Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2853 ผลพวง
หลินสวินและหลีเจินเดินทางไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นห้วย
เมื่อผ่านการหลอมพลังระเบียบ ทำให้หลินสวินรับรู้ถึงความแตกต่างของต้นกำเนิดระเบียบระดับปฐพีและต้นกำเนิดระเบียบระดับสวรรค์อย่างชัดเจน
ต้นกำเนิดระเบียบระดับสวรรค์บริสุทธิ์กว่า พลังที่บรรจุภายในก็มากกว่า และเป็นประโยชน์ต่อการฝึกปราณยิ่งกว่า
เมื่อเทียบกันแล้วต้นกำเนิดระเบียบระดับปฐพีธรรมดาสามัญอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความแตกต่างด้านการฝึกปราณเท่านั้น
สำหรับขั้นดับเทพคนใดก็ตาม ระเบียบระดับปฐพียังคงเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
ในช่วงเวลาถัดจากนี้หลินสวินและหลีเจินเดินทางไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นห้วย จิตใจล้วนจดจ่ออยู่กับการล่าสัตว์ระเบียบ
ด้วยพลังต่อสู้ของทั้งคู่ ไม่ต้องกลัวสัตว์ระเบียบระดับสวรรค์ธรรมดาทั่วไปสักนิด
…
และเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ข่าวการพ่ายแพ้ของผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะอย่างพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนก็ไม่สามารถปกปิดได้สักนิด ไม่นานก็แพร่สะพัดไปทั่ว กระจายไปตามแดนมารต่างๆ
แดนมารทักษิณ
ส่วนลึกของหนองน้ำแห่งหนึ่ง
พรูด!
หัวของสัตว์ปีศาจระดับสวรรค์ขั้นห้าที่รูปร่างเหมือนงูยักษ์ตัวหนึ่งถูกฝ่ามือหนึ่งตบกระจุย ร่างกายมหึมากระแทกในหนองน้ำ คลื่นน้ำสีโลหิตพุ่งกระเด็น
ชางฝูเฟิงยื่นมือออกไปคว้า พลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นห้าสายหนึ่งก็ตกสู่กลางฝ่ามือ
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนบัดนี้เป็นเพียงไม่กี่อึดใจสั้นๆ เท่านั้น
มองดูเงาร่างผอมสูงของเขายืนอยู่เหนือหนองน้ำ ในแววตาผู้เข้าร่วมศึกจากลัทธิพ่อมดสี่คนล้วนทอแววบ้าคลั่ง
ลัทธิพ่อมดศรัทธาในพลัง ยึดความแข็งแกร่งเป็นหลัก
ยิ่งเป็นพวกแข็งแกร่งเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความเคารพเลื่อมใส
ในช่วงนี้พวกเขาติดตามอยู่ข้างกายชางฝูเฟิง เห็นด้วยตาตัวเองว่าชางฝูเฟิงล่าสัตว์ระเบียบด้วยอานุภาพทำลายล้างล้นหลามอย่างไร ในใจก็ยิ่งเคารพนับถือต่อชางฝูเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ
“นายน้อย เพิ่งสืบข่าวมาได้ว่าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนพ่ายแพ้แล้ว”
เมื่อเห็นชางฝูเฟิงเดินมาแต่ไกล ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิพ่อมดคนหนึ่งรีบกล่าวรายงานเป็นพัลวัน
“พ่ายแพ้หรือ”
ชางฝูเฟิงอึ้งไป นัยน์ตาเจิดจ้าดุจคบไฟคู่นั้นไหลมีเพลิงเทพประหนึ่งแผดเผาฟ้าลุกโชน “แพ้อย่างไร”
