Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2843 ผู้เข้าร่วมที่มาอย่างเหนือคาด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2843 ผู้เข้าร่วมที่มาอย่างเหนือคาด
จี้ซานไห่!
เมื่อเห็นสตรีผู้นี้ปรากฏตัว หยวนฉางเทียน ชางฝูเฟิง เหวินเฉียวสุ่ยต่างลุกขึ้นไปต้อนรับ
“ข้าคนแซ่หยวนคารวะแม่นางซานไห่”
“ไม่นึกว่าซานไห่จะมาจริงๆ”
“แม่นางซานไห่ ไม่ได้พบกันนาน”
บุตรเทพสามคนของเผ่าเทพจากน่านฟ้าที่เก้า เวลานี้ต่างเข้าไปต้อนรับพร้อมกัน นี่ทำให้ในที่นี้ยิ่งฮือฮากว่าเดิม
หลินสวินยังอดตกใจไม่ได้
จากภาพนี้สามารถดูออกว่าฐานะของจี้ซานไห่เหนือธรรมดาปานใด
นอกจากนี้บุคลิกรูปโฉมและท่าทางของสตรีผู้นี้ก็โดดเด่นเป็นที่สุดเช่นกัน ก็ไม่แปลกที่จะถูกตามเกี้ยวเช่นนี้
แต่ความตกใจของหลินสวินก็เป็นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่นานก็เลื่อนสายตาออกไป
แต่ยามเห็นเงาร่างของศิษย์พี่จิ่งจงเยวี่ย หลินสวินยิ้มในทันที
เขาเคยพบจิ่งจงเยวี่ยเพียงครั้งเดียว
นั่นเป็นตอนประชันหมากครั้งใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ จิ่งจงเยวี่ยลงมือพร้อมกับบรรดาศิษย์พี่ จัดการขุมอำนาจบริวารของจอมจักรพรรดิไร้นาม
ยามพบกันอีกครั้งในตอนนี้ จิ่งจงเยวี่ยอยู่ขั้นดับเทพสัมบูรณ์แล้ว!
ผิวเขาเป็นสีข้าวสาลี รูปร่างผอมแข็งแกร่ง นัยน์ตานิ่งสุขุมลึกล้ำ ผมยาวสีดำมัดไว้ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้ากร้าวแกร่งที่กรอบหน้าเด่นชัด
ยามมองเห็นหลินสวิน จิ่งจงเยวี่ยก็ทอยิ้มบางๆ เช่นกัน สื่อจิตกล่าว่า ‘ศิษย์น้อง ศึกมรรคอมตะครั้งนี้ ระหว่างพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องมาแข่งขันกันไหมว่าใครจะล่าสังหารสัตว์ระเบียบได้มากกว่ากัน’
‘ไยจะไม่ได้’
หลินสวินเลิกคิ้ว สื่อจิตกล่าว ‘ศิษย์พี่ ได้ยินนานแล้วว่าท่านเป็นเลิศในมรรคธนู ข้าอยากเปิดหูเปิดตามานานแล้ว’
จิ่งจงเยวี่ยแย้มยิ้ม
ขณะพูดคุย เขานั่งลงประจำที่กับคนจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณแล้ว
ส่วนจี้ซานไห่ยังคงเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากทุกคนในนี้ที่สุด
แต่นางคล้ายเคยชินกับการเป็นจุดรวมความสนใจเช่นนี้นานแล้ว หลังจากนั่งประจำที่ก็หยิบตำราม้วนหนึ่งออกมาอ่าน นิ่งสงบเรียบง่าย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่โดดเด่นเหนือโลกีย์เช่นนี้เสมือนผสานรวมกับฟ้าดินแถบนี้ได้อย่างลงตัว
ฟางเต้าผิงเอ่ยปากกล่าว “พี่จู่ ผู้เข้าร่วมของสี่หอบรรพจารย์ล้วนมากับครบแล้ว ควรมุ่งหน้าไปแดนมารสิบทิศเลยหรือไม่”
จู่เหวินเหิงยิ้มกล่าว “พี่ฟางอย่าเพิ่งใจร้อน ศึกมรรคอมตะครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านมา ยังมีผู้เข้าร่วมบางส่วนมาเข้าร่วมด้วย”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้จบ พวกฟางเต้าผิง ชื่อเย่จากลัทธิฌาน และพวกชิงอวิ๋นจากลัทธิวิญญาณต่างก็อึ้งไป เห็นชัดว่าล้วนไม่รู้ว่ายังมีเรื่องนี้ด้วย
กลับเห็นจู่เหวินเหิงกล่าวว่า “ลองคำนวณเวลาดูแล้ว พวกเขาก็น่าจะมากันแล้ว”
เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้เสียงรายงานสายหนึ่งก็ดังมาจากไกลๆ
“รายงาน! ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสิบตระกูลแห่งน่านฟ้าที่แปดเดินทางมากันแล้ว!”
