Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2897 ภารกิจนอกสถานที่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2897 ภารกิจนอกสถานที่
ตอนที่ 2897 ภารกิจนอกสถานที่
พลังระเบียบที่หลินสวินเรียกออกมาครั้งนี้น้อยมาก
แต่คำว่า ‘น้อย’ นี้เป็นการเทียบกับจำนวนก่อนหน้า
ตอนที่เห็นระเบียบระดับสวรรค์แน่นขนัดร้อยกว่าสายปรากฏในสายตา อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพ แม้แต่พวกเสวียนเฟยหลิงยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้
ระเบียบระดับสวรรค์!
นี่ไม่ใช่สมบัติที่ระเบียบระดับปฐพีสามารถเทียบได้!
ระเบียบระดับสวรรค์ขั้นหนึ่งสายหนึ่ง เทียบเท่ามูลค่าของระเบียบระดับปฐพีขั้นเก้าเกือบร้อยสายได้!
แต่ตอนนี้หลินสวินเอาออกมาหนึ่งร้อยกว่าสาย
ภาพนี้อย่าว่าแต่เกิดในลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้เกิดขึ้นในขุมอำนาจอย่างลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน เผ่าเทพน่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้น ก็ต้องทำให้เกิดความฮือฮาล้นฟ้าอย่างแน่นอน
ในที่นั้นเงียบกริบทันใด
ครั้งแรกหลินสวินนำพลังระเบียบระดับปฐพีต่ำกว่าขั้นหกออกมาสามพันกว่าสาย ครั้งที่สองเป็นพลังระเบียบระหว่างระดับปฐพีขั้นหกถึงขั้นเก้าหนึ่งพันกว่าสาย
และสิ่งที่เรียกออกมาครั้งที่สาม แม้มีเพียงร้อยกว่าสายแต่ล้วนเป็นพลังระเบียบระดับสวรรค์ มูลค่าเหนือกว่าสองครั้งแรกมาก!
ในสถานการณ์เช่นนี้ใครยังกล้ากล่าวว่ากลัวหลินสวินจะหมดตัว นั่นต่างหากที่เรียกว่าการหยามหยัน
ท่ามกลางความเงียบ หลินสวินเอ่ยปากว่า “ภายหน้าศิษย์ในสำนักคนใดที่มีโอกาสแจ้งมรรคทะลวงขั้นหลุดพ้น ล้วนสามารถรับพลังระเบียบระดับสวรรค์พวกนี้”
ทั่วลานเดือดพล่าน แต่ละคนตาเป็นประกาย
หลินสวินมองไปยังเสวียนเฟยหลิงแล้วยิ้มพูด “ผู้อาวุโส ระเบียบระดับสวรรค์เหล่านี้ให้ท่านเก็บรักษาเป็นอย่างไร”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว “พวกเจ้าดู รองหัวหน้าหอหลินรับตำแหน่งวันแรก ทั้งแจกสมบัติ ทั้งใช้งานเฒ่าชราอย่างพวกเรา เป็นกันเองจริงๆ”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
ผ่านเรื่องนี้ไป นอกจากความเคารพแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกว่าสนิทสนมกับหลินสวินเพิ่มขึ้น
ใครๆ ล้วนรู้ดีว่าด้วยรากฐานพลังของหลินสวินในตอนนี้ ให้เวลาเขาอีกหน่อย ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องไปได้สูงกว่าและไกลกว่าบนเส้นทางมหามรรค!
