Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2904 พบหยวนชิงเหิงอีกครั้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2904 พบหยวนชิงเหิงอีกครั้ง
จวงปี้ป๋อและเหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลจวงรวมตัวกันอย่างราบรื่น ในที่สุดก็วางใจลงไม่น้อย
สายตาของเขามองไปไกลๆ
หลินสวินหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีผู้ช่วยคนอื่นๆ อีก
นี่ทำให้เขากล้าหาญขึ้นมา พูดด้วยเสียงเย็นชา “หลินสวิน เจ้าฆ่าจวงซื่อหลิวผู้อาวุโสตระกูลข้า พวกเรายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า เจ้ากลับยังกล้ามาก่อเรื่องถึงที่ คิดว่าเป็นผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดแล้วจะสามารถรังแกตระกูลจวงได้ตามอำเภอใจหรือ”
“เจ้า…”
จวงปี้ป๋อสูดหายใจลึกคราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เช่นนี้ เหล้าคารวะเจ้าไม่ดื่ม จะดื่มเหล้าลงทัณฑ์แทนหรือ”
เขาส่งสายตาให้คนอื่นๆ ให้พวกเขาเตรียมพร้อมต่อสู้
หลินสวินพูดเรียบๆ “ตอนนั้นข้าเคยพูดว่าสักวันจะรับแดนมงคลไผ่เขียวกลับคืน หากพวกเจ้าทำลายมรรควิถีของตน ไปจากที่แห่งนี้โดยดี ข้าจะไม่ถือสาเรื่องในอดีต ไม่เช่นนั้นหากข้าลงมือ พวกเจ้าก็จะไม่อาจมีชีวิตรอดได้อีกแล้ว”
“ลงมือ!”
จวงปี้ป๋อออกคำสั่งทันที
พวกเขาครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวมานานปี จะยอมสละถ้ำสวรรค์แดนมงคลเช่นนี้ได้อย่างไร
และไม่มีทางทำลายมรรควิถีของตนเด็ดขาด
นี่โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก!
ตูม!
เหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลจวงที่รอจังหวะมานานแล้วลงมือ กระตุ้นสมบัติต่างๆ โจมตีเข้าใส่หลินสวินกลางอากาศ แสงมรรคเรืองรอง พุ่งทะยานรดุจสยายอสนี
หลินสวินไม่ได้ประหลาดใจต่อภาพนี้
เขายกมือขวาขึ้นตบไปในอากาศคราหนึ่ง
มือยักษ์สีเขียวเรืองรองข้างหนึ่งควบรวมกลางอากาศ กลายเป็นอานุภาพบดบังฟ้าดินในชั่วพริบตา
มือเดียวบังฟ้า!
ปังๆๆ!
เมื่ออยู่ต่อหน้ามือใหญ่สีเขียวข้างนี้ ทุกการจู่โจมสลายออกราวกับดอกไม้ไฟระเบิดในทันที ไม่สามารถขวางกั้นมือใหญ่สีเขียวข้างนี้ได้สักนิด
นี่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกจวงปี้ป๋อหน้าเปลี่ยนสีไป
ในสายตาพวกเขา มือใหญ่สีเขียวข้างนี้ราวกับไร้ขอบเขต เหมือนครอบคลุมจักรวาล ยามพุ่งทะยานมา แสงฟ้าถูกบดบัง เมื่ออานุภาพกดข่มที่น่ากลัวปลดปล่อยออกมาก็กดอัดห้วงอากาศจนระเบิดดังครืนโครม
พลังกฎเกณฑ์สีเขียวหมื่นไพศาลราวกับม่านน้ำตก สาดซัดจากมือใหญ่สีเขียว พร่างพราวสะดุดตา เรืองรองรุนแรง
ราวกับมือแห่งสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น!
“รีบใช้พลังระเบียบ!”
จวงปี้ป๋อตะโกน
ทั้งยอดเขาเขียวมรกต พลังผนึกนับไม่ถ้วนโคจร พลังระเบียบไหลเคลื่อนพวยพุ่ง กลายเป็นพลังป้องกันอันน่ากลัว
เพียงแต่ครู่ต่อมาเสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นระลอกหนึ่ง
พลังผนึกแต่ละชั้นถูกมือใหญ่สีเขียวกดข่มจนระเบิดออก ละอองแสงแตกซ่านพลิกม้วนราวกับกระแสน้ำ
จากนั้นพลังระเบียบที่ปกคลุมอยู่ทั่วยอดเขาก็เกิดเสียงดังอันรุนแรงที่ไม่อาจต้านทาน จากนั้นภายใต้สายตาตะลึงนับไม่ถ้วน พลังระเบียบนี้ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดอย่างรุนแรง
ตูม!
