Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2799 ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2799 ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน
หลินสวินรับเสื้อผ้ากองหนามาแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะตัวแปรขึ้น หลังไปจากที่นี่พวกเราค่อยมาพูดคุยกัน”
ประโยคเดียวทำให้ลั่วชิงสวินและหลินเหวินจิ้งอารมณ์สงบลง
“ข้าจะไปเก็บของ”
ลั่วชิงสวินพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้ากระท่อม
หลินเหวินจิ้งชี้ตำหนักที่อาบอยู่ในรัตติกาลนิรันดร์ที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วเอ่ยว่า
“สวินเอ๋อร์ ตอนนั้นท่านตาทวดเจ้าก็นำโลงนิรันดร์ไปจากที่นี่ เพียงแต่ตำหนักนี้ปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามกาลเวลา กระบี่ศุภโชคก็ไม่สามารถเปิดประตูตำหนักนี้ได้ ดังนั้นจนตอนนี้ข้ากับแม่ของเจ้าจึงยังไม่เคยเข้าไปดู”
สายตาของหลินสวินมองไป ก็เห็นว่าตำหนักแห่งนั้นเก่าแก่อย่างที่สุด แผ่กลิ่นอายกาลเวลา เงาแสงมืดมิดมากมายสลับทับซ้อนปกคลุมตำหนัก ดูลึกลับอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ข้าไปดูสักหน่อย”
หลินสวินนึกถึงร่างต้นที่หลับใหลอยู่ในโลงนิรันดร์ของซย่าจื้อ ในใจสั่นไหวขึ้นมา ขณะพูดก็ก้าวเดินไปโดยตรงแล้ว
หน้าตำหนักเก่าแก่ปูบันไดหินเก้าขั้น ประตูใหญ่ที่ปลายสุดของบันไดหินปิดสนิท พลังกาลเวลาที่คลุมเครือราวกับม่านแสงปิดคลุมอยู่ตรงนั้น
หลินสวินเดินขึ้นบันไดหิน จมสู่ภวังค์ความคิด
กระบี่ศุภโชคยังไม่อาจเปิดผนึกต้องห้ามกาลเวลาของที่นี่ได้ เช่นนั้นท่านตาทวดในตอนนั้นเข้าไปเอาโลงนิรันดร์ในตำหนักออกมาได้อย่างไร
นี่กลายเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ
นอกจากเจอลั่วทงเทียน ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นเขาเข้าตำหนักที่ลึกลับแห่งนี้ได้อย่างไร
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตอนที่กำลังจะเรียกโลงนิรันดร์ออกมา รู้สึกเพียงว่าตรงเส้นปราณหัวใจร้อนระอุขึ้นมาระลอกหนึ่ง ปลดปล่อยพลังกาลเวลาออกมากะทันหัน พุ่งไปยังประตูตำหนัก
ครืน!
ภาพตรงหน้าหลินสวินพร่ามัว ทิวทัศน์ในครรลองสายตาเหมือนย้อนกลับไปในกาลเวลาไร้สิ้นสุด
ตรงหน้าตำหนักสีดำ เลือดสดไหลย้อมบันไดเก้าขั้น เงาร่างสูงเพรียวสง่างามร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดหินขั้นบนสุด
นางสวมเกี้ยวประดับสีดำ ในมือกุมไม้เท้าเทพที่ตีขึ้นจากหยกดำ บนเสื้อผ้าสีดำรูปแบบโบราณถูกเลือดสดซึมไปแล้ว
ใบหน้าของนางขาวกระจ่าง งดงามไร้ที่ติ นั่นเป็นความงามที่สามารถสยบผู้คน ทำให้ฟ้าดินอับแสง ภายใต้ชุดดำที่เลือดซึมและเปื้อนเลือดแดงสดนั่น ยังคงงดงามจนทำให้คนใจสั่น
ซย่าจื้อ!
ในใจหลินสวินสั่นไหวรุนแรง หรือนี่จะเป็นร่างต้นของซย่าจื้อ!
ภาพพลันเปลี่ยนไป…
ชายร่างผอมตอบที่สวมเสื้อเกราะแตกหัก สภาพทุลักทุเลคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าบันไดหินเก้าขั้น บนใบหน้าหล่อเหลาเย็นชายากจะปกปิดความเศร้าโศก เอ่ยเสียงแหบพร่า ‘นายหญิง ท่านโปรดเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้ หนีไปจากแหล่งสถานศุภโชค!’
