Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2850 หยุดชะงัก
บนยอดเขา
หลินสวินและหลีเจินยืนเคียงกัน
เบื้องหน้าพุทธองค์สี่คนแห่งลัทธิฌานยืนห่างออกไปพันจั้ง แสงธรรมพุ่งขวางกลางฟ้าดิน วิเศษศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต
เบื้องหลังหวังเจวี๋ยฮ่วนโบกมือเบาๆ นำทุกคนมายืนกลางห้วงอากาศห่างไปพันจั้งเช่นกัน
“สหายยุทธ์ลัทธิฌานทั้งสี่ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ข้าคนแซ่หวังหวังว่าทุกท่านจะยอมถอยสักก้าว ยกเจ้าหลินสวินนี่ให้พวกเราจับตาย”
หวังเจวี๋ยฮ่วนเอ่ยปากราบเรียบ
เขาเป็นบุตรฟ้าประทานตระกูลหวัง ยามเผชิญหน้ากับผู้ฝึกปราณลัทธิฌานก็มั่นใจเต็มเปี่ยม
“คนผู้นี้เป็นศัตรูตัวฉกาจของลัทธิฌานของข้า ย่อมต้องให้พวกข้ารับตัวเขาไปลงโทษที่สำนัก หวังว่าทุกท่านจะไม่ทำให้พวกข้าลำบากใจ”
พุทธองค์ขู่เสวียนที่เป็นผู้นำพนมสองมือ เอ่ยปากราบเรียบ
เห็นชัดว่าเหตุที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายเลือกหยุดเท้า ไม่ได้ลงมือในทันที เป็นเพราะหวั่นเกรงอีกฝ่าย กังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งแย่งกันล่าหลินสวิน
ในใจหลีเจินผุดความโกรธและไอสังหารที่บอกไม่ถูก
ขุมอำนาจสองแห่งนี้ถึงกับมองพวกเขาเป็นเหยื่อที่รอถูกเชือดตามใจ!
หลินสวินไม่หวั่นไหว มีเพียงนัยน์ตาที่ลุ่มลึกจนน่ากลัว
ขณะเดียวกันหัวคิ้วหวังเจวี๋ยฮ่วนขมวดน้อยๆ กล่าวว่า “ดื้อด้านเช่นนี้มีแต่จะให้เวลาเจ้าหลินสวินนี่ฟื้นฟูพลังกาย หากทุกท่านดึงดันไม่ยอมถอย เช่นนั้นก็มีแต่ต้องพึ่งวิธีการของตัวเองเท่านั้นแล้ว”
“ก็ดี”
ขู่เสวียนพยักหน้า สีหน้านิ่งสงบไม่หวั่นไหว
ตูม!
มือซ้ายหวังเจวี๋ยฮ่วนโบกคราหนึ่ง กระบี่โบราณลายสนส่งเสียงครวญกังวานทันที ฟันไปทางหลินสวิน
กระบี่นี้อานุภาพทะลวงอากาศ สะเทือนฟ้าดิน!
เกือบจะในเวลาเดียวกันขู่เสวียนก็ลงมือเช่นกัน บาตรทองอร่ามใบหนึ่งทะยานอากาศ ปากบาตรลาดเอียง ในนั้นพ่นกระแสแสงธรรมสว่างเรืองรองออกมา พุ่งไปทางยอดเขาที่หลินสวินและหลีเจินอยู่
ชิ้ง!
หลีเจินโบกดาบศึกสีดำหมายจะสกัดกั้น ก็เป็นตอนนี้เอง…
กฎเกณฑ์เวลากลางฟ้าดินราวถูกชักนำ แสงไหลเวียนนับไม่ถ้วนร่ายระบำ พลังกาลเวลาเป็นสายๆ ตัดสลับพันเกี่ยวเข้าด้วยกัน กลายเป็นพลังผนึกคลุมเครือลวงตาปกคลุมทั่วทั้งบนล่างของยอดเขาลูกนี้
อภินิหารพรสวรรค์ขั้นสี่ ประทับผนึกเวลา!