“เรื่องนี้ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนนี้ผู้เข้าร่วมศึกจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะเหลือเพียงยี่สิบห้าคนแล้ว คนบาดเจ็บล้มตายไม่อาจเรียกว่าไม่สาหัส”
ชางฝูเฟิงหรี่ตาลง เนิ่นนานกว่าจะกล่าวว่า “เจ้าหลินสวินนี่… ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เขาเจือความทอดถอนใจ
มรรควิถีขั้นดับเทพขั้นต้น แต่กลับสามารถสร้างผลงานการต่อสู้นองเลือดเช่นนั้นภายใต้การล้อมกรอบแน่นหนาได้ นี่ทำให้ในใจเขายังหนาวเยือกไม่หยุด
“นายน้อย เจ้าหมอนี่ตึงมือหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ หลายปีต่อจากนี้หากเขาหลอมพลังระเบียบมากขึ้นเรื่อยๆ มีหรือที่มรรควิถีของเขาจะไม่พัฒนาขึ้นไปด้วย”
มีคนเอ่ยเตือน
“เจ้าจะให้ข้าไปจัดการเขาตอนนี้หรือ”
นัยน์ตาชางฝูเฟิงมองทางคนผู้นั้น ฝ่ายหลังแข็งทื่อไปทั้งตัวทันที เหงื่อเย็นผุดพราย รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ข้าเพียงแต่กังวลว่ายามเข้าสู่แดนมารปฐพี คนผู้นี้จะกลายเป็นหายนะร้ายแรง”
“หายนะร้ายแรง…”
ชางฝูเฟิงหัวเราะน้อยๆ “เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที”
ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่การสังหารหลินสวิน ที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะก็แค่อยากไขว่คว้าศุภโชคยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนมารสิบทิศก็เท่านั้น
นี่จะเป็นประโยชน์ยิ่งยวดต่อการทะลวงขั้นหลุดพ้นของเขา
…
แดนมารอุดร
“ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว หากพวกเจ้าอยากไปจัดการหลินสวิน ข้าไม่ขัดขวาง แต่ตอนนี้ข้าจะไม่ลงมือ”
เหวินเฉียวสุ่ยเอ่ยปากเนิบๆ
เขายืนอยู่บนชั้นเมฆ กำลังเสาะหาร่องรอยของสัตว์ระเบียบ
เขาสวมชุดคลุมสีฟ้า ผมมวยเป็นทรงนักพรต หล่อเหลาราวหยก ทั่วร่างผ่องแผ้วบริสุทธิ์ อุปนิสัยกลับลึกล้ำดุจหินผา เมื่อทำการตัดสินใจจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ
ไม่ไกลนักในใจพุทธองค์ทั้งสี่จากลัทธิฌานล้วนทอดถอนใจ
หากมีเหวินเฉียวสุ่ยลงมือ พวกเขามั่นใจว่าสามารถฆ่าหลินสวินให้ตายได้ แต่ที่น่าเสียดายคือเหวินเฉียวสุ่ยไม่คิดจะทำเช่นนี้
และพวกเขาก็ไม่กล้าไปขัดขืน
เผ่าเทพตระกูลเหวินแห่งน่านฟ้าที่เก้ามีคนใหญ่คนโตที่สะเทือนฟ้าดินไม่น้อย ในกาลเวลาที่ผ่านมาก็เคยให้การสนับสนุนลัทธิฌานมากมาย
เหวินเฉียวสุ่ยเป็นหนึ่งในบุตรเทพตระกูลเหวิน พวกเขาก็ไม่อาจไม่เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย
“ทุกคนวางใจได้ เวลาต่อจากนี้หากบังเอิญพบหลินสวิน ข้าก็ไม่รังเกียจจะช่วยพวกเจ้าอีกแรง”
เมื่อเหวินเฉียวสุ่ยเอ่ยประโยคนี้ออกมา ถึงค่อยทำให้พวกขู่เสวียน ขู่จี้สบายใจขึ้นไม่น้อย
…
แดนมารประจิม
ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ซากโครงกระดูกกองสะสมระเนระนาด สีโลหิตเปื้อนทั่วพื้นดิน ดูน่าสยองขวัญ