‘ไม่มีประโยชน์แล้ว’
หญิงคนนั้นสีหน้านิ่งสงบ เสียงกระจ่างราบเรียบ ‘ทว่าพวกเขาคิดฉวยโอกาสตอนข้าบาดเจ็บช่วงชิงศุภโชคบนตัวข้า นี่ย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝัน’
ชิ้ง!
ในมือซ้ายขาวกระจ่างงดงามของนางปรากฏกระบี่เทพเล่มหนึ่ง ‘สือซาน เอากระบี่เล่มนี้จากไป’
หลินสวินจำได้ กระบี่เล่มนั้นคือกระบี่ศุภโชค!
‘นายหญิง หรือท่านจะ…’
ชายร่างผอมที่ถูกเรียกว่าสือซานหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ขวัญเสียยิ่ง
หญิงคนนั้นเอ่ยเสียงเบา ‘หลังเจ้าจากไป ข้าจะใช้มรรควิถีทั้งชีวิตผนึกโลกแห่งนี้ มองที่นี่เป็นสถานที่ตั้งหลัก วันหน้าหากมีโอกาส ย่อมจะฟื้นตื่นจากการหลับใหล หากไม่มีโอกาส… ก็ให้ศุภโชคทั้งหมดนี้ฝังอยู่ที่นี่’
‘นายหญิง!’
สือซานคำรามอย่างเศร้าโศก ‘ข้ายอมเดิมพันด้วยชีวิต คุ้มครองท่านจากไป!’
หญิงคนนั้นถอนหายใจเบาๆ สายตาเผยความอ่อนโยน เอ่ยว่า ‘สือซาน ข้าไม่ได้ร่วงหล่นจริงๆ เสียหน่อย ต่อไปหากมีโอกาส เจ้ากับข้าย่อมได้พบกันอีก’
พูดจบนางยื่นกระบี่ในมือออกไป ‘เอามันไปที่เมืองเทพศุภโชค’
จู่ๆ ภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง…
หญิงผู้นั้นลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในส่วนลึกของตำหนักทีละก้าว ท่ามกลางความเลือนรางคล้างมีเสียงทอดถอนใจเบาๆ ดังขึ้น ‘ในความมืดมิดนี้ กลับไม่อาจมีสักคนอยู่เคียงข้างได้…’
ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลง
ครืน!
ภาพทั้งหมดสลายหายไป
หลินสวินสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่สามารถสงบได้
แต่ละภาพก่อนหน้านี้ คาวเลือด ความโศกเศร้า ความกดดัน หากนั่นคือร่างต้นของซย่าจื้อ ตอนนั้นต้องพบเจอสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหน ถึงได้นั่งกำชับสั่งความอยู่บนบันไดหินสีเลือดโดยลำพัง
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือ ตอนนั้นร่างต้นของซย่าจื้อบาดเจ็บสาหัสมาก ถูกคนล้อมเอาไว้ หมายจะช่วงชิงศุภโชคบนตัวนาง
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างต้นของซย่าจื้อจึงเลือกผนึกที่แห่งนี้ ตั้งหลักอยู่ที่นี่!
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามทำให้ตนเองสงบลง เพิ่งจะพบในยามนี้ว่าผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนประตูตำหนักได้เปิดออกเงียบๆ แล้ว
เขาผลักประตูเข้าไป
ในประตูคือความมืดมิดปานรัตติกาลนิรันดร์ กลืนกินแสงทั้งหมด ไม่สามารถมองเห็นภาพใดๆ ได้ชัด เหลือเพียงความมืดหนาแน่น
‘ตอนนั้นท่านตาทวดนำโลงนิรันดร์ไปจากที่นี่ และตอนนั้นหลังจากร่างต้นของซย่าจื้อเดินเข้าตำหนักมา ก็คงเข้าไปอยู่ในโลงนิรันดร์เองเลยกระมัง…’
แววเหม่อลอยวาบผ่านในดวงตาหลินสวิน
จากนั้นปลายนิ้วของเขาปรากฏเปลวเพลิงสว่างไสว ความมืดหนาแน่นนั่นสลายไปทันที
ตรงกลางตำหนักเหลือเพียงแท่นหยกที่รูปร่างราวกับแท่นมรรค นอกจากนี้ล้วนว่างเปล่าไม่มีสิ่งของใดๆ
หลินสวินเดินเข้าไป แท่นหยกตีขึ้นจากหยกสีดำแปลกประหลาด บนนั้นใช้เลือดสดๆ เขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า
‘ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน ไม่อาจฝากฝัง หากมีวาสนา ตัดสิ้นอดีตของร่างนี้ ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก’