ทันทีที่ปราณกระบี่ที่หวังเจวี๋ยฮ่วนฟันออกมาสัมผัสกับประทับผนึกเวลา ก็อันตรธานหายไปอย่างเงียบๆ ส่วนพลังแสงธรรมที่รินรดออกมาจากบาตรทองก็ถูกสลายไปอย่างเงียบงันเช่นกัน
ไม่มีเสียงดังกึกก้อง ไม่มีการปะทะ
เสมือนหิมะละลายไปกับน้ำ วัวดินจมสู่สมุทร!
ภาพน่าเหลือเชื่อนี้ทำเอาพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนและพวกขู่เสวียนล้วนนัยน์ตาหดรัด
“ผนึกที่สร้างจากพลังแห่งกาลเวลา!”
นัยน์ตาหวังเจวี๋ยฮ่วนเผยแววยากจะเชื่อออกมา
กาลเวลาเดิมก็เป็นมหามรรคระดับสูงสุดอย่างหนึ่ง ระดับจักรพรรดิสามารถสัมผัสได้ แต่ไม่อาจหยั่งรู้
ระดับอมตะสามารถหยั่งรู้ แต่ก็หยั่งรู้ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่อาจหยั่งถึงลึกซึ้ง
ในโลกนี้มีเพียงระดับนิรันดร์เท่านั้นจึงจะสามารถสัมผัสและครอบครองนัยเร้นลับแห่งกาลเวลาได้!
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับใช้พลังแห่งกาลเวลาควบรวมเป็นผนึก!
หากไม่รู้แต่แรกว่าพลังพรสวรรค์ของหลินสวินเกี่ยวข้องกับกาลเวลา ภาพนี้ก็เกือบล้มล้างความรู้ความเข้าใจของหวังเจวี๋ยฮ่วนได้แล้ว
ไม่เพียงแค่เขา ในใจคนอื่นๆ ในที่นี้ก็สะท้านสะเทือนเช่นกัน
แววตาหลีเจินวูบไหวระลอกหนึ่ง เก็บดาบศึกลงไปเงียบๆ
เพียงแต่เขามองออกว่าสีหน้าของหลินสวินในขณะนี้กลับซีดขาวผิดปกติ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างอ่อนแรงสุดขีด เห็นชัดว่าผนึกกาลเวลานี้ทำให้เขาสูญเสียพลังไปมหาศาล!
อันที่จริงสภาพของหลินสวินในตอนนี้เหมือนตะเกียงใกล้หมดน้ำมันแล้ว
ตั้งแต่เริ่มโจมตีพวกจิงอิ่งจนบัดนี้ เขาใช้ทั้งอภินิหารหยุดเวลา ประตูเนรเทศ จนตอนนี้ยังใช้ประทับผนึกเวลาอีก ทำให้พลังในตัวเขาจวนจะเหือดแห้ง
“ผู้อาวุโสไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเราแค่นั่งฝึกปราณอยู่ที่นี่ก็พอ”
หลินสวินกล่าวพลางนั่งขัดสมาธิ คว้าโอสถอมตะสุริยันจันทรากำใหญ่ยัดใส่ปาก จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำสมาธิสุดกำลัง
ส่วนศัตรูในบริเวณใกล้เคียง เขาไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง ทำเหมือนมองไม่เห็น
หลีเจินอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิฝึกปราณตามอย่างหลินสวิน
ยามมองเห็นภาพนี้ สีหน้าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนล้วนอึมครึม
หัวคิ้วของพวกขู่เสวียน ขู่จี้ก็ขมวดมุ่นเช่นกัน
“ข้าลองดูเอง!”
ขู่จี้เอ่ยปากเสียงขรึม สาวเท้าก้าวขึ้นไปพลางหยิบโคมเขียวออกมาจากแขนเสื้อ
โคมเขียวกวัดแกว่ง ประพรมพลังกาลเวลา งดงามดั่งมายา ประหนึ่งระลอกคลื่นเป็นริ้วๆ แผ่มาทางยอดเขาที่หลินสวินอยู่
ปึงๆๆ!