เสียงดังทั่วฟ้าดิน
หัวคิ้วฟางเต้าผิงขมวดน้อยๆ เขานึกไม่ถึงว่าครั้งนี้หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดถึงกับดึงขุมอำนาจของสิบยักษ์ใหญ่อมตะเข้ามาด้วย!
เฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงล้วนประหลาดใจเช่นกัน เพียงแต่สีหน้าของพวกเขามีแววยินดีที่ปกปิดไม่มิดเจืออยู่รางๆ
สิบยักษ์ใหญ่อมตะ!
ขุมอำนาจไหนบ้างที่ไม่เกลียดหลินสวินเข้ากระดูก
ขุมอำนาจไหนบ้างที่ไม่อยากกำจัดผู้สืบทอดคีรีดวงกมลให้สิ้นซาก
ศึกมรรคอมตะครั้งนี้ หากรวมผู้แข็งแกร่งสิบยักษ์ใหญ่อมตะเข้าไปอีก หลินสวิน… มีหรือจะยังมีโอกาสรอดชีวิต
ขณะนี้แม้แต่หลีเจินที่นิ่งเงียบสงวนวาจามาตลอดก็ทนมองต่อไปไม่ได้เช่นกัน สื่อจิตกับหลินสวิน ‘ลัทธิพ่อมดจัดแจงเช่นนี้เห็นชัดว่าจงใจ หมายจะรวบรวมกองกำลังทั้งหมดมาเล่นงานเจ้า’
‘ไม่ คนที่พวกเขาจะเล่นงานไม่ใช่เพียงข้า ยังมีศิษย์พี่จิ่งจงเยวี่ยของข้าด้วย’
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ‘ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยืนยันว่าพวกเขาร้อนรนจนรอไม่ไหว ครั้งนี้หากฆ่าข้าไม่ตาย ภายหน้าเกรงว่าพวกเขาคงหาโอกาสไม่ได้อีก’
เขารู้ดียิ่ง อย่าว่าแต่สิบยักษ์ใหญ่อมตะ และไม่ต้องพูดถึงลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน ลำพังแค่พวกหยวนฉางเทียน เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงที่อยู่ข้างกาย เกรงว่าก็ไม่อยากเห็นตนรอดชีวิตกลับลัทธิแรกกำเนิดเช่นกัน!