จี้ซานไห่ปัดมือเบาๆ กล่าวว่า “เก็บกวาดสนามรบ รอจิ่งจงเยวี่ยกลับมาพวกเราค่อยไปสถานที่ถัดไป”
นางเงาร่างสูงระหง สวมอาภรณ์สีเข้มตัวหลวมสบาย ผมยาวดำสนิทดุจหมึกถูกมวยขึ้นและปักปิ่นสีเขียวมรกตไว้เฉียงๆ ดวงหน้างดงามเกลี้ยงเกลา
ตัวนางดุจดั่งกล้วยไม้กลางหุบเขาลึก เป็นอิสระจากโลก ดุจดั่งไม่แปดเปื้อนโลกีย์ ปราศจากมลทินแม้เพียงเศษเสี้ยว
แต่ผู้สืบทอดลัทธิวิญญาณเหล่านั้นแต่ละคนล้วนผุดเหงื่อเย็นชุ่ม
ก่อนหน้านี้ก็เป็นธิดาเทพผู้มีฉายา ‘เป็นเลิศในหมู่โฉมสะคราญ พิสุทธิ์หนึ่งเดียวในโลกีย์’ ผู้นี้ ที่สังหารหมู่สัตว์ระเบียบทั้งฝูงในหุบเขาแถบนี้อย่างง่ายดาย
สัตว์ปีศาจทุกตัว ไม่ว่าพลังจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอล้วนถูกมือหยกเรียวเล็กขาวเนียนของนางตบตาย ร่างแตกระเบิด แขนขากระจุบกระจาย ตายในสภาพอเนจอนาถ
ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีโอกาสให้พวกเขายื่นมือเข้าแทรก!
และใครจะไปคาดคิดอีกว่าหญิงงามที่เงียบสำรวมดุจเซียน บุคลิกดั่งกล้วยไม้คนนี้ ยามต่อสู้กลับมีท่วงท่าดุจภูผามหาสมุทร อานุภาพพาดขวางฟ้าดิน
“ควรเคลื่อนไหวแล้ว””ฮณ๊ฯดฯฌซ,
นัยน์ตาดุจสายน้ำของจี้ซานไห่กวาดมองผู้สืบทอดลัทธิวิญญาณสามคนนี้ปราดหนึ่ง
ทันใดนั้นผู้สืบทอดลัทธิวิญญาณเหล่านี้ราวเพิ่งตื่นจากความฝัน รีบเริ่มจัดการทรัพย์หลังศึกเป็นพัลวัน
สวบ!
และขณะเดียวกันแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งพุ่งมาจากไกลโพ้น อึดใจเดียวก็ปรากฏอยู่กลางพื้นที่นั้น และกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมกร้าวแกร่งคนหนึ่ง ผมดำของเขามัดไว้ตรงท้ายทอย เส้นกรอบหน้าคมชัด นัยน์ตาลุ่มลึกคมกริบ ผิวสีข้าวสาลีทั่วร่างทอประกายเรืองรองอยู่ใต้แสงนภา
เป็นจิ่งจงเยวี่ย!
“เป็นอย่างไร”
จี้ซานไห่ถาม
จิ่งจงเยวี่ยยิ้มบางๆ เผยฟันขาวสว่างทั้งปาก “ศิษย์น้องเล็กคนนั้นของข้าปลอดภัยดี”
“ในฐานะผู้สืบทอดที่อาจารย์ของพวกเจ้ารอคอยมาหมื่นกาล ทั้งยังถูกพวกเฒ่าชราลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นให้ความสำคัญขนาดนี้ ต่อให้เขาอยากประสบเคราะห์เกรงว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเด็ดขาด”
จี้ซานไห่กล่าว
ไม่ไกลนักมีคนเอ่ยถามว่า “พี่จิ่ง กองกำลังของสิบยักษ์ใหญ่อมตะยังไม่สามารถกักขังศิษย์น้องเล็กคนนั้นของเจ้าได้หรือ”
ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิวิญญาณครั้งนี้ นอกจากจิ่งจงเยวี่ย อีกสามคนที่เหลือคือ ผูซงจื่อ ถานหลิวอวิ๋น และเยวี่ยโหยวเฟิง
คนที่เอ่ยปากถามคือผูซงจื่อ
“ฮ่าๆๆ”
จิ่งจงเยวี่ยหัวเราะลั่นออกมา กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ใช่เพียงกักขังไม่ได้ที่ไหน ยังถูกศิษย์น้องเล็กคนนั้นของข้าสังหารเหมือนดอกไม้ร่วงตามสายน้ำ พ่ายแพ้รอบด้าน จนบัดนี้เหลือเพียงยี่สิบห้าคนเท่านั้นที่รอดชีวิต”
ทุกคนล้วนอึ้งไป หยุดการเคลื่อนไหวในมือ สีหน้ายากจะเชื่อ