เสียงกึกก้องดังอึงอล ก็เห็นว่าหลังจากระลอกคลื่นเป็นริ้วๆ นั่นปะทะกับประทับผนึกเวลา กลับเหมือนลำธารไหลรวมสู่มหาสมุทร ถูกประทับผนึกเวลาดูดซับกลืนกินจนเกลี้ยง
ขู่จี้หน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ รีบเก็บโคมเขียวไว้ทันที หว่างคิ้วเจือแววประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง
“ฟัน!”
ขณะเดียวกันขั้นดับเทพคนหนึ่งข้างกายหวังเจวี๋ยฮ่วนตะโกนเสียงดัง โบกควงทวนใหญ่เล่มหนึ่งฟันออกไปเต็มแรง ในคมประกายของทวนใหญ่ถึงกับมีพลังแห่งกาลเวลาไหลเวียนอยู่รำไร
ฟุ่บ!
ก็เห็นประกายคมเสี้ยวหนึ่งฟันออกไป กระแทกเข้ากับประทับผนึกเวลาเต็มแรง แต่กลับทำได้เพียงเกิดคลื่นพลังระลอกหนึ่งพุ่งออกมาเท่านั้น จากนั้นประทับผนึกเวลาก็กลับสู่สภาพปกติตามเดิม
ภาพนี้ทำเอาทุกคนในที่นี้สีหน้าเริ่มไม่น่าดูอยู่บ้าง “ฮณ๊ฯดฯฌซ,
หรือว่าผนึกกาลเวลานี้ไม่สามารถทำลายได้จริงๆ
พวกเขาไม่ยอม!
ไม่ง่ายกว่าจะต้อนหลินสวินได้ แต่กลับไม่สามารถจับตัวเขาเอาไว้ได้ นี่ทำให้พวกเขาดาลโทสะเป็นเท่าตัว
หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนหรือพวกขู่เสวียนล้วนเริ่มใช้วิธีของตน พยายามทลายประทับผนึกเวลานั่น
สมบัติทุกชนิด วิชามรรคต่างๆ… ถูกสำแดงออกมาไม่รู้จบ
แต่สุดท้ายล้วนล้มเหลวทั้งหมด
พลังของประทับผนึกเวลาเร้นลับยากหยั่งถึงเกินไป เสมือนว่าพลังและการโจมตีใดๆ ที่อยู่ต่อหน้ามันล้วนเปลี่ยนเป็นอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทั้งสิ้น
เมื่อมองดูหลินสวินและหลีเจินอีกครั้ง ต่างวางตัวสบายๆ นั่งขัดสมาธิ ท่าทางลืมเลือนตัวตนไปหมดสิ้น
นี่ทำให้สีหน้าของพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนล้วนอึมครึมถึงขีดสุดเช่นกัน
ตั้งแต่ศึกนี้เริ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมศึกตระกูลจิงห้าคนอย่างพวกจิงอิ่งถูกกำจัดรวดเดียว จากนั้นผู้เข้าร่วมศึกตระกูลจงหลีคนหนึ่งก็ตายอนาถอยู่ใต้โกรกธารลึก
และจากนั้นภายใต้อภินิหารประตูเนรเทศของหลินสวิน ก็สังหารผู้เข้าร่วมศึกเจ็ดคนในคราวเดียว!
กำลังพลที่ตอนแรกมีกันยี่สิบห้าคน ตอนนี้กลับเหลือเพียงสิบสองคนเท่านั้น
การสูญเสียสาหัสเช่นนี้ใครจะไม่เดือดดาลบ้าง
ที่น่าโมโหที่สุดคือทั้งที่หลินสวินอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้ นี่ทำให้พวกเขาใกล้อกแตกชัดๆ
หัวคิ้วของพวกขู่เสวียน ขู่จี้ เจวี๋ยเวิน เจวี๋ยเจินก็ขมวดมุ่นหนักกว่าเดิม
“ผนึกนี้ควบรวมมาจากพลังกาลเวลา ย่อมไม่สามารถคงอยู่ไปตลอด บางทีอีกไม่นานผนึกนี้ก็จะทลายลง”
มีคนกล่าวอย่างใคร่ครวญ
และมีคนเอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่ามอง “แต่แม้จะทลายลง หลินสวินก็สามารถควบรวมผนึกกาลเวลาขึ้นมาใหม่ได้อีก”
“ใช้พลังผนึกระดับนี้ต้องทำให้เขาเสียพลังไปมากแน่ ข้าไม่เชื่อเช่นกันว่าเขาจะยืนหยัดเช่นนี้ได้ถึงสิบปี!”
