Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2899 พาสาวงามออกเดินทาง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2899 พาสาวงามออกเดินทาง
ตอนที่ 2899 พาสาวงามออกเดินทาง
หลังจากนั้นเหยียนจี้ก็พูดถึงเรื่องของลัทธิแรกกำเนิด
“เมื่อก่อนลัทธิแรกกำเนิดกับเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลเจวี๋ย ตระกูลเย่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลัทธิแรกกำเนิดจะเลือกคนที่โดดเด่นไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่เก้าเป็นระยะๆ ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ส่วนใหญ่กลายเป็นบุคคลสำคัญในตระกูลเจวี๋ย ตระกูลเย่แล้ว”
“แต่ช่วงหมื่นปีมานี้ เมื่อเจ้าลัทธิจากไป การติดต่อของพวกเรากับเผ่าเทพนิรันดร์สองตระกูลนี้ก็เปลี่ยนเป็นน้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นแม้ตอนนี้ลัทธิแรกกำเนิดจะประสบเคราะห์ใหญ่ ก็ไม่สามารถหวังให้สองตระกูลนี้มาช่วยอะไรได้”
“สถานการณ์ของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน ลัทธิวิญญาณก็คล้ายๆ กัน”
“แต่อย่างที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ ภายในพันปีเคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือน เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นแค่ดูแลตัวเองยังไม่ไหว นอกจากเกิดเรื่องที่คุกคามถึงตระกูลของพวกเขา ไม่เช่นนั้นในช่วงหลายปีหลังจากนี้ พวกเขาคงไม่เข้าร่วมเรื่องใดๆ นอกน่านฟ้าที่เก้าอีก”
“แน่นอนว่าไม่มีอะไรแน่นอน ใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปจะทำอะไร ระมัดระวังไว้บ้างอย่างไรก็ไม่ผิด”
พูดจบเหยียนจี้หยิบยันต์หยกรูปกระบี่ชิ้นหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “นี่คือสิ่งที่อาจารย์อาคงเจวี๋ยของเจ้าทิ้งไว้ให้เจ้า ยามเจออันตรายที่ไม่อาจคลี่คลายสามารถใช้ได้”
“รูปจำลองเจตจำนงหรือขอรับ” หลินสวินพูด
“ไม่ผิด” เหยียนจี้พยักหน้า
จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง “ผู้อาวุโส แผลมรรคของท่านฟื้นตัวหรือยังขอรับ”
เหยียนจี้เผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง เอ่ยว่า “การแจ้งมรรคนิรันดร์ ขาดเพียงจุดเปลี่ยนที่จะทะลวงด่านสุดท้ายแล้ว”
หลินสวินเข้าใจทันที ประสานมือกล่าว “เช่นนั้นข้าอวยพรล่วงหน้าให้ผู้อาวุโสแจ้งมรรคนิรันดร์”
เหยียนจี้โบกมือพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ”
หลินสวินรับคำสั่งจากไป
……
หอแรกนภา
“ผู้อาวุโส ท่านโปรดมอบพลังระเบียบเหล่านี้ให้เสวียนจิ่วอิ้นและแม่นางเสวียนเยวี่ยด้วย”
หลินสวินส่งพลังระเบียบที่เตรียมไว้แล้วให้กับเสวียนเฟยหลิง
พลังระเบียบเหล่านี้มีทั้งระดับปฐพีและระดับสวรรค์ มูลค่าย่อมล้ำค่าไร้ที่เปรียบ
“ตอนนี้พวกเขายังไม่แจ้งมรรคอมตะ จะใช้ของพวกนี้ได้อย่างไร”
เสวียนเฟยหลิงถอนหายใจยาว
เมื่อเทียบกับหลินสวิน เสวียนจิ่วอิ้นลื่อของเขาก็คือคนโง่คนหนึ่ง ตอนนี้ยังวนเวียนอยู่ในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ
“ต่อไปอย่างไรก็ต้องได้ใช้” หลินสวินยิ้มพูด
เสวียนเฟยหลิงเอ่ย “เจ้าไม่ไปพบพวกเขาหน่อยหรือ”
“หลังจัดการเรื่องของตระกูลหยวนและตระกูลตู๋กูแล้วค่อยไปพบพวกเขา”