มีเขาชี้แนะ ลัทธิแรกกำเนิดในอนาคตย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้
ไม่นานขั้นดับเทพเหล่านั้นทยอยจากไป
หน้าเรือนมรรคกลางเหลือเพียงแค่พวกรองหัวหน้าหอแปดคน
ในนั้นหลินสวิน ถงเจาอวิ๋น จางเชียนซีเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าหอวันนี้ รับช่วงตำแหน่งที่เดิมทีเป็นของฝูเหวินหลี ชือเวิน และทังชิว
ส่วนหยวนฉางเทียนที่ตอนนี้ถูกกำราบอยู่ แม้ถูกแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าหอ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการแสดงให้เผ่าเทพตระกูลหยวนดูเท่านั้น
“หลินสวิน เมื่อคืนข้าได้รับข่าว ว่าอีกหนึ่งเดือนเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลเหวินและตระกูลชางจะมาเยือนสำนักเรา พวกเขาระบุชื่อขอเจอเจ้า เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยถึงเรื่องจริงจัง สายตามองไปยังหลินสวิน
“พวกเขาคิดจะใช้โอกาสนี้หาเรื่องหรือ”
หลินสวินพูดอย่างประหลาดใจ
“ไม่ถึงกับหาเรื่อง ถึงอย่างไรแดนแรกเริ่มของเราก็มีพลังระเบียบระดับเทพคุ้มครอง แม้ระดับนิรันดร์มาก็ไม่กล้าลงมือโดยพลการ”
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยเสียงขรึม “ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาจึงอยากเจอเจ้าให้ได้นั้น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ชัด”
หลินสวินเอ่ย “ได้ ถึงตอนนั้นข้ากับผู้อาวุโสไปพบพวกเขาด้วยกัน ดูว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
“เฒ่าฟาง หยวนฉางเทียนและหยวนซีหลิวถูกกำราบ จะต้องดึงดูดความสนใจของเผ่าเทพตระกูลหยวนอย่างแน่นอน หากพวกเขาส่งคนมาถามเรื่องนี้ เจ้าบอกพวกเขาตามที่คุยกันก่อนหน้านี้ก็พอ”
สายตาของเสวียนเฟยหลิงมองไปยังฟางเต้าผิงอีกครั้งพร้อมเอ่ยกำชับ
ฟางเต้าผิงพยักหน้า
ตอนนี้ข่าวที่หยวนฉางเทียนและหยวนซีหลิวถูกกำราบ ในลัทธิแรกกำเนิดก็มีเพียงรองหัวหน้าหออย่างพวกเขาที่รู้ ไม่มีข่าวรั่วไหล
และจากฐานะในนาม หยวนฉางเทียนเป็นรองหัวหน้าหอของลัทธิแรกกำเนิดแล้ว อีกไม่นานข่าวนี้ก็จะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งสี่หอบรรพจารย์ ถูกขุมอำนาจใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนรับรู้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เผ่าเทพตระกูลหยวนย่อมหาข้ออ้างมาสร้างความลำบากใจไม่ได้
“หากข้าเดาไม่ผิด การชำระล้างในวันนี้ปิดได้ไม่นานแน่ หากสิบยักษ์ใหญ่อมตะรู้เรื่องนี้ย่อมต้องเดือดดาลมาก”
ดวงตาของเสวียนเฟยหลิงดุจสายฟ้า “แต่ไม่ว่าพวกเขาจะกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้ามาก่อเรื่องในลัทธิแรกกำเนิดของเรา สิ่งเดียวที่เราต้องกังวลคือขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะไปทำเรื่องอย่างอื่น”
ทุกคนเย็นวาบในใจ
เบื้องหลังคนใหญ่คนโตบางส่วนในลัทธิแรกกำเนิด ล้วนมีตระกูลและญาติมิตรของตน
อย่างเช่นตู๋กูยง เบื้องหลังเขาคือเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลตู๋กูที่อยู่บนปลายยอดสุดในน่านฟ้าที่เจ็ด
เมื่อก่อนมีตู๋กูยงอยู่ ทั้งโลกยอดนิรันดร์ไม่มีคนกล้าล่วงเกินตระกูลตู๋กู
แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว หากสิบยักษ์ใหญ่อมตะโทสะพวยพุ่ง ไปเล่นงานตระกูลตู๋กู ใช้ชีวิตของตระกูลตู๋กูมาข่มขู่ตู๋กูยง จุดจบย่อมไม่อาจจินตนาการอย่างแน่นอน
ในลัทธิแรกกำเนิด ตัวอย่างเช่นนี้ยังมีอีกมาก
ดังนั้นเมื่อคำพูดนี้ของเสวียนเฟยหลิงดังออกมา ทำให้ทุกคนในที่นั้นตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา
พวกเขาอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดย่อมไม่กลัวสิบยักษ์ใหญ่อมตะมาหาเรื่อง แต่ขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาอาจกลายเป็นเป้าหมายที่สิบยักษ์ใหญ่อมตะโจมตี!