หวังเจวี๋ยฮ่วนกัดฟัน “กระจายข่าวออกไป ให้ผู้เข้าร่วมศึกอีกห้าขุมอำนาจที่เหลือเร่งเดินทางมาปิดผนึกพื้นที่แห่งนี้ไว้ให้หมด ข้าอยากดูนักว่าใครจะยืนหยัดได้มากกว่ากัน!”
นี่เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายรับที่สุด แต่ขณะนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
“ไม่ผิด เขาอยากยืนหยัดนัก พวกเราก็จะยืนหยัดไปกับเขาด้วย!”
มีคนกล่าวดุดัน “ก็แค่สิบปีไม่ใช่หรือ หากเขาหลินสวินสามารถยืนหยัดไปถึงตอนนั้นได้ ให้ข้าปาดคอฆ่าตัวตายยังได้!”
พวกขู่เสวียน ขู่จี้ที่อยู่ห่างออกไปสบสายตากันไปมา ล้วนจนปัญญาอยู่บ้าง
พวกเขาไม่เหมือนกับพวกหวังเจวี๋ยฮ่วน เป้าหมายในการเข้าร่วมศึกมรรคอมตะไม่ใช่แค่จัดการหลินสวิน ยังต้องล่าสัตว์ระเบียบ สะสมคะแนนการต่อสู้อีกด้วย
หาไม่อันดับในศึกมรรคอมตะครั้งนี้ของลัทธิฌานของพวกเราก็จะได้รับผลกระทบ
“พวกเราอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน หากยังคงไม่อาจลงมือได้ค่อยตัดสินจากไป”
สุดท้ายขู่เสวียนก็ตัดสินใจ
หลังจากนั้นภูผาธาราแถบนี้กลับสู่ความเงียบสงบดังเช่นที่ผ่านมา เพียงแต่บรรยากาศของบริเวณนี้กลับแปลกไปอยู่บ้าง
หลินสวินและหลีเจินนั่งขัดสมาธิฝึกปราณบนยอดเขา
ส่วนเบื้องหน้าและเบื้องหลังของพวกเขา พุทธองค์สี่คนจากลัทธิฌาน และพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนสิบสองคนต่างก็นั่งขัดสมาธิฝึกปราณอยู่กลางห้วงอากาศเช่นกัน…
ไกลออกไป
เหนือยอดเขาลูกหนึ่ง เมื่อมองเห็นภาพนี้หยวนฉางเทียนก็อึ้งไปเช่นกัน
นี่มันสถานการณ์อะไร
เขาสวมเสื้อคลุมขนนกสีเข้ม แปลงพลังคลุมเครือชั้นหนึ่งปกคลุมร่างของเฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงไว้ข้างใน
นี่คือ ‘เสื้อคลุมขนนกบังฟ้า’ สามารถปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดได้ เร้นลับถึงขีดสุด เว้นแต่จะเป็นระดับนิรันดร์ ที่เหลือล้วนไม่อาจมองทะลุสักนิด
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือเสื้อคลุมขนนกบังฟ้าไม่สามารถใช้ในสถานะต่อสู้ได้
“เห็นชัดว่าหลินสวินถูกล้อมกรอบแล้ว ตอนนี้อาศัยพลังผนึกสายหนึ่งฝืนยืนหยัด แต่จากที่ข้าดูคงยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว!”
