Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2777 ระเบียบคันฉ่องมรรค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2777 ระเบียบคันฉ่องมรรค
หอแรกมายา
ทางเข้าแดนศึกยอดมรรค
“เข้าไปภายใน อย่างน้อยต้องอยู่ครึ่งปี ในครึ่งปีแม้บาดเจ็บหนักก็ไม่สามารถออกมาได้”
ตู๋กูยงอธิบายด้วยเสียงอบอุ่นจากข้างๆ
ตอนที่หลินสวินมาหา ทำให้รองหัวหน้าหออย่างเขาตกใจทันที และพาหลินสวินมาหน้าทางเข้าแดนศึกยอดมรรคนี้ด้วยตัวเอง
นี่ทำให้หลินสวินอดตกใจไม่ได้ที่ได้รับความเอ็นดู
ยามเขาเพิ่งเข้าสู่ลัทธิแรกกำเนิด อยากเจอคนใหญ่คนโตระดับรองหัวหน้าหอแทบจะเป็นเรื่องยากมาก นับประสาอะไรกับการที่อีกฝ่ายมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“ครึ่งปีหรือ…”
หลินสวินใคร่ครวญในใจ ก็ไม่นับว่านานเกินไป
“หากเจ้าเตรียมพร้อมแล้วก็สามารถเข้าไปได้ตอนนี้ได้เลย”
ตู๋กูยงเอ่ย
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
หลินสวินประสานมือคารวะ จากนั้นเดินตรงเข้าไปยังทางเข้าของแดนศึกยอดมรรค
วู้ม…
ละอองแสงไหวเคลื่อนระลอกหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของหลินสวินจึงหายไป
“โยวหรัน เจ้ามาได้อย่างไร”
ตอนนี้เองตู๋กูยงหมุนตัวและมองเห็นว่าไกลๆ มีร่างหนึ่งเดินเข้ามา นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว งดงามโดดเด่น เป็นตู๋กูโยวหรันนั่นเอง
“ข้ามาเยี่ยมท่านไม่ได้หรือ” ตู๋กูโยวหรันยิ้มพูด
ตู๋กูยงยิ้มพลางชี้ตู๋กูโยวหรัน “เจ้าน่ะ ปากไม่ตรงกับใจ”
ตู๋กูโยวหรันกะพริบดวงตาสุกใส เอ่ยว่า “ท่านปู่น้อยท่านพูดอะไร เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ”
“พอเถอะ ข้าจะดูความคิดเจ้าไม่ออกได้อย่างไร”
ตู๋กูยงยิ้ม “ปู่เพียงอยากบอกเจ้าว่า สิ่งที่เจ้าหลินสวินคนนี้แบกรับหนักหน่วงเกินไป บนมรรคาหลังจากนี้จะต้องผ่านอุปสรรคที่เหนือกว่าคนทั่วไป หากเจ้าอยากอยู่กับเขาจริงๆ จะต้องคิดถึงเรื่องที่ต้องพบเจอหลังจากอยู่ด้วยกันให้ดี”
ตู๋กูโยวหรันใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างเคืองๆ “ท่านปู่น้อย ข้าพูดเมื่อไหร่ว่าจะอยู่กับเขา ข้า… เห็นเขาเป็นเพื่อนเท่านั้น”
“แค่เพื่อนหรือ” ตู๋กูยงแววตาซับซ้อน
ตู๋กูโยวหรันก้มหน้าขานรับว่าอืม เอ่ยว่า “ท่านปู่น้อย เรื่องของข้าท่านก็อย่างสนใจเลย”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ตู๋กูยงสงสารขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “โยวหรัน เจ้าตัดสินใจเองก็ดี ปู่ขอเพียงอย่างเดียว อย่าทำให้ตัวเองเสียใจ”
ตู๋กูโยวหรันเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างเบิกบาน “ท่านปู่น้อย ข้าไม่ใช่คนที่จะทำให้ตนเองเสียใจ”
“เช่นนั้นก็ดี”
ตู๋กูยงหัวเราะฮ่าๆ เพียงแต่ในใจเสริมอีกประโยคว่า ‘หวังว่า… จะเป็นเช่นนี้ได้’
……
เวลาล่วงเลยไป หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แดนศึกยอดมรรค
ภายใต้ท้องฟ้าขมุกขมัว หลินสวินกับหลินสวินอีกคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตีกันจนฟ้าพลิกดินคว่ำ สุริยันจันทราอับแสง
ภาพนี้น่ากลัวมาก
หลินสวินสองคนต่อสู้กัน หากคนอื่นๆ เห็นคงแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นหลินสวินตัวจริง
อีกทั้งวิชาต่อสู้ที่ทั้งสองใช้แม้ไม่เหมือนกัน พลังมหามรรคที่ครอบครองก็ไม่เหมือนกัน แต่พลังต่อสู้กลับแทบจะเทียบเท่ากัน!