“สิ่งที่พวกเราต้องทำหลังจากนี้คือฉวยโอกาสก่อนที่สิบยักษ์ใหญ่อมตะจะรู้ตัว จัดการปัญหานี้ให้เสร็จสิ้น”
เสวียนเฟยหลิงตัดสินใจเด็ดขาด เริ่มออกคำสั่ง
รองหัวหน้าหอทั้งสี่อย่างฟางเต้าผิง อวี๋สิ่ง ถงเจาอวิ๋น จางเชียนซีรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยกัน ต่างนำผู้อาวุโส ผู้ดูแล รองผู้ดูแลในลัทธิแรกกำเนิดเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ขอเพียงเป็นขุมอำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเหล่าคนสำคัญในลัทธิแรกกำเนิด จะต้องย้ายไปมาแดนแรกเริ่มภายในเจ็ดวัน จนกระทั่งสถานการณ์ภายนอกสงบลงถึงค่อยให้ตระกูลเหล่านี้ย้ายออกไป
ภารกิจนี้หนักหน่วงมาก
เพราะเบื้องหลังของคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้น มีตระกูลมากมายกระจายอยู่ในน่านฟ้าที่หกและเจ็ด อยากย้ายขุมอำนาจตระกูลทั้งหมดมาที่แดนแรกเริ่มภายในเจ็ดวัน แค่คิดก็รู้ว่าแรงกดดันยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่เรื่องนี้กลับจำเป็นต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้
ไม่เช่นนั้นหากตระกูลเหล่านี้ถูกศัตรูบุก ต้องทำให้บรรดาคนใหญ่คนโตในลัทธิแรกกำเนิดถูกคุกคาม กินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน
ยังดีที่การย้ายคนตระกูลหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องง่าย แค่ให้คนในตระกูลเหล่านั้นเข้าไปในสมบัติ ก็สามารถพากลับมาได้โดยตรง
แต่สิ่งที่ตระกูลเหล่านี้ต้องสูญเสีย คือเขตอิทธิพลที่ครอบครองอยู่
เผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่ง ขุมอำนาจที่อยู่ใต้อาณัติมีมากมายซับซ้อน เมื่อย้ายทั้งตระกูลออกไป อำนาจและเขตอิทธิพลที่พวกเขาครอบครองมาไม่รู้นานเท่าไรก็จะสลายไปด้วย สิ่งที่ต้องจ่ายไปไม่อาจเรียกได้ว่าไม่มาก
แต่เมื่อเทียบกับค่าตอบแทนเหล่านี้ เชื่อว่าเป็นใครก็ต้องเข้าใจได้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การรักษาชีวิตของคนทั้งตระกูลสำคัญกว่า!
“พี่ตู๋กู พี่หยวน”
สายตาของเสวียนเฟยหลิงมองไปยังตู๋กูยงและหยวนอู่เทียน “หนึ่งหมื่นปีมานี้ พลังระเบียบระดับเทพของสำนักมีพวกเราสามคนควบคุมมาโดยตลอด ก็หมายความว่าหลังจากนี้พวกเราสามคนจะต้องคอยดูแลอยู่ในสำนัก ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น”
ตู๋กูยงและหยวนอู่เทียนพยักหน้า
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว “แต่ทั้งสองท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าตัดสินใจจะให้หลินสวินไปน่านฟ้าที่เจ็ดด้วยตัวเอง ไปพาตระกูลเบื้องหลังของพวกท่านกลับแดนแรกเริ่ม หลินสวินเจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลินสวินอึ้งไป ก่อนตอบรับอย่างรวดเร็ว “ได้”
เห็นชัดว่าตู๋กูยงและหยวนอู่เทียนต่างโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา
ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็กังวลว่าตระกูลเบื้องหลังตนจะทำอย่างไร แต่ตอนนี้หากมีหลินสวินเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง เช่นนั้นปัญหานี้ย่อมสามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรด้วยมรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้ นอกเสียจากระดับนิรันดร์ลงมือ ไม่เช่นนั้นบนโลกนี้เกรงว่าคงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้!
หากพูดถึงในแง่หนึ่ง หลินสวินในตอนนี้สามารถเรียกว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งใต้ระดับนิรันดร์ได้แล้ว!
