Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2938 ประชิดทะเลหมื่นดารา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2938 ประชิดทะเลหมื่นดารา
ตอนที่ 2938 ประชิดทะเลหมื่นดารา
พวกเหยียนจี้และเสวียนเฟยหลิงอึ้งไปทันที สายตามองมาทางหลินสวิน ดูว่าเขาจะพูดอะไร
หลินสวินกล่าวอย่างสงบ “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะเฝ้าทะเลหมื่นดาราคนเดียว”
ทุกคนล้วนเผยสีหน้าคาดไม่ถึง
ทางเข้าของแดนแรกเริ่มตั้งอยู่บนทะเลหมื่นดารา
นึกย้อนไปตอนนั้น สมัยก่อนตอนหลินสวินมาครั้งแรก ก็เคยข้ามทะเลหมื่นดาราเข้ามาทดสอบในเมืองเทพหมื่นยอดที่ตั้งอยู่ส่วนลึกของทะเลหมื่นดารา ถึงได้ครอบครองคุณสมบัติเข้าฝึกปราณในลัทธิแรกกำเนิดได้ในท้ายที่สุด
เรียกได้ว่าทะเลหมื่นดาราก็คือแนวป้องกันแห่งหนึ่งนอกแดนแรกเริ่ม
ขอเพียงมีภัยมากล้ำกราย ศัตรูจะต้องโผล่มาในทะเลหมื่นดารา
หลินสวินกลับเสนอตัวเฝ้าทะเลหมื่นดาราคนเดียว นี่เท่ากับว่าต้องป้องกันอยู่แนวหน้าสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ใช้พลังของตนคนเดียวเฝ้าประตูเข้าออกลัทธิแรกกำเนิด!
“ไม่เหมาะ การทำเช่นนี้บุ่มบ่ามเกินไป”
เหยียนจี้ส่ายหน้า
เขากำลังจะเอ่ยปราม หลินสวินก็ยิ้มพลางเอ่ยตัดบท “ใต้ระดับนิรันดร์ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ให้ข้ามาดูแลทะเลหมื่นดาราจะเหมาะสมที่สุด”
ครู่หนึ่งสายตาเขาก็มองไปทางพวกเสวียนเฟยหลง “ผู้อาวุโสทุกท่านอย่าห้ามข้าอีกเลย ข้าตัดสินใจแล้ว”
นัยน์ตาพวกเสวียนเฟยหลิงหดรัดลงน้อยๆ จิตใจปั่นป่วน
พวกเขาล้วนดูออกว่าครั้งนี้ไม่มีทางห้ามหลินสวินได้แล้วจริงๆ
“ไม่ใช่ว่ายังมีเวลาอีกครึ่งปีหรือ เจ้าจะรีบร้อนทำไม”
เหยียนจี้ขมวดคิ้ว “ยิ่งไปกว่านั้นให้เจ้าไปต้านอยู่ด้านนอกคนเดียว ไม่ใช่เป็นการทำให้ศัตรูหัวเราะเยาะว่าลัทธิแรกกำเนิดของเราไร้คนหรือ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส อย่าห้ามข้าอีกเลย”
เหยียนจี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “ถ้าเจออันตรายต้องจำไว้ว่าต้องกลับสำนักทันที”
หลินสวินประสานหมัดพยักหน้า
“ดูสิ เจ้าหมอนี่นับวันยิ่งปีกกล้าขาแข็ง ตอนนี้แม้แต่คำพูดของเฒ่าชราอย่างพวกเราก็ยังไม่ได้ผล”
เสวียนเฟยหลิงพูดประชด
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้พวกเรารวมกันแล้วยังเอาชนะเขาไม่ได้เล่า”
ตู๋กูยงถอนหายใจ
คนที่เหลืออดขำไม่ได้
ที่เย้าแหย่ก็ส่วนเย้าแหย่ พวกเขาล้วนรู้ดีว่าในลัทธิแรกกำเนิดตอนนี้ หลินสวินเรียกได้ว่าเป็นรองหัวหน้าหอที่มีพลังต่อสู้เป็นอันดับหนึ่ง!