เฉาเป่ยโต้วมีความสุขบนเคราะห์ของผู้อื่น
“ผนึกกาลเวลา ไพ่ตายในตัวเจ้าหมอนี่ช่างมีมากจริงๆ แต่น่าเสียดายนัก ตอนนี้เขาก็คือสัตว์ที่ถูกขังแล้ว”
อวิ๋นเทียนหมิงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“น่าเสียดายจริงๆ”
หยวนฉางเทียนถอนใจเบาๆ “เดิมข้าตั้งใจจะลงมือช่วยเหลือเขาสักครา แต่ตอนนี้ดูท่าหากพวกเราสอดมือเข้าไป กลับจะถูกพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนและผู้เข้าร่วมศึกลัทธิฌานมองเป็นคู่ต่อสู้ แม้ว่าข้าจะไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากก่อปัญหา”
เฉาเป่ยโต้วยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสหยวนกล่าวถูกต้องที่สุด การช่วยหลินสวินก็เท่ากับชักภัยใส่ตัว ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง”
“ผู้อาวุโสหยวน ต่อจากนี้พวกเราควรทำอย่างไร”
อวิ๋นเทียนหมิงถาม
หยวนฉางเทียนนิ่งเงียบสักพักแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าว่าหากปล่อยข่าวของที่นี่ออกไป ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดจะถูกล่อมาหรือไม่”
เฉาเป่ยโต้วนัยน์ตาวาววับ “แน่นอนอยู่แล้ว!”
“เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด”
อวิ๋นเทียนหมิงก็ยิ้มเช่นกัน
หลินสวินถูกขังอยู่ที่นี่ หลังจากขุมอำนาจที่มองเขาเป็นศัตรูเหล่านั้นรู้ข่าวมีหรือจะนิ่งดูดาย
“อันที่จริงหากคิดอยากคลี่คลายเหตุการณ์นี้ก็ง่ายดายยิ่ง จับตัวผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจิ่งจงเยวี่ยจากลัทธิวิญญาณคนนั้นไว้ ใช้วิธีนี้มาข่มขู่ ต้องทำให้หลินสวินไม่อาจหลบอยู่ในผนึกกาลเวลานั่นได้อีกเป็นแน่”
หยวนฉางเทียนกล่าวง่ายๆ “ที่น่าเสียดายคือจี้ซานไห่เป็นผู้นำของผู้เข้าร่วมศึกลัทธิวิญญาณในครั้งนี้ ด้วยอุปนิสัยและอารมณ์ของนาง ย่อมไม่มีทางให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแน่”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็ทอดถอนใจเบาๆ
เฉาเป่ยโต้วกล่าวด้วยนัยน์ตาทอประกาย “แต่หากให้จิ่งจงเยวี่ยรู้เรื่องนี้ เขาต้องมุ่งหน้ามาช่วยหลินสวินเป็นแน่ ถึงตอนนั้นอาจเกิดเหตุที่คาดไม่ถึงบางอย่าง”
หยวนฉางเทียนเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวว่า “โง่งม หากจี้ซานไห่ก็ตามมาด้วยเล่า เจ้าว่านางจะอยู่เฉยๆ มองดูจิ่งจงเยวี่ยมาตายเปล่าหรือ”
เฉาเป่ยโต้วสีหน้าแข็งทื่อ กล่าวกระอักกระอ่วน “ผู้อาวุโสหยวนสั่งสอนได้ถูกต้องนัก”
“แค่ส่งข่าวให้คนลัทธิพ่อมดก็พอ”
หยวนฉางเทียนใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ “ด้วยกำลังของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ครั้งนี้หลินสวิน… คงจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตต่อไปได้อีกแล้ว”
เขาระมัดระวังยิ่งอย่างเห็นได้ชัด กล่าวเพียงว่า ‘คงจะ’ แต่ไม่ใช่ ‘ต้อง’
เพราะเขารู้ดีว่าก่อนที่จะมีบทสรุป ทุกเรื่องล้วนมีตัวแปรเสมอ
แต่หยวนฉางเทียนมั่นใจแล้วว่าตัวแปรที่ทำให้หลินสวินรอดชีวิตได้ในครั้งนี้… มีไม่มากจริงๆ!
——