ตู๋กูยงเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “หลินสวิน ตอนเจ้าจะจากไปสามารถพาโยวหรันไปด้วยได้ มีนางนำทาง ทำให้เจ้าทำอะไรสะดวกขึ้น”
ตู๋กูโยวหรัน…
ในหัวหลินสวินปรากฏเงาร่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนี้นาง… ยังอยู่ในสำนักหรือ”
หลินสวินประหลาดใจ
“นางหนูนี่ฝึกปราณอยู่ข้างกายข้ามาตลอด ตอนนี้ยังคงปิดด่านอยู่”
แววตาตู๋กูยงละเอียดอ่อนเล็กน้อย เอ่ยว่า “แต่รอตอนที่เจ้าจากไป ข้าจะให้นางไปกับเจ้า”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เพิ่งกระจ่างว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ตอนที่ทุกคนในสำนักถูกเรียกมารวมตัวที่นี่จึงไม่เห็นเงาร่างของตู๋กูโยวหรัน
ที่แท้นางก็ปิดด่านอยู่
“หลินสวิน เจ้าพกป้ายคำสั่งนี้ไว้”
หยวนอู่เทียนว่าพลางยื่นป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน “รอไปถึงตระกูลหยวนของข้า เพียงแค่หยิบป้ายคำสั่งนี้ออกมา พวกเขาก็จะฟังคำสั่งเคลื่อนย้ายของเจ้า”
หลินสวินยื่นมือไปรับทันที แล้วยิ้มพูด “จะว่าไป ข้ากับหยวนชิงเหิงก็นับว่าเป็นสหายกัน ไปครั้งนี้จะต้องไปเยี่ยมสักหน่อย”
หยวนชิงเหิง
ตอนนั้นผู้หญิงคนนี้เคยปรากฏตัวที่เขาพยับครามในดินแดนรกร้างโบราณ ทั้งสองยังเคยประลองกันเพื่อชิงรากปฐมจิตวิญญาณของต้นเทพชางอู๋
ภายหลังหยวนชิงเหิงเป็นฝ่ายถอยหนึ่งก้าว และบอกเล่าเรื่องบางส่วนที่มีค่ากับหลินสวิน
อย่างเช่นสถานการณ์ทั่วไปของโลกยอดนิรันดร์ รวมถึงควรมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์อย่างไร
หรืออย่างการแบ่งระดับของพลังระเบียบ รวมถึงสถานการณ์ของตระกูลลั่วเป็นต้น
จนกระทั่งตอนที่หลินสวินตัดสินใจมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึก หยวนชิงเหิงยังทิ้งนกกระจอกเขียวตัวหนึ่งไว้ ให้นกกระจอกเขียวนำทางให้หลินสวิน
แม้นกกระจอกเขียวจะเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่หลังจากหลินสวินเข้าสู่แดนใหญ่พันศึก ก็นับว่าให้คำชี้แนะและคำเตือนหลินสวินได้มากมายจริงๆ
จนกระทั่งตอนที่อยู่ในเมืองจรดฟ้าในแดนใหญ่พันศึก เพราะการต่อสู้น่าตกตะลึงที่ปะทุขึ้นในโบราณสถานทวยเทพ เขากับนกกระจอกเขียวตัวนี้ถึงแยกกัน
พูดได้ว่าในช่วงหลายปีก่อนจะมาถึงโลกยอดนิรันดร์ หยวนชิงเหิงให้ความช่วยเหลือเขาอ้อมๆ ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าหลินสวินรู้จักหยวนชิงเหิง หยวนอู่เทียนก็อึ้งไป อดล้อหลินสวินไม่ได้ “หลินสวิน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด ตำแหน่งสูงมากอำนาจ ฐานะไม่ธรรมดา อย่าคิดไม่ซื่อกับชิงเหิงตระกูลข้าเชียว ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นรุ่นเหลนของข้าแล้ว”
หลินสวิน “…”
“ตู๋กูโยวหรันเป็นเหลนของพี่ตู๋กู ขณะเดียวกันก็เป็นสหายของหลินสวิน ส่วนลื่อของข้าเสวียนจิ่วอิ้นก็เป็นสหายของหลินสวิน หากจะพูดถึงลำดับอาวุโสจริงๆ นั่นต้องวุ่นวายยิ่งแน่ๆ ฮ่าๆๆ”
เสวียนเฟยหลิงหัวเราะลั่น
ทุกคนในนั้นก็หัวเราะตามไปด้วย
สำหรับผู้ฝึกปราณ หากไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เมื่อศักยภาพยิ่งแข็งแกร่ง ฐานะก็จะยิ่งสูง ลำดับความอาวุโสก็จะสูงตามไป
หลินสวินในตอนนี้สามารถเทียบกับสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกเขาได้แล้ว หากถือสาเรื่องลำดับอาวุโสจะต้องสับสนวุ่นวายแน่ๆ
แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้ หลักการที่ทุกคนยึดถือมีเพียงสี่คำ
นับใครนับมัน
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยกำชับ “หลินสวิน ไปน่านฟ้าที่เจ็ดครั้งนี้ไม่นับว่าไกลมาก หากเรื่องราวราบรื่นภายในสามวันก็กลับมาได้แล้ว แต่ก่อนไปจากลัทธิแรกกำเนิด เจ้าไปที่ ‘ถ้ำอิสระ’ เขตผนึกเขาแรกนภาก่อนสักครั้ง หัวหน้าหอเหยียนจี้มีเรื่องต้องการคุยกับเจ้า”