หลินสวินพูด
“ก็ดี”
เสวียนเฟยหลิงพยักหน้าตอบรับ “รอเจ้ากลับมา ก็สามารถไปหยั่งรู้พลังระเบียบระดับเทพของสำนักเราได้แล้ว”
ในฐานะรองหัวหน้าหอ ผลประโยชน์ที่ได้รับแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นๆ จะเทียบได้
สามารถอ่านตำราในเขาตำราได้ตามต้องการ สามารถหยั่งรู้พลังระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิดได้ อำนาจที่ครอบครองก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้
อย่างเช่นหลินสวินในตอนนี้ สามารถเรียกตัวเหล่าผู้อาวุโส ผู้ดูแล รองผู้ดูแลในหอแรกนภามาใช้งานได้ตามใจแล้ว
ไม่นานหลินสวินก็บอกลาจากไป
……
ลัทธิแรกกำเนิดในวันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย
เริ่มจากภัยแฝงภายในสำนักถูกกำจัดสิ้น จากนั้นรองหัวหน้าหออย่างพวกเสวียนเฟยหลิงประกาศเลื่อนตำแหน่งของคนกลุ่มหนึ่ง
หลังจากนั้นรองหัวหน้าหอทุกคนก็หารือเรื่องต่างๆ
อย่างเช่นควรรับมือกับการคุกคามของสิบยักษ์ใหญ่อมตะอย่างไร ควรยื้อเวลากับเผ่าเทพตระกูลหยวนอย่างไรเป็นต้น
สำหรับหลินสวิน ในวันนี้เขาถูกเลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าหอแรกนภา ได้เจอเหยียนจี้ ได้รู้เรื่องในอดีตของผู้ก่อตั้งสี่หอบรรพจารย์และเจ้าแห่งคีรีดวงกมล
และในวันนี้ เขาออกเดินทางในทันที มุ่งหน้าสู่น่านฟ้าที่เจ็ด!
ตรงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ
หลินสวินรออยู่ไม่นานก็เห็นห้วงอากาศไกลๆ มีเงาร่างหนึ่งพุ่งมา
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว คิ้วตาราวภาพวาด งดงามไร้ที่ติ เป็นตู๋กูโยวหรันนั่นเอง
“แม่นางโยวหรัน ไม่เจอกันนาน”
หลินสวินเข้าไปต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม หลายปีก่อนเขาท่องไปในแหล่งสถานศุภโชคบ้าง เข้าร่วมศึกมรรคอมตะในแดนมารสิบทิศบ้าง เวลาที่อยู่ในลัทธิแรกกำเนิดน้อยมาก
ในช่วงที่ผ่านมาอย่าว่าแต่เจอตู๋กูโยวหรัน แม้แต่เสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ยยังเจอเพียงไม่กี่ครั้ง
ตู๋กูโยวหรันโรยตัวลงพื้นเบาๆ มาถึงเบื้องหน้าหลินสวิน ดวงตางามสุกใส เผยฟันขาวรำไร คำนับพร้อมรอยยิ้ม “ตู๋กูโยวหรันคารวะรองหัวหน้าหอหลิน”
หลินสวินยิ้ม “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว เรียกข้าว่าหลินสวินเหมือนก่อนหน้านี้ก็พอ”
ตู๋กูโยวหรันกะพริบตาปริบๆ พูดเสียงกังวาน “นี่จะได้อย่างไร ท่านปู่น้อยของข้าบอกแล้วว่าตอนนี้ฐานะของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ให้ข้าเคารพเจ้า จะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด”
หลินสวินจนคำพูด ยิ้มขื่น “เอาเถอะ ท่านปู่น้อยของเจ้าคือท่านปู่น้อยของเจ้า เจ้าคือเจ้า พวกเรานับใครนับมัน”
“จริงหรือ”
ตู๋กูโยวหรันพูด
“แน่นอน” หลินสวินยิ้มกล่าว
ดวงตางดงามของตู๋กูโยวหรันพินิจหลินสวินจากบนลงล่างแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าเป็นรองหัวหน้าหอแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเสียอีก”
หลินสวินชี้ตรงหัวใจของตน “เส้นทางมหามรรค เมื่อฝึกปราณไม่ลืมจุดตั้งต้น”
ตู๋กูโยวหรันหลุดขำออกมา ก่อนจะพูดว่า “เจ้ายังมีจุดตั้งต้นอีกหรือ เมื่อก่อนเจ้ารำคาญที่ข้าไปรบกวนเจ้าที่สุด ทุกครั้งที่เจอข้าก็ท่าทางปวดหัว เหมือนเห็นเทพแห่งโรคระบาดอย่างไรอย่างนั้น”
