช่วยไม่ได้ แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ได้ สิ่งสำคัญคือในมือหลินสวินมีสารหนังสือหยกไหมที่ถูกประทับลายนิ้วมือเอาไว้
และประโยคเดียวบนสารหนังสือฉบับนั้นก็ชั่วร้ายถึงขีดสุด ใครกลับคำ คนนั้นเป็นหลานของทุกคนในที่นี้!
ฟังดูสิ นี่จะให้ผู้อื่นแบกหน้าไม่ทำตามได้อย่างไร
แต่หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เขากำลังดื่มสุราชื่นมื่นกับศิษย์พี่เฉิงอวี๋ เบิกบานสำราญใจนัก กลับถูกคลื่นลมเช่นนี้ขัดจังหวะ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเรียกชื่อเจาะจงว่าอยากสู้กับตน มีหรือจะรู้สึกอารมณ์ดี
ยิ่งกว่านั้นพวกที่มารับคำท้าต่อครั้งนี้ แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่แค้นของคีรีดวงกมล หลินสวินไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งอย่างนี้แน่
สารหนังสือหยกไหมนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเตรียมมาโดยเฉพาะ
“คนต่อไป”
หลินสวินเอ่ยปากเรียบๆ
ลานมรรคเปิดสวรรค์ยังมีผู้ท้าสู้อีกหกคน
เพียงแต่นอกจากอวี่เฟิงจื่อแล้ว สีหน้าอีกห้าคนที่เหลือล้วนไม่น่ามอง อึมครึมและเหยเกอย่างยิ่ง
เหตุที่พวกเขากล้ารับคำท้าสู้ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะมั่นใจว่าพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าสิงจวิ้นและจิงฉิงเจี่ย
แต่สิงจวิ้นและจิงฉิงเจี่ยล้วนถูกเหยียบราบคาบจนสภาพเป็นเช่นนั้น นี่ทำให้พวกเขาไม่มั่นใจแล้ว
“ไม่กล้าหรือ”
หลินสวินล้วงสารหนังสือหยกไหมฉบับนั้นออกมาโบกไปมา “จะให้ข้าอ่านต่อหน้าทุกคนหรือไม่ มาดูกันว่าหลานชายของคนในที่นี้คือใคร”
นี่เป็นความอัปยศอย่างไม่ต้องสงสัย!
ผู้อาวุโสบนแท่นพิธีเหล่านั้นล้วนอดขมวดคิ้วไม่ได้ อยากกระโจนขึ้นไปสั่งสอนหลินสวินงามๆ ด้วยตัวเองใจจะขาด น่าโมโหเกินไปแล้ว
ทางฝั่งลัทธิแรกกำเนิดกลับมีเสียงหัวเราะระลอกหนึ่งดังออกมา แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เสียงหัวเราะถากถางเช่นนั้นกลับทำให้สีหน้าผู้รับคำท้าเหล่านั้นเริ่มอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ
“ให้ข้าก่อนเถอะ”
อวี่เฟิงจื่อถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาสวมจีวรสีขาวทั้งชุด หน้าตาเกลี้ยงเกลา กลิ่นอายหลุดพ้นเหนือโลกีย์ เป็นศิษย์พุทธโดยกำเนิดที่หาตัวยากจับยากรอบหมื่นปีของลัทธิฌาน เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์ลัทธิฌาน รากฐานพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง
เมื่อเขาก้าวออกมา บรรยากาศในที่นี้พลันเปลี่ยนไปทันที
บนแท่นพิธี คนไม่น้อยล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก หากมีอวี่เฟิงจื่อลงมือ บางทีอาจสามารถทานแรงปะทะ กำจัดบารมีของหลินสวินนั่นได้!
ผู้ท้าสู้อีกห้าคนที่เหลือก็ถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน แต่ละคนล้วนเหมือนรอดชีวิตจากสถานการณ์สิ้นหวัง สำหรับพวกเขา หากอวี่เฟิงจื่อสามารถกำราบหลินสวินได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องขึ้นลานมรรคไปต่อสู้แล้ว
กลับเห็นหลินสวินกล่าวเย็นชา “เมื่อครู่ข้าพูดว่าอะไร ต่อแถวให้เรียบร้อย มาทีละคน เหตุใดจึงมีคนมาทีหลังแซงหน้าคนมาก่อน ภิกษุ เจ้าถอยกลับไปหลังสุดซะ”
ประโยคเดียวทำให้ทั่วลานตะลึงงัน
“ใช่แล้ว ถอยกลับไป เจ้าเป็นคนสุดท้าย ไม่ต้องรีบ!”