ฟ้าซัดดินสะเทือน ละอองแสงสาดกระเซ็น
ตอนที่พวกจวงปี้ป๋อคิดจะหนี ห้วงอากาศสี่ทิศแปดด้านล้วนถูกมือใหญ่สีเขียวปกคลุมไปแล้ว อีกทั้งอานุภาพที่มือใหญ่สีเขียวปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ร่างของพวกเขาราวกับถูกคุมขัง ไม่สามารถขยับได้
ไม่ทันไรพวกเขาทุกคนล้วนสิ้นหวัง แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ไม่จำยอม หวาดกลัว
เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าหนุ่มที่ตอนนั้นทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดจากตระกูลจวงของพวกเขา กลับเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงขนาดนี้แล้วหรือ
ตูม!
มือใหญ่สีเขียวตบลง ยอดเขาเขียวมรกตหลายพันจั้งถูกตบพังทลายทันที ภูเขาหินผาล้วนแหลกละเอียด สิ่งก่อสร้างต่างๆ กลายเป็นฝุ่นผง
ส่วนคนใหญ่คนโตอย่างพวกจวงปี้ป๋อล้วนถูกฝ่ามือนี้ตบแหลก ตายคาที่
ตอนที่ฝุ่นควันสลายไป
ยอดเขาหลายพันจั้งนั้นล้วนหายสิ้น เหมือนถูกลบออกจากพื้นดิน สิ่งที่หายไปด้วยยังมีเหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลจวง
และตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินยืนอยู่ที่เดิม เรือนร่ายผ่าเผย ท่าทางผ่อนคลาย
เขารออีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพุ่งออกมาก็เตรียมจากไป
เสียงที่เดือดดาลดังมาจากไกลๆ “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงต้องบุกเข้ามาก่อเรื่องในตระกูลจวงของข้า!”
นั่นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดขาว ท่าทางองอาจ บุคลิกไม่ธรรมดา
เพียงแต่ตอนนี้เขาเผ้าผมยุ่งเหยิง ใบหน้าคล้ำเขียวดุร้าย ดวงตาที่เดือดดาลเต็มไปด้วยความชิงชัง
เขามีพลังเพียงระดับอริยะ แต่ตอนนี้กลับพุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่สนว่าจะถูกฆ่าหรือไม่
มองเห็นเด็กหนุ่มที่ไม่กลัวตายคนนี้ หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดง่ายๆ “ข้าหลินสวิน รองหัวหน้าหอแรกนภาแห่งลัทธิแรกกำเนิด ผู้สืบทอดคนที่ห้าสิบของคีรีดวงกมล หากเจ้าอยากแก้แค้นให้ตระกูลจวงของพวกเจ้า ภายหน้าสามารถมาหาข้าได้”
เด็กหนุ่มตาแดงก่ำ กัดฟันแน่นเอ่ยว่า “เจ้าจำไว้ ข้านามว่าจวงเทียนซื่อ! ภายหน้าข้าจะล้างแค้นหนี้เลือดด้วยเลือด!”
หลินสวินขานรับคำหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
“เหตุใดเจ้าไม่ฆ่าข้า”
เด็กหนุ่มจวงเทียนซื่อตะโกน ท่าทางเหมือนบ้าคลั่ง
“หากฆ่าเจ้า ก็เท่ากับข้ากลัวเจ้าแก้แค้นไม่ใช่หรือ”
หลินสวินไม่หันหลังกลับด้วยซ้ำ “คนที่ถอนรากถอนโคน มักเป็นคนที่กลัวอันตรายและการแก้แค้นที่อาจปรากฏในอนาคต นี่เป็นความกลัวอย่างหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้ หากเจ้ามีความสามารถย่อมสามารถมาแก้แค้นข้าได้”
จวงเทียนซื่ออึ้งไป สุดท้ายทรุดนั่งลงพื้น ร้องไห้โฮ
ในวันนี้เหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลจวงที่มีจวงปี้ป๋อเป็นผู้นำล้วนถูกกำจัด คนตระกูลจวงคนอื่นๆ ถูกขับออกจากแดนมงคลไผ่เขียว!
และก่อนหลินสวินจากไปได้วางพลังผนึกไว้ชั้นหนึ่ง
ไม่ถึงกับแข็งแกร่ง แต่กลับทดสอบพลังเจตจำนงและจิตมรรคของผู้ฝึกปราณอย่างมาก
ผู้ที่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีทางสลายผนึกนี้ได้
ตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณจนถึงตอนนี้ นี่ก็นับว่าเป็น ‘วาสนา’ หนึ่งที่ทิ้งเอาไว้ให้กับผู้คนในโลก หวังว่าในอนาคตผู้มีวาสนาจะสามารถรับช่วงต่อแดนมงคลไผ่เขียวนี้ได้!