ในดวงตาหลินสวินเผยแววย้อนคิดอย่างอดไม่ได้ ยามอยู่แดนใหญ่พันศึก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตู๋กูโยวหรันพิเศษมากจริงๆ
ไม่ได้สนิทขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับเกิดปฏิสัมพันธ์มากมาย เขามองนางเป็นตัวปัญหา นางกลับเดินตามเขาติดๆ ราวกับจะแข่งขัน
ตอนนี้นึกถึงเรื่องพวกนี้ หลินสวินเองก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ตอนเข้าลัทธิแรกกำเนิด ข้าเคย…”
เหมือนรู้ว่าหลินสวินจะพูดอะไร ไม่รอเขาพูดจบตู๋กูโยวหรันก็ตัดบท “เจ้าจะพูดถึงอวิ๋นมู่เจอหรือ ข้าไม่เคยถือสาเรื่องพวกนี้อย่างจริงจัง”
“จริงหรือ” หลินสวินถาม
“แน่นอน” ตู๋กูโยวหรันเอ่ยตอบอย่างผ่าเผย
หลินสวินผ่อนคลายขึ้นมา เอ่ยว่า “เวลาไม่ค่อยท่า พวกเราเดินทางไปด้วยพูดคุยไปด้วยเป็นอย่างไร”
“รองหัวหน้าหอหลินมีคำสั่ง ข้าน้อยไม่กล้าไม่ทำตาม”
ตู๋กูโยวหรันกล่าว
หลินสวินยิ้มส่ายหน้าไม่หยุด
วู้ม…
ไม่นานค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณก็เกิดคลื่นระลอกหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินและตู๋กูโยวหรันหายไปแล้ว
……
เขตแดนดาราจื่อเวย
หนึ่งในสี่เขตแดนดาราใหญ่แห่งน่านฟ้าที่เจ็ด
ในเขตแดนดาราจื่อเวยมีสามถ้ำสวรรค์ใน ‘สิบสองถ้ำสวรรค์’ แบ่งเป็นถ้ำสวรรค์หยกงาม ถ้ำสวรรค์แสงหยก ถ้ำสวรรค์แรกตะวัน
เผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลตู๋กูตั้งอาณาเขตที่แดนถ้ำสวรรค์หยกงาม
ครึ่งวันหลังจากนั้น
หลินสวินพาตู๋กูโยวหรันมาปรากฏตัวในอาณาเขตของเขตแดนดาราจื่อเวย
“ข้างหน้าคือเมืองพันบ่ม มีหอสุราชั้นยอดที่สุดของน่านฟ้าที่เจ็ดนับพันแห่ง หอสุราทุกแห่งล้วนมีเหล้าวิเศษเป็นเอกลักษณ์ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาดึงดูดลูกค้ามารวมตัวที่นี่ไม่รู้เท่าไร”
ตู๋กูโยวหรันชี้ไปไกลๆ พูดเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อยากฉวยโอกาสนี้เดินเล่นหน่อยหรือไม่ อย่างไรก็เสียเวลาไม่มาก ซื้อเหล้าไว้ดื่มระหว่างทางสักหน่อยก็ดีมากนะ”
หลินสวินยิ้มขื่นไม่หยุด ตู๋กูโยวหรันมองการเดินทางครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาคิดๆ แล้วพยักหน้า “อย่างมากสองชั่วยาม”
ตู๋กูโยวหรันตอบรับอย่างเบิกบาน “แน่นอน”
ไม่นานเงาร่างของทั้งสองก็ปรากฏในเมืองเก่าแก่ที่กว้างใหญ่โออ่าแห่งหนึ่ง
ในเมืองครึกครื้น รถม้าวิ่งขวักไขว่ ผู้คนแน่นขนัดถึงขั้นไหล่ชนกัน เสียงตะโกนโหวกเหวกดังเป็นคลื่นอย่างต่อเนื่อง
โลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง สิ่งล่อตาล่อใจล้วนอยู่ตรงหน้า
หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ ตนไม่ได้เดินอยู่ในสถานที่ที่รุ่งเรืองขนาดนี้อย่างสงบและสบายใจมานานเท่าไหร่แล้ว
ระหว่างทางตู๋กูโยวหรันคุ้นทางเป็นอย่างดี พาหลินสวินเดินผ่านถนนต่างๆ ดวงหน้าเล็กงดงามเต็มไปด้วยความเบิกบาน
มรรคายากลำบากแสนเข็ญ การฝึกปราณขมขื่น มีคนทุกข์เพราะคิดถึงเรื่องราวบนโลกปุถุชน มีคนชื่นชอบเก็บตัวจากโลกภายนอก หยั่งมรรคอย่างจดจ่อ
ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกกับเข้าสู่โลก แม้แตกต่างแต่ล้วนเป็นการฝึกปราณบนเส้นทางมหามรรค