“เหล่าเสวียน”
สายตาเหยียนจี้มองไปทางพวกเสวียนเฟยหลิง “หลังจากนี้ก็รบกวนพวกเจ้าออกหน้า ไปรวบรวมคนในตระกูลที่อยู่ในลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นมา และพาพวกเขาทั้งหมดเข้าไปใน ‘แดนลับแรกฟ้า’ ก่อนที่เหล่าโหยวจะแจ้งมรรคระดับนิรันดร์”
แดนลับแรกฟ้าวิวัฒน์มาจากพลังระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิด เป็นเขตผนึกหลักและปลอดภัยที่สุดในลัทธิแรกกำเนิด
พวกเสวียนเฟยหลิงต่างพยักหน้าอย่างครัดเคร่ง
“ยังมีผู้สืบทอดในสามหอเก้ายอดเขา คนที่ต่ำกว่าขั้นหลุดพ้นก็พาไปแดนลับแรกฟ้าให้หมด ส่วนคนที่เหลือก็ให้ปกป้องลัทธิแรกกำเนิดเหมือนพวกเจ้า”
เหยียนจี้เอ่ยกำชับ
“พวกนี้มอบให้พวกข้าก็พอ”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว
วันนั้นพวกเสวียนเฟยหลิงก็เริ่มเคลื่อนไหว
ส่วนหลินสวินออกจากลัทธิแรกกำเนิดไปเพียงลำพัง
…
ทะเลหมื่นดารา
คลื่นโหมรอบทิศราวกับไร้สิ้นสุด
ดวงดาวมากมายประหนึ่งอัญมณีประดับบนนภาคราม แวววาวแพรวพราว ส่องประกายจนทะเลลึกลับผืนนี้ราวกับแดนอริยเทพนิรันดร์
อันที่จริงที่นี่ถูกพลังระเบียบปกคลุมดั่งเขตผนึกตลอดปี ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากลัทธิแรกกำเนิด ผู้ฝึกปราณทั่วไปก็บุกเข้ามาไม่ได้เลยสักนิด
ส่วนใจกลางทะเลหมื่นดารามีเมืองใหญ่เก่าแก่แห่งหนึ่ง อาบไล้อยู่ใต้แสงหมื่นดารา กำแพงเมืองตระหง่านดั่งหลอมสร้างจากทองเทพ ใหญ่โตโอ่อ่า
เมืองเทพหมื่นยอด!
เมืองแห่งนี้สร้างโดย ‘หยวนชู’ บรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แค่เจตุวัตถุอมตะที่ใช้ก็มีไม่ต่ำกว่าหมื่นชนิดแล้ว
ในใจกลางเมืองนี้ยังมีสิ่งปลูกสร้างรูปร่างคล้ายกระบี่เทพแห่งหนึ่ง ชี้ตรงขึ้นฟ้า!
นี่ก็คือวังกระบี่หมื่นยอด
ปีนั้นการทดสอบของลัทธิแรกกำเนิดที่หลินสวินเข้าร่วมก็เปิดขึ้นในลานมรรคหน้าวังกระบี่หมื่นยอด
พริบตาเดียวก็จวนร้อยปีแล้ว
เขาในตอนนี้เป็นรองหัวหน้าหอแรกนภาไปแล้ว เป็นขั้นหลุดพ้นที่ชื่อเสียงเลื่องลือ เทียบกับระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเมื่อปีนั้นไม่ได้อีกแล้ว
ในชั้นสูงสุดของวังกระบี่หมื่นยอด หลินสวินพิงราวระเบียงทอดมองไปไกลๆ
มองจากตรงนี้ไปสามารถเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ได้รอบทิศ แสงดาราพริบไหวนับไม่ถ้วนแต่งแต้มผิวน้ำ เงียบสงัดสุดสายตา
“ซย่าจื้อ อีกไม่นานทะเลแถบนี้ก็จะมีศึกใหญ่เกิดขึ้นแล้ว”
จากนั้นสักพักหลินสวินก็ถอนสายตามองไปทางซย่าจื้อที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ถ้าเจ้าอยากร่วมต่อสู้ด้วยต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง”
ซย่าจื้อกล่าวโดยไม่คิด “เจ้าว่ามา”
หลินสวินกล่าวจริงจัง “ถ้าเกิดอันตรายถึงชีวิต ห้ามเข้ามาขวางหน้าข้าโดยไม่สนอะไรเด็ดขาด”
ซย่าจื้อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ได้”
หลินสวินยิ้มออก กล่าวว่า “แน่นอนว่าด้วยพลังต่อสู้ของข้าและเจ้าที่มีตอนนี้ เว้นแต่ระดับนิรันดร์จะลงมือ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครในใต้หล้านี้จะคุมคามพวกเราได้”
กล่าวถึงตรงนี้ท่าทางของเขาก็เผยแววทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อก่อนยามเขากับซย่าจื้อเผชิญอันตราย ส่วนใหญ่ทำได้เพียงหลบหลีกกับวิ่งหนี ถ้าเข้าไปสลายอันตรายเหล่านั้นก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส
แต่ตอนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว!