……
เวลาเดียวกันในเขตแดนดาราเร้นฟ้า
ร่างต้นของหลินสวินและตู๋กูโยวหรันไปถึงอาณาเขตของตระกูลหยวนอย่างราบรื่น
หอรับรอง
หยวนชิวอู้ผู้นำตระกูลหยวนมาต้อนรับหลินสวินด้วยตัวเอง
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าของตระกูลหยวนเองก็เข้าร่วม เหล้าเป็นเหล้าวิเศษหายาก อาหารเป็นอาหารเลิศรสที่เตรียมไว้อย่างประณีต
ระหว่างที่ดื่มกันอย่างครึกครื้น คำพูดของหยวนชิวอู้และเหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลหยวนล้วนแฝงความเคารพ
ยิ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเขา ยิ่งรู้ดีว่ารองหัวหน้าหอคนหนึ่งของลัทธิแรกกำเนิดมีความสำคัญแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะหลินสวินหนุ่มเกินไป เฒ่าชราอย่างพวกเขายังต้องเรียกว่า ‘ผู้อาวุโส’
เพราะหยวนชิงเหิงเป็นสหายเก่าของหลินสวิน จึงโชคดีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย
นางฟันขาวตากระจ่าง ใบหน้างดงามไร้ที่ติ สวมชุดกระโปรงเขียว ผมยาวเกล้าเป็นมวย ตรงหว่างคิ้วเรียบเนียนมีลายมรรคสีทอง บนร่างมีแสงเทพมหามรรคพลุ่งพล่าน บุคลิกราวกับภาพฝันอย่างไรอย่างนั้น
บนไหล่นางนกกระจอกเขียวที่เปี่ยมชีวิตชีวาตัวหนึ่งยืนอยู่
ยามนี้มองดูหลินสวินที่พูดคุยกับเหล่าคนใหญ่คนโตของตระกูลตนอย่างผ่าเผยแล้ว หยวนชิงเหิงอดตะลึงไม่ได้
ย้อนคิดถึงยามเจอหลินสวินในดินแดนรกร้างโบราณ อีกฝ่ายเป็นเพียงมกุฎมหาจักรพรรดิที่ผงาดในแดนเล็กๆ เท่านั้น พูดถึงมรรควิถียังสู้ตนในตอนนั้นไม่ได้
ทว่าเวลาผ่านไป หลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ในตอนนั้นจะเทียบได้แล้ว ไม่เพียงแจ้งมรรคอมตะขั้นหลุดพ้น ยิ่งกลายเป็นรองหัวหน้าหอคนหนึ่งของลัทธิแรกกำเนิด!
เพียงแค่ตำแหน่งก็สามารถทำให้ตระกูลหยวนของพวกเขาก้มหัวได้แล้ว
ต่อให้พูดถึงพลังปราณ ก็สามารถทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายคนละอายได้!
ผ่านไปหลายปีถึงได้มาเจอกันอีกครั้ง หยวนชิงเหิงเกิดความรู้สึกแปลกหน้าและห่างเหินอย่างหนึ่ง สำหรับนาง หลินสวินในตอนนี้ก็เหมือนดาวบนท้องฟ้ากับเม็ดทรายบนพื้นดิน คนหนึ่งสูงส่ง อีกคนทำได้เพียงชื่นชม
‘คุณหนู ตู๋กูโยวหรันนั่นไม่เห็นจะเหนือกว่าท่านตรงไหน แต่นางกลับสามารถเคียงข้างหลินสวินได้ ข้าว่าท่านก็ทำได้’
ลูกตานกกระจอกเขียวกลอกไปมา สื่อจิตกับหยวนชิงเหิงอย่างแฝงความไม่ยินยอม
‘เหตุใดข้าต้องเทียบกับนาง’
สายตาของหยวนชิงเหิงเจือความเย่อหยิ่งเสี้ยวหนึ่ง นางเองก็มองเห็นตู๋กูโยวหรันที่นั่งอยู่ข้างหลินสวิน รูปลักษณ์ บุคลิกของอีกฝ่ายล้วนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่น
แต่หยวนชิงเหิงเองก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนอย่างมาก จึงไม่เสียเวลาขบคิดเรื่องนี้
‘นกกระจอกเขียว เจ้าจำไว้ว่าผู้หญิงอย่างเราไม่ใช่ของไร้ค่า และไม่ใช่ของเล่นของผู้ชายคนไหน ขอเพียงเจ้าแข็งแกร่งมากพอ ก็จะมีผู้มากความสามารถมากมายหมอบราบอยู่เบื้องหน้าเจ้า’
หยวนชิงเหิงสื่อจิตเรียบๆ
นกกระจอกเขียวถอนหายใจเบาๆ “คุณหนู แต่ถ้าอยากให้หลินสวินหมอบราบอยู่ใต้ชายกระโปรงท่าน คงยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก”