แต่หลินสวินไม่ได้ใส่ใจ
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมาจากไกลๆ คนของสิบยักษ์ใหญ่อมตะมากันแล้ว ยักษ์ใหญ่อมตะแต่ละตระกูลล้วนส่งขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มาหนึ่งคน นำพาผู้เข้าร่วมศึกห้าคน รวมกันเป็นหกสิบคนพอดี เรียกได้ว่ากำลังพลมากมาย
สิบยักษ์ใหญ่อมตะนี้ ได้แก่ตระกูลหวัง ตระกูลตงหวง ตระกูลฝู ตระกูลจงหลี ตระกูลฉี ตระกูลมู่ ตระกูลชือ ตระกูลจู่ ตระกูลจิง และตระกูลจ้ง
ในจำนวนนี้ เมื่อหลายปีก่อนหน้าหลินสวินเคยประมือกับคนจากตระกูลตงหวง ตระกูลฝู ตระกูลจงหลี ตระกูลฉี และตระกูลมู่มาก่อน
และ ‘กระบี่ตัดมรรค’ ของตระกูลหวังก็เคยทำร้ายคงเจวี๋ยบาดเจ็บสาหัสนอกโบราณสถานทวยเทพ ทำให้หลินสวินแค้นเข้ากระดูกนานแล้ว
ส่วนผู้แข็งแกร่งตระกูลชือ ตระกูลจู่ ตระกูลจิง ตระกูลจ้ง หลินสวินก็เคยประมือด้วยทั้งหมดในงานถกมรรคเก้ายอดเขาเมื่อคราวก่อน
กล่าวได้ว่าในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ไม่มีตระกูลใดไม่ใช่ศัตรูคู่อริของหลินสวิน!
เมื่อพวกเขามาถึง จู่เหวินเหิงยิ้มกล่าวทันที “ผู้เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ล้วนมากันแล้ว เชิญทุกท่านร่วมเดินทาง มุ่งหน้าไปแดนมารสิบทิศพร้อมกับข้า”
กล่าวจบเขาก็นำทางอยู่หน้าสุด เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกไป
จากนั้นคนจากลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิฌาน ลัทธิพ่อมด และสิบยักษ์ใหญ่อมตะล้วนตามไปติดๆ
‘เข้าแดนมารสิบทิศครั้งนี้เจ้าต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะต้องคอยระวังคนตระกูลหวัง ข้าสงสัยว่าในหมู่ผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่าจะมีคนตระกูลหวังเป็นผู้นำทัพ หากพวกเขาพบเจ้าย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสสังหารเจ้าให้สิ้นซากแน่’
ระหว่างทางฟางเต้าผิงรีบสื่อจิตกำชับหลินสวินอย่างฉับไว
หลินสวินรับฟังเงียบๆ
เขาไม่หวั่นเกรงเรื่องพวกนี้ ตรงข้ามกลับเกิดความคาดหวังอย่างบอกไม่ถูก
ในขุมอำนาจที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะครั้งนี้ นอกจากลัทธิวิญญาณ ที่เหลือแทบจะเป็นศัตรูของเขาทั้งหมด!
นี่สำหรับเขาแล้ว มีหรือจะไม่ใช่โอกาสงามในการฆ่าศัตรูครั้งหนึ่ง
ไม่กลัวศัตรูมาก กลัวแต่ไม่มีศัตรู!
‘พี่หลิน หากเจ้ายินดี ข้าเต็มใจให้เจ้าเคลื่อนไหวพร้อมกับข้า ต่างฝ่ายต่างสามารถดูแลกันและกันได้’
ขณะเดียวกันระหว่างทางหยวนฉางเทียนก็สื่อจิต เห็นชัดว่าเขาเองก็ตระหนักได้ ว่าหลังจากเข้าแดนมารสิบทิศสถานการณ์ของหลินสวินจะเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ถึงขีดสุด
‘ไม่ต้องหรอก ต่างคนต่างเคลื่อนไหวดีกว่า เลี่ยงไม่ให้พวกผู้อาวุโสหยวนได้รับความเดือดร้นเพราะข้าไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ข้าจะกลายเป็นคนบาปของสำนักพวกเราแล้ว’
หลินสวินปฏิเสธง่ายๆ
หยวนฉางเทียนยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า ‘ไม่ว่าอย่างไร หลังจากเข้าแดนมารสิบทิศ หากพี่หลินต้องการก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ’
หลินสวินมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า ‘หากผู้อาวุโสหยวนต้องการ ข้าย่อมไม่กอดอกนิ่งดูดาย’
หยวนฉางเทียนหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก
ส่วนหลินสวินก็เริ่มไตร่ตรองเรื่องการเคลื่อนไหวหลังเข้าแดนมารสิบทิศ
แดนมารสิบทิศเป็นโลกไพศาลที่พิเศษยิ่งยวดแห่งหนึ่ง ลือว่าในนั้นมีพลังระเบียบของอารยธรรมยุคสมัยอยู่มากมาย
โลกใบนี้แบ่งออกเป็นสิบพื้นที่ใหญ่
ประกอบด้วยแปดแดนมารอย่าง แดนมารบูรพา แดนมารทักษิณ แดนมารประจิม แดนมารอุดร แดนมารอาคเนย์ แดนมารอีสาน แดนมารหรดี แดนมารพายัพ ทั้งมีแดนมารปฐพีและแดนมารสวรรค์ที่ตั้งอยู่ใจกลาง
ฉะนั้นจึงเรียกขานว่า ‘แดนมารสิบทิศ’
ผู้เข้าร่วมที่เข้าสู่แดนมารสิบทิศจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ใดก็ได้ในแดนมารแปดทิศรอบนอก
มีเพียงหลังจากเก้าปี ถึงจะสามารถผ่านปราการกั้นที่เปิดใช้งานและเข้าสู่แดนมารปฐพีได้
หลังจากกรำศึกในแดนมารปฐพีหนึ่งปี จึงจะสามารถไปยังแดนมารสวรรค์ได้
อย่างเช่นหากหลินสวินเข้าสู่แดนมารบูรพา ก็ต้องกรำศึกเป็นเวลาเก้าปีจึงจะสามารถเข้าแดนมารปฐพี และกรำศึกในแดนมารปฐพีอีกหนึ่งปีถึงจะเข้าแดนมารสวรรค์ได้
สาเหตุเป็นเพราะแดนมารปฐพีและแดนมารสวรรค์ล้วนพิเศษสุดขีด
และวาสนาใหญ่ในแดนมารสิบทิศก็มักจะซ่อนอยู่ในสองแดนมารนี้
…
ครึ่งเค่อให้หลัง
นอกโลกพ่อมด ส่วนลึกของฟ้าดาราแถบหนึ่งไอรีน
จู่เหวินเหิงที่มาถึงก่อนเรียกกระดูกสัตว์สีทองชิ้นหนึ่งออกมา ทะลวงห้วงอากาศออกไป
ตูม!
ก็เห็นส่วนลึกของฟ้าดารานั่นเกิดระลอกคลื่นกลางอากาศรุนแรงระลอกหนึ่ง จากนั้นประตูน้ำวนมายาบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางระลอกคลื่น
นี่ก็คือทางเข้าสู่แดนมารสิบทิศ!
สิบปีให้หลัง ผู้เข้าร่วมศึกที่รอดชีวิตทั้งหมดจะกลับออกมาจากในนั้น
“ครั้งนี้เป็นสหายยุทธ์จากลัทธิแรกกำเนิดเข้าไปเป็นกลุ่มแรก”
จู่เหวินเหิงกล่าว “พี่ฟาง ให้ผู้เข้าร่วมศึกจากลัทธิแรกกำเนิดของพวกเจ้าเข้าไปพร้อมกันเถิด”
ฟางเต้าผิงพยักหน้าน้อยๆ กวาดสายตามองพวกหลินสวินแล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าสุดท้ายอันดับจะเป็นอย่างไร ข้าหวังเพียงพวกเจ้าจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ ไปเถิด”
พวกหลินสวินล้วนประสานหมัดคารวะ พุ่งปราดไปทางประตูน้ำวนบานนั้น ไม่นานเงาร่างก็อันตรธานหายไป
“ถัดไปเป็นสหายยุทธ์จากลัทธิฌาน”
จู่เหวินเหิงกล่าว
…หลังจากนั้นขุมอำนาจแต่ละแห่งล้วนเข้าสู่ประตูน้ำวนอย่างต่อเนื่อง
และประตูน้ำวนบานนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป
ในฟ้าดาราแถบนี้ก็เหลือเพียงฟางเต้าผิง จู่เหวินเหิง จอมมุนีชื่อเย่ จอมวิญญาณชิงอวิ๋น และผู้นำขวบนของสิบยักษ์ใหญ่อมตะเหล่านั้น
“ทุกท่าน ศึกมรรคอมตะครั้งนี้จะกินเวลานานสิบปี ไม่สู้ไปร่ำสุราถกมรรคที่ลัทธิพ่อมดของข้าด้วยกันเป็นอย่างไร” จู่เหวินเหิงเอ่ยเสนอ
“ในเมื่อร่ำสุราถกมรรค ไยต้องวุ่นวายอีก อยู่ที่ฟ้าดารานี้ก็ได้”
จอมวิญญาณชิงอวิ๋นยิ้มกล่าว
“ได้”
ฟางเต้าผิงพยักหน้า
คนอื่นๆ ย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง
จากนั้นคนใหญ่คนโตเหล่านี้ก็นั่งขัดสมาธิกลางห้วงอากาศ ใช้ฟ้าดาราเป็นม่าน ร่ำสุราพูดคุย ดูผิวเผินก็สนุกสนานรื่นเริงทีเดียว
…
ฟ้าดินเวิ้งว้าง ไกลสุดลูกหูลูกตา
วู้ม!