‘ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน…ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน…’
หลินสวินอึ้งไป จู่ๆ ก็นึกถึงยามเยาว์วัยตอนที่พบกับซย่าจื้อที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น นางเคยพูดว่า ‘หลินสวิน ก่อนหน้านี้โลกของข้ามีแต่ความมืดมิด จนกระทั่งได้พบเจ้า โลกของข้าถึงมีแสงสว่าง’
และนางยังเคยพูดว่า ‘โลกของข้าเล็กนัก เล็กจนบรรจุเจ้าได้แค่คนเดียว ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า อย่างอื่นข้าล้วนไม่สนใจ’
‘ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก… เพราะนางในสมัยก่อนเคยใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดนี้มาโดยตลอดหรือ…’
หลินสวินปวดใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขายื่นมือออกไป ปลายนิ้วลูบตัวอักษรที่เขียนด้วยเลือดบรรทัดนั้นเบาๆ ต้องเป็นเวลาที่เดียวดายเพียงใด ถึงเขียนประโยคเช่นนี้ในความมืด
ชั่วขณะนี้ในใจหลินสวินเกิดแรงกระตุ้นแรงกล้า อยากให้ซย่าจื้อออกมามองดูทุกสิ่งที่นี่
แต่สุดท้ายเขาก็เก็บกลั้นเอาไว้
เขากลัว!
กลัวจริงๆ ว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ทำให้ซย่าจื้อเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เช่นนั้นนาง… จะยังพึ่งพาตน ไม่หนีไม่จากตนไปเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่
ความคิดนี้เห็นแก่ตัวมาก
แต่หลินสวินกลัวจริงๆ ว่าซย่าจื้อจะออกไปจากชีวิตตนเช่นนี้
ปลายนิ้วของหลินสวินหยุดอยู่บนประโยคที่ว่า ‘ตัดสิ้นอดีตของร่างนี้’ เขามองอย่างอึ้งงัน ในใจเกิดอารมณ์ซับซ้อนที่บอกไม่ถูก
เขาเพิ่งจะเข้าใจประโยคนี้อย่างลึกซึ้งเอาตอนนี้ ปีนั้นร่างต้นของซย่าจื้อยอมตัดทุกสิ่งในอดีต หวังเพียง ‘ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก’!
พูดอีกอย่างคือ ก่อนนางจะเลือกเข้าไปในโลงนิรันดร์ ความจริงได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะยินยอมไม่ฟื้นตื่นชั่วชีวิต ดีกว่าต้องพบเจอความทุกข์การไร้ที่พึ่งพิง โดดเดี่ยว และมืดมนเหมือนที่นางเคยพบอีกครั้ง
หลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กดความรู้สึกในใจไว้
‘ซย่าจื้อ รอข้าสืบภูมิหลังและเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าประสบในตอนนั้นให้ชัดเจนก่อน แล้วจะตัดสินใจอย่างแน่นอน!’
ครู่ต่อมาหลินสวินก็หมุนตัวจากไป เดินออกจากตำหนักที่มืดมิดชั่วนิรันดร์แห่งนี้
นอกตำหนัก สองสามีภรรยารออยู่ก่อนแล้ว
“สวินเอ๋อร์ เจ้าเจออะไรในตำหนักนี้หรือ”
หลินเหวินจิ้งถาม
“ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย”
หลินสวินส่ายหน้าพูด
หลินเหวินจิ้งอึ้งไป ยังคิดจะถามเพิ่มอีกแต่กลับถูกลั่วชิงสวินหยิกเอว เจ็บจนมุมปากเขากระตุกระลอกหนึ่ง
‘ยังจะถามเยอะขนาดนั้นทำไม ดูไม่ออกหรือว่าลูกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าเขาอยากบอกพวกเราย่อมจะเล่าให้พวกเราฟังเอง หากไม่อยาก เจ้าก็อย่าบังคับเลย’
ลั่วชิงสวินสื่อจิตกล่าว นางเป็นผู้หญิง ทันทีที่เห็นหลินสวินเดินออกจากตำหนัก ก็สังเกตเห็นอย่างฉับไวแล้วว่าอารมณ์ของหลินสวินคล้ายตกต่ำอยู่บ้าง