“นี่คือหอมงคลพิสุทธิ์ มีโรงสุราที่สืบทอดมาหนึ่งแสนปี ผลิตเหล้าชั้นยอดชื่อว่า ‘มงคลพิสุทธิ์เมามาย’ รสชาติเรียกได้ว่าสุดยอด”
“เจ้าดูที่นี่ บรรพบุรุษของเจ้าของหอนี้คืออาจารย์บ่มเหล้าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ‘ดอกรักผีเสื้อ’ ที่พวกเขาขาย ชื่อดูเหมือนอ่อนโยน แต่ฤทธิ์เหล้าเผ็ดร้อน ราวกับดาบแทงคอ สะใจที่สุด”
“ยังมีหอสุรานี้ก็สุดยอดมากเช่นกัน…”
เดินอยู่บนถนนที่ครึกครื้น ตู๋กูโยวหรันรู้จักหอสุราทุกหอเป็นอย่างดี ทำเอาหลินสวินได้เปิดโลกไปด้วย
และทำให้ระหว่างทางที่เดินมา พวกเขาเข้าหอสุราหอแล้วหอเล่า ซื้อสุราชั้นยอดต่างๆ ผลาญเงินอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าหลินสวินไม่ขาดเงิน
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
ยามหลินสวินใคร่ครวญว่าจะจากไป จู่ๆ ตู๋กูโยวหรันที่อยู่ข้างๆ ก็ชะงักเท้า “เทียนฉิน”
ไม่ไกลนักเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน เมื่อได้ยินเสียงก็พลันหันกลับมา
ยามเห็นตู๋กูโยวหรัน เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าดีใจ “พี่โยวหรัน ท่านฝึกปราณอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดไม่ใช่หรือ กลับมาได้อย่างไร”
“ทำไมข้าจะกลับมาไม่ได้”
ตู๋กูโยวหรันเหลือบมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง “เทียนฉิน เจ้าเร่งรีบขนาดนี้ จะไปทำอะไร”
“ตระกูลเพิ่งมีคำสั่งมาว่าให้คนในตระกูลที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของเขตแดนดาราจื่อเวย ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับตระกูลทันที”
เด็กหนุ่มที่นามว่าตู๋กูเทียนฉินพูดอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูโยวหรันถึงได้กระจ่าง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านปู่น้อยคงจะส่งข่าวถึงตระกูลล่วงหน้าแล้ว”
ท่านปู่น้อยที่นางพูดถึง แน่นอนว่าคือตู๋กูยง
หลินสวินอดพูดไม่ได้ “ในเมืองนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เชื่อมกับตระกูลตู๋กูของพวกเจ้าด้วยหรือ”
ตู๋กูโยวหรันกะพริบตาปริบๆ “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าน่ะ”
ตู๋กูเทียนฉินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพูด “สหายคนนี้ประสบการณ์น้อยไปแล้ว ในเขตแดนดาราจื่อเวย เมืองทุกแห่งล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เชื่อมสู่ตระกูลตู๋กูของเรา ขอเพียงแค่ตระกูลมีคำสั่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของเขตแดนดาราจื่อเวยก็สามารถกลับมาที่ตระกูลได้ในทันที”
สายตาของหลินสวินแปลกพิกลขึ้นมาทันที ถ้าอย่างนั้นหลังจากเข้าสู่เขตแดนดาราจื่อเวย ก็สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณไปถึงตระกูลตู๋กูโดยตรง แต่ตู๋กูโยวหรันกลับพาตนเดินมาเรื่อยๆ…
ตู๋กูโยวหรันถลึงตาใส่ตู๋กูเทียนฉินอย่างดุดันแวบหนึ่ง พูดอย่างขุ่นเคือง “หุบปากเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด!”
นางแสร้งทำเป็นนิ่งสงบ ไม่ไปมองแววตาของหลินสวิน เพียงแต่อดอักอ่วนอยู่หน่อยๆ ไม่ได้
ก่อนหน้านี้นางแค่คิดอยากพาหลินสวินเดินเล่นสักหน่อยเท่านั้น จึงจงใจปกปิดเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้าย…