…
ครึ่งเดือนต่อมา
ข่าวหนึ่งกระจายไปทั่วหล้า…
‘ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานร่วมมือกัน ประกาศว่าให้ลัทธิแรกกำเนิดส่งตัวผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลินสวินออกมา ไม่เช่นนั้นภายในหนึ่งเดือนจะบุกไปจับหลินสวินที่ลัทธิแรกกำเนิดด้วยตัวเอง’
หินก้อนเดียวก่อคลื่นนับพัน ขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่เจ็ดได้รับข่าวเป็นที่แรก เกิดคลื่นโกลาหลขึ้นโดยพลัน
“ปีนั้นพันธมิตรสงครามสิบตระกูลก็อยากจัดการหลินสวินเช่นกัน แต่ว่ากันว่ากำลังพลของพันธมิตรสงครามสิบตระกูลล้มตายเสียหายหนักในน่านฟ้าที่หกไปแล้ว ใครจะคิดว่าสองหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานจะดันร่วมมือกัน และหมายหัวหลินสวินเช่นกัน”
มีคนสั่นสะท้าน
“ในที่สุดโลกก็ถึงคราวปั่นป่วนแล้ว”
“อานุภาพของสี่หอบรรพจารย์เหนือล้ำปานใด รากฐานก็น่าสะพรึงขนาดไหน ตอนนี้นอกจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ สามหอบรรพจารย์ที่ล้วนหันคมหอกดาบใส่กัน ทันทีที่เกิดศึกนี้ย่อมกระทบกับโครงสร้างโลกทั้งใบเป็นแน่!”
“ก็ไม่รู้ว่าพันธมิตรสงครามสิบตระกูลจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายดังขึ้น การประกาศศึกของลัทธิพ่อมดและลัทธิฌาน ทำให้สถานการณ์ใต้หล้าเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและกดดันขึ้น
และเมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ข่าวที่แพร่ออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
“หอบรรพจารย์ลัทธิฌานรวมตัวผู้ฝึกปราณขั้นหลุดพ้น สะสมกำลังรอบุก! ได้ยินมาว่าทัพใหญ่ลัทธิพ่อมดครั้งนี้นำโดยจอมมุนีจี้คง!
“ในหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด พวกราชครูดินเคลื่อนไหวแล้ว ลือกันว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ยังมีถึงสิบสองคน”
“ว่ากันว่าหัวหน้าหอคนหนึ่งของลัทธิแรกกำเนิดกำลังจะแจ้งมรรคระดับนิรันดร์ ถึงตอนนั้นพลังระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิดก็ไม่อาจปกป้องแดนแรกเริ่มได้อีก”
“ลัทธิแรกกำเนิดมีภัย!”
…ทั่วหล้าล้วนฮือฮา ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในแต่ละขุมอำนาจล้วนอกสั่นขวัญแขวน
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดสี่หอบรรพจารย์ตั้งตระหง่านบนโลก ตำแหน่งสูงส่งจนยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดยังต้องกลัวเกรงสามส่วน
ใครจะกล้าจินตนาการว่าระหว่างสามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิพ่อมด และลัทธิฌาน จะเกิดความขัดแย้งเช่นนี้ขึ้นได้
และถ้าความขัดแย้งเช่นนี้ปะทุขึ้น ผลกระทบนั้นย่อมกระเทือนไปถึงทั้งโลกยอดนิรันดร์!
ริมฝั่งทะเลหมื่นดารา
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เสียงวู้มคราหนึ่งดังขึ้น ห้วงอากาศสั่นไหว สะท้อนเงาร่างคนกลุ่มหนึ่งออกมา มีทั้งชายหญิงเด็กแก่ อานุภาพแต่ละคนไพศาล ยิ่งใหญ่สูงส่ง น่าเกรงขามหาใดเปรียบ
นี่คือขั้นหลุดพ้นทั้งกลุ่ม!
มีถึงหกสิบคนเต็มๆ!
คนที่เป็นผู้นำสวมชุดดำ สองมือไพล่หลัง อานุภาพทั้งร่างอหังการประหนึ่งคืนนิรันดร์มืดมิด
ใบหน้าเขาแก่หง่อม นัยน์ตาเปี่ยมกลิ่นอายโชกโชน
แต่เมื่อเขาปรากฏตัว ท้องฟ้าที่เดิมทีปลอดโปร่งจู่ๆ ก็มีความมืดมิดก็เข้าถาโถม เมฆดำโหมซัด เต็มไปด้วยกลิ่นอายด่านเคราะห์นับไม่ถ้วน
ราชครูดินลัทธิพ่อมด ถูมู่หุน!
ด้านหลังเขามีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ยี่สิบสี่คน ขั้นหลุดพ้นขั้นปลายสามสิบห้าคน รวมเขาด้วยแล้วทั้งหมดหกสิบคน
ควรรู้ว่าต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่อมตะอันดับหนึ่งอย่างตระกูลหวัง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดก็เพิ่งจะปรากฏขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แค่เก้าคนเท่านั้น
แต่ตอนนี้แค่ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดส่งมาก็มีมากถึงยี่สิบสี่คนแล้ว!