“ท่านแม่ เหตุใดถึงทำกับท่านพ่อแบบนั้น” หลินสวินนึกขำ เขาจะไม่เห็นภาพที่ลั่วชิงสวินหยิกหลินเหวินจิ้งได้อย่างไร
“พ่อเจ้าชอบให้ข้าทำแบบนี้กับเขา ชินแล้ว ไม่เชื่อเจ้าถามเขาดู” ลั่วชิงสวินยิ้มพูด
หลินเหวินจิ้งหัวเราะเบิกบาน “ใช่ ข้าชอบให้แม่ของเจ้าทำเช่นนี้ หลายปีมานี้นางมักหยิกข้าอยู่ตลอด ข้าชินไปแล้วจริงๆ”
ลั่วชิงสวินเลิกคิ้ว “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังฟ้องสวินเอ๋อร์”
หลินเหวินจิ้งรีบโบกมือ “ข้าไม่กล้าหรอก”
หลินสวินเบิกบานขึ้นมาทันที อารมณ์ตกต่ำอึมครึมที่หลงเหลืออยู่ในใจก่อนหน้านี้หายไปไม่น้อย เอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่ พวกเราไปจากที่นี่ก่อน ผู้อาวุโสไท่เสวียนยังรออยู่ข้างนอก”
หลินเหวินจิ้งราวกับยกภูเขาออกจากอก พยักหน้าพูด “เช่นนั้นก็รีบไป อย่าให้ผู้อื่นรอนาน”
แต่ท่าทางเหมือนกลัวว่าลั่วชิงสวินจะหาเรื่องเขาอีกอย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินเองยังอดลอบนับถือไม่ได้ ท่านแม่ฝีมือดีจริงๆ ถึงกับกำราบท่านพ่อให้เชื่อฟังได้ขนาดนี้…
พวกเขามุ่งหน้าออกนอกแดนลับไป
‘สวินเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เหมือนพ่อของเจ้าเชียว เขาเชื่อฟังข้า แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีมาก แต่ต่อไปหากเจ้ามีภรรยา อย่าหูเบาเชียว และอย่าเชื่อฟังทุกอย่างที่ภรรยาเจ้าพูดเด็ดขาด’
ระหว่างทางลั่วชิงสวินสื่อจิตกำชับ
หลินสวินเผยสีหน้าจนใจ เรื่องเช่นนี้สองมาตรฐานได้ด้วยหรือ
‘ดูก็รู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ เฮ้อ เรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อน รอภายหน้าข้าค่อยอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังอีกที เรื่องนี้คลุมเครือและลึกซึ้งยิ่งกว่าฝึกมหามรรคเสียอีก จะต้องเรียนรู้ให้ดี ต่อไปเจ้าจะได้ไม่พ่ายแพ้ต่อหน้าผู้หญิง…’
ลั่วชิงสวินถอนหายใจ
เดิมทีหลินสวินคิดจะเล่าเรื่องจ้าวจิ่งเซวียนและบุตรชายหลินฝาน แต่เห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วจึงเก็บเอาไว้ก่อน
เขาตัดสินใจว่ารอเวลาเหมาะสมแล้วค่อยบอกบิดามารดาก็ยังไม่สาย พวกเขาจะได้ไม่… อืม… เป็นห่วงเกินไป
นอกแดนผนึกเรืองแสง
เมื่อเห็นหลินสวินพาสามีภรรยาคู่หนึ่งออกมา ไท่เสวียนลุกขึ้นเดินเข้าไปหาทันที เอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เพิ่งจะผ่านไปสองเค่อ ดูท่าว่าจะราบรื่นดีมาก”
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ”
หลินสวินประสานมือทั้งเอ่ยแนะนำบิดามารดา
สองสามีภรรยาเข้าไปคารวะทันที คำพูดเต็มไปด้วยความซาบซึ้งยิ่ง
ไท่เสวียนยิ้มกล่าว “ล้วนไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือไปจากที่นี่ก่อน”
“ใช่แล้ว ไปจากที่นี่ก่อน รอไปถึงเมืองเทพศุภโชคก็ปลอดภัยแล้ว”
หลินสวินจัดแจงให้สองสามีภรรยาไปอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทันที
“ไป”
ไท่เสวียนไม่ได้กล่าวมากความ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งพาหลินสวินหายไปจากกลางอากาศ
และหลังจากพวกเขาจากไปไม่นาน
ครืน!
นอกแดนผนึกเรืองแสงเกิดเสียงกึกก้องขึ้นกะทันหัน มีคนแหวกอากาศมาเยือน
——