นี่น่ากลัวยิ่งกว่า
ควรรู้ว่าหลินสวินก้าวสู่มรรคายอดอมตะแล้ว แม้มีปราณในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่ในระดับขั้นนี้ก็เหมือนไร้ศัตรูแล้ว
แต่ตอนนี้คู่ต่อสู้ของเขากลับแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ นี่เหลือเชื่อมาก!
“ตาย!”
ทันใดนั้นหลินสวินคำรามยาว เงาร่างราวกับเตาหลอมกลียุค กำราบสังหารอย่างรุนแรง
ปัง!
ร่างกายคู่ต่อสู้สั่นสะเทือนโดยพลัน จากนั้นระเบิดออกกลายเป็นละอองแสงระเบียบที่คลุมเครือทั่วฟ้า
หลินสวินถอนหายใจยาว รู้สึกเพียงว่าเหนื่อยล้าไปทั้งตัว
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินมาสองชั่วยามกว่า ทุกเวลาล้วนปลดปล่อยถึงขีดสุด ต่อสู้สุดกำลัง ถึงตอนนี้พลังปราณในร่างเผาผลาญไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว
เขาไม่ได้ชักช้า ลอยตัวลงพื้นนั่งขัดสมาธิในทันที หยิบโอสถอมตะสุริยันจันทราเม็ดหนึ่งออกมา เริ่มฟื้นฟูพลังปราณเต็มกำลัง
กลางฟ้าดินเงียบสงบทั้งแถบ
มีเพียงบนร่างของหลินสวินที่พลังขับเคลื่อนทะยาน ประกายศักดิ์สิทธิ์หมุนวน
หนึ่งเดือนมานี้เขาต่อสู้มาทั้งหมดสิบสี่ครั้ง คู่ต่อสู้ทุกครั้งล้วนมาจากระเบียบของฟ้าดินแห่งนี้
ระเบียบนี้นามว่า ‘คันฉ่องมรรค’ อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อมาก สามารถกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมือนตนเองไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับเงาสะท้อนของตนอย่างไรอย่างนั้น
อีกทั้งคู่ต่อสู้ในทุกๆ ครั้ง พลังต่อสู้ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง
หากวัดเป็นตัวเลข ตอนที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ หากพลังต่อสู้เต็มกำลังของหลินสวินคือหนึ่ง เช่นนั้นในการต่อสู้รอบต่อไป พลังต่อสู้ของคู่ต่อสู้ก็จะกลายเป็นหนึ่ง
นี่ก็หมายความว่า หลินสวินอยากเอาชนะคู่ต่อสู้คนต่อไป ก็ต้องทำทุกวิถีทางรีดเค้นศักยภาพแฝงแห่งตนออกมาภายในหนึ่งวันก่อนเจอคู่ต่อสู้คนต่อไป ทำให้พลังต่อสู้ของตนเกิดการยกระดับ เปลี่ยนจากหนึ่งกลายเป็นสอง เช่นนี้จึงจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
นี่ก็คือแดนศึกยอดมรรค
การต่อสู้ทุกรอบจะบีบให้เจ้าต้องรีดเค้นศักยภาพแฝงแห่งตนออกมา มีเพียงทำเช่นนี้จึงจะมีโอกาสโจมตีศัตรูให้พ่ายแพ้ได้ในการต่อสู้ครั้งต่อไป
หลังเอาชนะคู่ต่อสู้ สามารถแลกมาได้กับเวลาพักหนึ่งวัน
เมื่อเวลาผ่านไปคู่ต่อสู้คนใหม่ก็จะถือกำเนิดในระเบียบคันฉ่องมรรค
หลินสวินไม่รู้ว่าหากพ่ายแพ้ในการต่อสู้จะเจอกับจุดจบอะไร เพราะตั้งแต่เขาเข้าสู่แดนศึกยอดมรรคจนถึงตอนนี้ การต่อสู้สิบสี่ครั้งล้วนไม่เคยพ่ายแพ้
นี่ก็หมายความว่าตอนที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ทุกครั้ง ศักยภาพแฝงของเขาล้วนถูกรีดเค้นออกมาอีกหนึ่งส่วน!
ถึงตอนนี้หนึ่งเดือนเต็มแล้ว แม้แต่หลินสวินยังสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในศักยภาพแห่งตนได้อย่างชัดเจน!
ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือพลังปราณ ถูกเคี่ยวกรำถึงระดับสมบูรณ์ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางแล้ว!
‘จากสภาพเช่นนี้ ไม่เกินสามเดือนพลังปราณของข้าก็น่าจะทะลวงขั้นได้แล้ว’
หลินสวินนั่งสมาธิพลางสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนในพลังของตน
การต่อสู้ทุกครั้งราวกับกำลังเข่นฆ่าและต่อสู้กับตัวเอง ดุเดือดหาที่เปรียบไม่ได้ บางทีแม้แต่หลินสวินเองยังถูกกดข่มและบาดเจ็บ
ขณะเดียวกันนี่ก็นับว่าเป็นการเคี่ยวกรำที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งเช่นกัน ทำให้ตนได้รับการเคี่ยวกรำถึงขีดสุดในการต่อสู้ จนสามารถรีดศักยภาพแฝงที่เหนือกว่าออกมา เพิ่มพูนศักยภาพแห่งตน!
‘พลังปราณและพลังทั้งร่ายกายและจิตใจไม่สามารถพัฒนาได้อีกแล้ว อยากเอาชนะคู่ต่อสู้คนต่อไป ทำได้เพียงพัฒนากฎเกณฑ์อมตะ…’
หลินสวินไม่กล้าเสียเวลา กายใจจดจ่อเพิ่มพูนศักยภาพแห่งตนเต็มที่
หนึ่งวัน เพียงแค่สิบสองชั่วยามเท่านั้น
สำหรับหลินสวินก็เหมือนการฝึกปราณที่จำกัดยิ่งครั้งหนึ่ง ทำให้เขาไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านใดๆ ไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่เสี้ยวเดียว
นี่เป็นความกดดันและการจำกัดที่ไร้รูปอย่างหนึ่ง
เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงรับแรงกดดันเช่นนี้ไม่ไหว
แต่หลินสวินกลับเต็มใจรับความยากลำบากนี้
ไม่มีอะไรทำให้คนดีใจได้เท่ากับการที่ศักยภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้ว
เวลาหนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
พร้อมๆ กับคลื่นแปลกประหลาดกลางฟ้าดิน เงาร่างที่ราวกับภาพสะท้อนในกระจกของหลินสวินควบรวมกลางอากาศ ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างนั้นเหมือนกับหลินสวินในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!
นี่ก็คือความวิปริตของแดนศึกยอดมรรค
พลังต่อสู้ของคู่ต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับการยกระดับในศักยภาพแห่งตนของผู้ฝึกปราณ
เพียงแต่ผู้ฝึกปราณมีเวลาหนึ่งวันในการหลอมชำระ เค้นศักยภาพแฝง ยกระดับมรรควิถี เพื่อให้ได้เปรียบในการคว้าชัยในการต่อสู้
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ในแดนศึกยอดมรรค นอกจากมรรควิถีแห่งตนก็ไม่อาจใช้วัตถุภายนอกได้ รวมถึงศาสตรามรรคอมตะด้วย
ฟุ่บ!
ทันทีที่ภาพสะท้อนหลินสวินปรากฏขึ้นก็พุ่งโจมตีเข้ามา
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่เงยหน้าขึ้นโดยพลัน ทะยานตัวเข้าหา
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สามเดือนให้หลัง
ในแดนศึกยอดมรรค หลินสวินที่เพิ่งผ่านการต่อสู้ดุเดือด เลือดสดหลั่งรินทั่วร่าง เสื้อผ้าฉีกขาด เผ้าผมยุ่งเหยิง
เขาบาดเจ็บแล้ว
และบาดเจ็บหนักมาก!
ใช่ว่าหลังจากต่อสู้ทุกครั้งจะสามารถเค้นศักยภาพแฝงในช่วงเวลาหนึ่งวันสั้นๆ ได้ ทำให้พลังต่อสู้แห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลง
ก็เหมือนครั้งนี้ การต่อสู้กับคู่ต่อสู้ พลังต่อสู้ของแต่ละฝ่ายแทบจะเหมือนกันโดยสมบูรณ์ การต่อสู้ครั้งนี้จึงยากลำบากและน่าอนาถนัก
จนถึงตอนท้ายเป็นเพราะหยั่งถึงแก่นอัศจรรย์บางอย่างระหว่างการต่อสู้ แจ้งมรรคในการเข่นฆ่า ถึงทำให้หลินสวินคว้าโอกาสสังหารอีกฝ่ายได้
ไม่เช่นนั้นหลินสวินไม่รู้แล้วว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไหร่
ฮู่ว…
หลินสวินถอนหายใจยาว เงาร่างลอยลงพื้น
เขาหยิบขวดหยกมันแพะออกมา เทโอสถอมตะสุริยันจันทราสิบกว่าเม็ดเข้าปากถึงค่อยเริ่มนั่งสมาธิ
ตูม!