จุดนี้ทำให้เห็นว่าในฐานะหนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ รากฐานของลัทธิพ่อมดน่าสะพรึงขนาดไหน
ถูมู่หุนเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาโชกโชนจ้องมองผืนน้ำไกลออกไป น้ำเสียงแหบพร่าต่ำลึก “นี่ก็คือทะเลหมื่นดารา เป็นสถานที่ปักหลักของลัทธิแรกกำเนิด”
คนอื่นมองไปยังทะเลหมื่นดาราเช่นกัน
พวกเข้าล้วนสัมผัสได้ว่ามีพลังระเบียบคลุมเครือปกคลุมอยู่บนผิวน้ำกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดนั้น
“อีกไม่นานโหยวเป่ยไห่ก็จะแจ้งมรรคนิรันดร์ ถึงตอนนั้นมหาเคราะห์นิรันดร์จะมาเยือน พลังระเบียบระดับเทพที่ปกป้องลัทธิแรกกำเนิดจะเจอการโจมตีรุนแรง และเวลานั้นก็คือโอกาสที่ดีที่สุดในการบุกเข้าลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรา”
ครู่ใหญ่หลังจากนั้นถูมู่หุนเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาขุ่นมัวเปี่ยมด้วยความเฉยชาและเยียบเย็น “แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราอาจยังสามารถเจรจาดีๆ กับลัทธิแรกกำเนิดได้”
นัยน์ตาทุกคนไหววูบ คล้ายรู้ชัดว่าว่าต่อไปถูมู่หุนจะทำอะไร
“ข้าถูมู่หุนราชครูดินลัทธิพ่อมด วันนี้พาคนร่วมสำนักมาเยี่ยมเยียน!”
ถูมู่หุนเอ่ยปาก น้ำเสียงต่ำลึกแหบพร่าก้องสะท้อนราวกับเสียงอสนีบาต กระจายไปยังส่วนลึกของทะเลหมื่นดารา
บนยอดวังกระบี่หมื่นยอด หลินสวินลืมตาจากการนั่งสมาธิ ส่วนลึกในดวงตาเผยแววเย็นเยียบเสี้ยวหนึ่ง
เยี่ยมเยียนหรือ
นี่มาด้วยเจตนาไม่ดีชัดๆ!
เขากำลังจะตอบกลับก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันหนึ่งดังขึ้น “ถูมู่หุน นี่มันเวลาใดแล้ว ยังจะแสร้งบอกว่าเยี่ยมเยียน แสดงเจตนามาตรงๆ ก็พอ!”
เงาร่างเสวียนเฟยหลิงปรากฏขึ้นข้างหลินสวินพร้อมกับเสียง
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าให้ข้าเฝ้าที่นี่คนเดียวหรือ”
เสวียนเฟยหลิงหัวเราะกล่าว “ศึกใหญ่ยังไม่ปะทุไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่มาดูว่าพวกเฒ่าสวะลัทธิพ่อมดนี่คิดจะทำอะไร”
หลินสวินกล่าวอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นก็ตามใจท่าน”
ริมฝั่งทะเลหมื่นดารา หลังจากได้ยินเสียงของเสวียนเฟยหลิง นัยน์ตาถูมู่หุนก็สาดประกายดุดัน กล่าวว่า “เสวียนเฟยหลิง ในเมื่อมีเจ้าอยู่ เช่นนั้นตาเฒ่าอย่างข้าก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว ขอเพียงลัทธิแรกกำเนิดส่งตัวหลินสวินออกมา ข้าจะพาคนจากไปทันที”
เสียงดังครั่นครืนกระจายออกไป
“ถ้าไม่ส่งไปเล่า”
เสวียนเฟยหลิงเอ่ยปากเนิบๆ โต้ตอบกับเขาผ่านห้วงอากาศ
ใบหน้าถูมู่หุนไร้อารมรณ์ เอ่ยว่า “เช่นนั้นเกรงว่าภายหน้าบนโลกนี้คงไม่มีสถานที่ให้ลัทธิแรกกำเนิดหยัดยืนอีก!”
น้ำเสียงกดดันเปี่ยมด้วยความเย็นเยียบไร้สิ้นสุด ทำให้คนใจสั่น
เสวียนเฟยหลิงได้ยินก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นพลันแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น “พวกเจ้าลัทธิพ่อมดเหิมเกริมกันจริงๆ ถ้ากล้าพวกเจ้าก็บุกเข้ามาตอนนี้เลยสิ”
น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยันดูหมิ่น
สีหน้าเหล่าคนใหญ่คนโตลัทธิพ่อมดล้วนเผยไอสังหารขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่