หยวนชิงเหิงปัดนกกระจอกเขียวจนปลิวออกไป สีหน้าเผยความเดือดดาล ใครอยากให้เจ้าหมอนี่มาหมอบราบกัน
“ชิงเหิง นี่เจ้าเป็นอะไร”
ไกลออไปหยวนชิวอู้ถามพร้อมรอยยิ้ม
สายตาของพวกหลินสวินเองต่างมองไป
หยวนชิงเหิงพลันตระหนักได้ว่าการกระทำที่ตนปัดนกกระจอกเขียวออกไปเมื่อครู่ไม่เหมาะสม จึงส่ายหน้าพูด “ไม่มีอะไร เพียงเล่นกับนกกระจอกเขียวเท่านั้น”
หยวนชิวอู้หัวเราะฮ่าๆ ก่อนพูดว่า “อย่างไรเจ้ากับรองหัวหน้าหอหลินก็เป็นสหายเก่ากัน วันนี้จะไม่คารวะสักจอกได้อย่างไร”
หยวนชิงเหิงอึ้งไป ให้ตนไปคารวะสุราเจ้าหมอนั่นหรือ
ฝันไปเถอะ!
เห็นนางนั่งนิ่งไม่ขยับ หยวนชิวอู้ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างขึ้นมาทันที ส่วนพวกคนใหญ่คนโตในที่นั้นต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ หยวนชิงเหิงเป็นคนที่รู้กาลเทศะมาโดยตลอด ได้รับความชื่นชมอย่างที่สุด แต่วันนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
กลับเห็นหลินสวินเป็นฝ่ายยืนขึ้นก่อน ถือเหล้าจอกหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าหยวนชิงเหิง พูดด้วยรอยยิ้ม “เหล้าจอกนี้ให้ข้าเป็นฝ่ายคารวะแม่นางชิงเหิงเอง ตอนนั้นหากไม่มีการชี้แนะของนาง ข้าคงยังไม่รู้ว่าที่แท้ชื่อของโลกอีกฟากฝั่งคือโลกยอดนิรันดร์” พูดจบก็ดื่มหมดในคราเดียว
พวกหยวนชิวอู้ต่างยิ้มพยักหน้า
หยวนชิงเหิงขมวดคิ้วพูด “เหตุใดตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนเลี่ยนเช่นนี้”
หลินสวินอึ้งไป
หยวนชิงเหิงลุกขึ้นแล้ว ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มหมดในคราเดียวก่อนจะพูดว่า “รองหัวหน้าหออย่าได้ถือสา ข้าก็นิสัยเช่นนี้แหละ”
หลินสวินกลับที่นั่งอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของหยวนชิงเหิงจึงเย็นชาเช่นนี้
ตู๋กูโยวหรันที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตพร้อมรอยยิ้ม ‘เห็นข้านั่งอยู่ข้างเจ้าตลอดเวลา นางคงไม่ชอบใจ จึงทำให้เสียกิริยา คำพูดเสียดสีไปบ้าง’
ว่าพลางนางก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ‘ไม่ว่าพลังปราณจะสูงเพียงใด ประสบการณ์จะมากเพียงใด ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ล้วนเป็นเช่นนี้ แม้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไร แต่ยามเห็นชายที่รู้จักพูดคุยยิ้มให้ผู้หญิงอื่น อย่างไรในใจย่อมจะหงุดหงิดมาก’
หลินสวิน ‘…’
แค่เรื่องคารวะสุราเท่านั้น ยังคิดไปได้ถึงขนาดนี้ ละเอียดอ่อนขนาดนี้ มีความนัยมากขนาดนี้หรือ
‘ผู้หญิงก็เช่นนี้แหละ’
หลินสวินเองก็อดถอนหายใจไม่ได้
‘ผู้หญิงเข้าใจผู้หญิงที่สุด’
ตู๋กูโยวหรันสื่อจิต ‘แน่นอน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้กำลังยุแยงให้แตกแยก ดูออกว่าเจ้าไม่ได้สนใจหยวนชิงเหิง ข้าจึงพูดกับเจ้าเช่นนี้’
หลินสวินยิ้ม ไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือหยวนชิงเหิงกลับถือจอกเหล้าขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าตู๋กูโยวหรัน เผยรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นมิตรพูดว่า “น้องโยวหรัน เจ้ากับรองหัวหน้าหอหลินคุยอะไรกันอยู่ ข้ามาคารวะสักจอกเจ้าถือสาหรือไม่