ไม่ถึงครึ่งเค่อพลังขับเคลื่อนรอบตัวหลินสวินก็พุ่งทะยาน อานุภาพน่าสะพรึงสายหนึ่งพวยพุ่งจากในร่างของเขา สะเทือนไปยังท้องฟ้า
บาดแผลบนร่างเขาสมานตัวด้วยความเร็วน่าตกใจ ทั้งตัวเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงปานถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะนี้พลังปราณของหลินสวินทะลวงขั้น ก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายแล้ว!
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น!
และก่อนเข้าแดนศึกยอดมรรค เสวียนเฟยหลิงยังเคยคาดการณ์ ว่าหลินสวินจะใช้เวลาหนึ่งปีทะลวงถึงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลาย หากเขาเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
หลินสวินสัมผสการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งทั่วร่างอย่างเสิบสานและละโมบ ในใจเต็มไปด้วยปิติและพึงพอใจ
นับเวลาดูแล้ว ตั้งแต่เขาก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าจนถึงตอนนี้ ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็ทะลวงสู่ขั้นปลายของขั้นนี้แล้ว ความเร็วในการทะลวงขั้นเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน!
ระดับอมตะทั่วไป พันหมื่นปีก็ใช่ว่าจะสามารถยกระดับพลังปราณได้สักขั้น เทียบกันเช่นนี้จะเห็นถึงความเร็วในการยกระดับพลังปราณของหลินสวินได้
หนึ่งวันหลังจากนั้น
ภาพสะท้อนหลินสวินคนใหม่ปรากฏ อานุภาพน่าทึ่ง แต่ศักยภาพกลับเท่ากับหลินสวินก่อนการทะลวงขั้น การต่อสู้เพิ่งเริ่มก็ถูกหลินสวินโจมตีสังหารแล้ว
‘ต้องอยู่ในแดนศึกยอดมรรคครึ่งปีจึงสามารถจากไปได้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณสามเดือน จะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี’
หลินสวินลิบตัดสินใจ
ตามกฎแล้วอย่างน้อยต้องต่อสู้ในแดนศึกยอดมรรคครึ่งปี แต่จะอยู่นานกว่านี้ก็ไม่มีปัญหา
หากไม่ใช่เพราะในใจพะวงถึงเรื่องแหล่งสถานศุภโชค หลินสวินก็อยากอยู่ในแดนศึกยอดมรรคตลอดไปจริงๆ
ครึ่งปีหลังจากนั้น
หอแรกมายา ทางเข้าแดนศึกยอดมรรค
เสวียนเฟยหลิงรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เขามั่นใจว่าหลินสวินไม่มีทางอยู่ที่แดนศึกยอดมรรคต่ออีกแม้แต่วันเดียว
‘ก็ไม่รู้ว่าพลังปราณของเขาทะลวงขั้นแล้วหรือยัง…’
ตอนที่กำลังใคร่ครวญ ตรงทางเข้าแดนศึกยอดมรรคเกิดคลื่นประหลาดระลอกหนึ่ง เงาร่างผ่าเผยสายหนึ่งเดินออกมา เป็นหลินสวินนั่นเอง
เพียงแต่แวบแรกที่เห็นหลินสวิน นัยน์ตาเสวียนเฟยหลิงหดรัดลงอย่างอดไม่ได้
เทียบกับครึ่งปีก่อน หลินสวินในตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไอสังหารจางๆ วนเวียนทั่วร่าง ยามกะพริบตาเหมือนมีอานุภาพดุดันเข่นฆ่ากระทบหน้าเข้ามา
ก็เหมือนสมบัติกระบี่ไร้เทียมทานที่ผ่านการหลอมตีมายาวนาน แม้พยายามข่มประกายคมสุดกำลัง แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาโดยไม่ตั้งใจนั่นก็สามารถสะเทือนโลกได้แล้ว!
ทว่าพริบตานั้นไอสังหารและกลิ่นอายดุดันจางๆ นี้ก็หายไป
ยามมองหลินสวินอีกครั้ง กลิ่นอายเป็นธรรมชาติ ราบเรียบละโลกีย์ ไร้ซึ่งประกายคมที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัด
ในดวงตาเสวียนเฟยหลิงวาบประกายแวววาวทันใด
——