จี้ซานไห่ยังอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างประหลาดใจ “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
จิ่งจงเยวี่ยพยักหน้า “ไม่ผิด”
“คนเดียวหรือ” จี้ซานไห่กล่าว
“ยังมีผู้อาวุโสหลีเจินจากลัทธิแรกกำเนิดด้วย”
ฟังจบจี้ซานไห่ก็อดจมสู่ภวังค์ใคร่ครวญไม่ได้
พวกผูซงจื่อก็ราวกับหม้อเดือดไม่ปาน แต่ละคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“ข้ารู้จักหลีเจินและเคยคบค้ากับเขา รู้ดียิ่งว่าพลังต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดามาก และไม่ใช่คนระดับเดียวกันทั่วๆ ไปจะเทียบชั้นได้ เพียงแต่ต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหน เกรงว่าก็ทำถึงขั้นนี้ไม่ได้สักนิด”
ถานหลิวอวิ๋นกล่าวอย่างใคร่ครวญ
“กล่าวเช่นนี้ ประเด็นสำคัญก็ยังอยู่ที่ตัวหลินสวินหรือ”
ผูซงจื่อกล่าวอย่างตกใจ
“นี่ก็ต้องลองถามพี่จิ่งแล้ว”
ถานหลิวอวิ๋นทอดสายตามองจิ่งจงเยวี่ย
จิ่งจงเยวี่ยไหวไหล่กล่าวว่า “ข้าไม่ได้รู้เรื่องศิษย์น้องเล็กนัก รู้เพียงว่าเขาแข็งแกร่งมาก ส่วนจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่… บางทีก็ต้องถามตัวเขาเอาเองแล้ว”
เยวี่ยโหยวเฟิงกล่าวล้อเล่น “หรือว่ายังจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าแม่นางซานไห่อีกหรือ”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มแปลกพิกลขึ้นมาเล็กน้อย
เปรียบเทียบความแข็งแกร่งต่อหน้าจี้ซานไห่ นี่ก็สร้างความเข้าใจผิดขึ้นมาได้ง่ายๆ อยู่บ้าง
กลับเห็นจี้ซานไห่ยิ้มอ่อนหวาน เผยให้เห็นเรียวฟันน้อยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าหวังยิ่งนักว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ”
เวลาไม่ต่อสู้ นางก็เหมือนกล้วยไม้ในหุบเขาลึกที่อิสระเสรี ราบเรียบดุจธารา โดดเด่นเฉิดฉาย
แต่ความหมายที่เปิดเผยชัดเจนในประโยคนี้ ก็สามารถมองออกว่าในใจนางมีความภาคภูมิและความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นกัน
“บนโลกนี้มีคนที่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่ง เช่นนี้จึงจะไม่เหงา”
จิ่งจงเยวี่ยกล่าวทอดถอนใจ
“ไป ไปล่าสัตว์ระเบียบในสถานที่ถัดไป”
จี้ซานไห่ไม่ได้พูดคุยประเด็นนี้อีก หยัดตัวขึ้นแล้วเคลื่อนไหวมุ่งหน้าไกลออกไป
จิ่งจงเยวี่ย ผูซงจื่อ ถานหลิวอวิ๋น และเยวี่ยโหยวเฟิงตามหลังไปติดๆ พร้อมกัน
…
แดนมารบูรพา
“ดูท่าข้าจะประเมินความสามารถของหวังเจวี๋ยฮ่วนสูงไป”
หยวนฉางเทียนถอนใจเบาๆ เขาก็ได้ข่าวเช่นกัน ในใจตกใจและประหลาดใจเป็นล้นพ้น และเกิดสภาพอารมณ์ซับซ้อนเสี้ยวหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลินสวินนี่จัดการยากเย็นเช่นนี้จริงๆ หรือ
เขามั่นใจว่าไม่เคยดูเบาหลินสวิน ถึงตอนนี้กลับเพิ่งพบว่าการไม่เคยดูเบาก็เป็นการประเมินหลินสวินต่ำไปอย่างหนึ่งเช่นกัน!