แดนมารบูรพา
ในเมืองใหญ่เก่าแก่ที่ตั้งอยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาแห่งหนึ่ง ปรากฏเกลียวคลื่นห้วงอากาศระลอกหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของหลินสวิน หยวนฉางเทียน เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิง หลีเจินห้าคนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ทั้งห้าคนล้วนรู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันระลอกหนึ่งทันที
นั่นเป็นกลิ่นอายผสมปนเปที่คละคลุ้งกลางห้วงอากาศ เต็มไปด้วยพลังระเบียบปั่นป่วน ลอยคละเคล้ากลางสายลม ยามพัดผ่านตัวคนก็เหมือนมีดกรีด
หากผู้ฝึกปราณต่ำกว่ามรรคาอมตะเข้ามา เกรงว่าจะรับการโจมตีของพลังระดับนี้ไม่ไหว!
“เป็นอย่างที่ลือกันดังคาด พลังระเบียบที่มีในแดนมารสิบทิศแห่งนี้มีมากเกินไป ส่งผลให้กลิ่นอายฟ้าดินล้วนเปลี่ยนเป็นรุนแรงผสมปนเป เต็มไปด้วยพลังระเบียบปั่นป่วน น่าเสียดาย พลังระเบียบเหล่านี้ไม่สามารถถูกหลอมได้ ไม่มีค่าสำหรับพวกเราแม้แต่นิด”
หยวนฉางเทียนมองสำรวจรอบบริเวณแล้วส่งเสียงทอดถอนใจ
พวกเขาทุกคนล้วนมาเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับแดนมารสิบทิศมาก่อนแล้ว แต่ยามมาถึงโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายใบนี้จริงๆ ก็ยังอดเสียวสะท้านไม่ได้
“เมืองนี้นามว่า ‘เมืองบูรพา’ เป็นสถานที่ใจกลางของแดนมารบูรพา ในเก้าปีถัดจากนี้เกรงว่าพวกเราต้องใช้ชีวิตที่นี่แล้ว…”
เฉาเป่ยโต้วกล่าวเสียงเบา
“นี่ไม่เป็นปัญหา ตัดแดนมารสวรรค์และแดนมารปฐพีออกไปไม่พูดถึง ในเก้าปีนี้พวกเรายังสามารถไปล่าสัตว์ระเบียบในพื้นที่เจ็ดแดนมารอื่นได้ แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมจากขุมอำนาจอื่นก็จะปรากฏตัวในแดนมารบูรพาแห่งนี้ได้ทุกเมื่อเช่นกัน”
หยวนฉางเทียนกล่าวถึงตรงนี้ก็ทอดสายตามองหลินสวิน “พี่หลิน เจ้าตัดสินใจอยู่ที่แดนมารบูรพานี้ต่อ หรือจะไปตระเวนที่เขตอื่น”
……………………..