“อวี่เฟิงจื่อ แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่ชื่อเสียงโด่งดังในลัทธิฌาน แต่ก็ต้องทำตามกฎ อย่าลืมสิว่าเจ้าประทับลายนิ้วมือบนหนังสือของรองผู้ดูแลหลินแล้ว”
คนลัทธิแรกกำเนิดล้วนส่งเสียงช่วยหลินสวิน
ชั่วขณะเดียวสีหน้าของผู้ท้าสู้ห้าคนนั่นล้วนเขียวคล้ำ เริ่มมีความคิดอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้ว!
แม้แต่คนใหญ่คนโตบนแท่นพิธี สีหน้ายังเริ่มมืดทะมึนน้อยๆ
มีเพียงพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงที่ยิ้มชอบใจ ท่าทางเหมือนชมเรื่องสนุก อารมณ์ชื่นบานอย่างบอกไม่ถูก ในใจถึงขั้นเริ่มคิดคำนวณว่าหากเรื่องวันนี้จบลงควรให้ของขวัญและรางวัลอะไรแก่หลินสวินดี…
กอบกู้หน้าให้แก่ลัทธิแรกกำเนิดแล้วชัดๆ ไม่ตกรางวัลงามๆ จะได้อย่างไร!?
“คนนั้นน่ะ ตาเจ้าแล้ว”
บนลานมรรคเปิดสวรรค์ หลินสวินมองผู้ท้าสู้คนต่อไป
เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งเหมือนตอฟาง ชุดขาวหมวกดำ ใบหน้ายาวแหลม หูสองข้างล้วนห้อยงูเขียวเรียวยาวหนึ่งตัว
เขานามว่าเหมาชิว มาจากตระกูลเหมาแห่งน่านฟ้าที่แปด
ถูกหลินสวินเรียกว่า ‘คนนั้นน่ะ’ ทำเอาเหมาชิวใบหน้าอึมครึม หรือว่าตนไม่มีชื่อ!? เจ้าหมอนี่ไม่เห็นใครในสายตาชัดๆ!
“เหมาชิว ขึ้นไปเร็ว!”
ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดมากมายโห่ร้องผสมโรง
เหมาชิวสูดหายใจสองสามครา สีหน้าเย็นเยียบ กล่าวเสียงขรึม “รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรทำแต่ยังทำ เป็นการกระทำของคนบุ่มบ่าม ดังนั้น… ข้าคนแซ่เหมายอมแพ้”
เขาตรงไปตรงมายิ่ง สงบนิ่งเยือกเย็น ทั้งๆ ที่ยอมแพ้ แต่ดันถูกเขาพูดอย่างถูกต้องชอบธรรม ผ่าเผยแข็งขัน นี่ทำให้คนทั่วลานล้วนอึ้งไป
จากนั้นคนไม่น้อยต่างลอบด่าว่าไร้ยางอาย
“ยอมแพ้หรือ” หลินสวินถาม
“ใช่ ยอมแพ้” เหมาชิวฝืนทำหน้าหนาตอบ เขาถูกสายตาหลินสวินจับจ้อง ในใจรู้สึกโหวงเหวงอยู่บ้าง
หลินสวินพลิกฝ่ามือ ปรากฏม้วนหยกม้วนหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ในม้วนหยกนี้บันทึกภาพที่เจ้ายอมแพ้เอาไว้ ข้าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน”
เหมาชิวอึ้งไปก่อน จากนั้นสีหน้าล้วนขรึมลง ขุ่นเคืองลนลาน “หลินสวิน ข้ายอมแพ้แล้ว เจ้าถึงกับยังใช้วิธีนี้หลู่เกียรติข้า รังเกินกันเกินไปแล้วชัดๆ!”
“ยอมแพ้ก็ต้องมีท่าทีของคนยอมแพ้ หากเจ้าไม่ยอมก็ขึ้นมาสู้กันสักตั้งเป็นอย่างไร”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ
สีหน้าคนทั่วลานแปลกพิกล ล้วนนึกไม่ถึงว่าหลินสวินจะร้ายกาจเช่นนี้ ถือครองสภาพดูไม่ได้ยามอีกฝ่ายยอมจำนน ภายหลังล้วนสามารถเผยแพร่ออกไป ทำให้เหมาชิวกลายเป็นตัวตลกได้ทุกเมื่อ!
“เจ้า…”
เหมาชิวโกรธจนกัดฟันกรอด
“ยอมแพ้แล้วก็ไปอยู่ด้านข้าง อย่าถ่วงเวลาข้ากับคนอื่นๆ อีก”
หลินสวินคร้านจะมองเขาอีกแม้แต่ปราดเดียว สายตามองผู้ท้าสู้คนต่อไปแล้วกล่าวว่า
“คนนั้นน่ะ ถึงตาเจ้าแล้ว”
………………….