“เจ้าพวกโง่เอ๊ย!”
เฉาเป่ยโต้วโกรธจนสีหน้าอึมครึม “สถานการณ์ได้เปรียบเช่นนี้แต่ดันแพ้เสียได้ หรือว่าอยู่สูงนานเกินไป ไม่เข้าใจหลักการที่ว่าสิงโตสู้กระต่ายก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดแล้วหรือ”
“พูดจาระวังๆ หน่อย”
อวิ๋นเทียนหมิงขึงตามองเขาปราดหนึ่ง “สิบยักษ์ใหญ่อมตะไม่ใช่จะพวกที่สามารถดูหมิ่นได้ตามใจชอบ ยิ่งกว่านั้นสิงโตสู้กับกระต่าย ก็เห็นชัดเจนว่าใครเป็นสิงโตใครเป็นกระต่าย คิดจริงๆ หรือว่าบุตรฟ้าประทานอย่างหวังเจวี๋ยฮ่วนจะใช่คนที่พวกโง่เง่าเหล่านั้นจะเทียบได้”
เฉาเป่ยโต้วสีหน้าวูบไหวไปมา “ข้าก็แค่ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ก็เท่านั้น แต่ไม่กล้าดูหมิ่นใดๆ”
“สิ่งที่ข้ากังวลในตอนนี้คือ เกรงว่าหลินสวินจะรู้แล้วว่าพวกเราเปิดเผยร่องรอยของเขา ด้วยพฤติกรรมและอุปนิสัยของเจ้าหมอนี่ต้องไม่ยอมเลิกราโดยง่ายแน่”
หว่างคิ้วอวิ๋นเทียนหมิงทอแววกลัดกลุ้มเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่หลินสวินทำลงไปในลัทธิแรกกำเนิดก่อนหน้านี้ ในใจเฉาเป่ยโต้วก็อดเสียววาบไม่ได้ สายตาหันมองหยวนฉางเทียนอย่างห้ามไม่อยู่
“ครั้งนี้พวกเราเป็นตัวแทนสำนักออกศึก หากเข่นฆ่ากันเองคนที่จะขายหน้าก็คือทั่วทั้งลัทธิแรกกำเนิด เท่าที่ข้าดู แม้ว่าในใจหลินสวินจะเคียดแค้น ก็คงไม่ถึงขั้นแตกหักกันในศึกมรรคอมตะครั้งนี้แน่”
หยวนฉางเทียนกล่าวใคร่ครวญ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
เฉาเป่ยโต้วถอนใจยาว
หยวนฉางเทียนขมวดคิ้วน้อยๆ เกรงว่าแม้แต่ตัวเฉาเป่ยโต้วเองก็ยังไม่ทันสังเกตว่าหลังผ่านเรื่องนี้มา ยามที่เขากล่าวถึงหลินสวินก็เจือแววกริ่งเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว
“แต่หากคราแรกเจ้าถามความเห็นข้าก่อนจะแพร่ข่าวไปให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะ เกรงว่าคงไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว”
หยวนฉางเทียนกล่าว “แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลุ้มใจเพราะเรื่องนี้อีก เวลาต่อจากนี้ไปทุกคนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไว้เป็นดีที่สุด จดจ่อสมาธิกับเรื่องล่าสัตว์ระเบียบ”
นี่เป็นการกล่าวสะกิดเฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิง
สองคนนี้อุทิศชีวิตให้แก่สิบยักษ์ใหญ่อมตะมาโดยตลอด
แต่สิ่งที่เขาหยวนฉางเทียนต้องการคือคนที่ยอมมอบชีวิตให้แก่เขา!
………………………