Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 296
เปลวไฟลุกโหม เรือรบวีรชนม่วงโคลงเคลงจนจะตกลงมา
เพียงแต่ในที่สุดมันกลับไม่ได้ตกลงมาและแหลกสลายลง แต่หันหัวกลับไป เคลื่อนตัวตุปัดตุเป๋ไปยังห้วงอากาศที่ไกลออกไปเหมือนกับคนกักขฬะเมาแอ๋ ไม่นานก็หายลับไม่เห็นอีก
หลินสวินทอดถอนใจแล้วเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เขาออกแบบให้เรือรบวีรชนม่วงทรงพลังเกินไปเสียแต่แรก ขอเพียงเตาหลอมวิญญาณไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ก็ไม่มีทางตกลงมาพังเสียหายได้
ต่อให้ใช้ทักษะของหลินสวินในตอนนี้ ก็หาโอกาสโจมตีเตาหลอมวิญญาณของเรือรบวีรชนม่วงไม่ได้เลย
ทว่าพูดไปพูดมา หากเรือรบวีรชนม่วงถูกทำลายง่ายขนาดนั้น กลับจะทำให้การออกแบบของหลินสวินดูอ่อนแอนัก
ผลลัพธ์เช่นนี้ก็น่าจนใจยิ่ง เห็นชัดๆ ว่าเป็นเรือรบขนาดเล็กโดดเด่นมากลำหนึ่งที่ตนออกแบบเอง ตอนนี้กลับถูกนำมาใช้จัดการตนเอง คิดดูก็รู้สึกน่าขันนัก
“ท่านแม่…ท่านแม่…”
ทันใดนั้นเด็กน้อยลั่วลั่วที่อยู่บนหลังก็ส่งเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจนออกมา ยังให้หลินสวินพลันคืนสติ สายตาของเขากวาดออกไปทั่วทุกทิศ เลือกเส้นทางหนึ่งแล้วเดินไปทางภูเขาทันที
เวลานี้ศัตรูถูกโจมตีจนล่าถอยชั่วขณะ ต่อไปก็ต้องเร่งฟื้นฟูบาดแผลแล้ว สำหรับเด็กน้อยลั่วลั่ว…
หลินสวินไม่มีทางทิ้งไว้ไม่ดูดายได้!
…
นครต้องห้าม
เสียงพูดคุยรื่นเริงดังขึ้นในคฤหาสน์เก่าแก่
“อ้อ รอภารกิจครั้งนี้จบลง ข้าจะไปร่ำสุราที่ ‘หอสรวลทรัพย์’ ที่นั่นต้องมีแม่นางหลายคนระริกระรี้รอร่วมห้องกับข้าอยู่ ฮ่าๆ”
“ชิ แม่หญิงโคมเขียวจะน่าสนุกตรงไหน เมื่อครู่ข้าให้คนไปหาสาวน้อยเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่งจากตลาดทาส คิดว่าตอนนี้คงถูกฝึกให้เป็นทาสแล้ว ถึงเวลาต้องไปลิ้มลองเสน่ห์ของสตรีต่างเผ่านี้ดีๆ เสียหน่อย”
“พวกเจ้านี่นะ รู้จักแต่เที่ยวเล่นรักสนุก ข้าไม่เหมือนกับพวกเจ้า ตระกูลได้เตรียมห้องลับชั้นยอดที่ใช้ในการฝึกปราณให้แห่งหนึ่งแล้ว รอเพียงภารกิจนี้จบลง ข้าก็จะเก็บตัวฝึกปราณเพื่อเตรียมบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ”
คนหนุ่มเหล่านั้นล้วนสนทนาถึงแผนหลังภารกิจจบลงอย่างออกรส พูดคุยอย่างเริงร่า วาจาไม่ขาดน้ำเสียงประกวดประขันกัน
นี่ก็คือท่าทางของลูกหลานตระกูลผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเที่ยวเล่นดื่มกิน หรือทำธุระฝึกปราณ ล้วนต้องนำมาเปรียบเทียบกัน แบ่งแยกสูงต่ำ
“ทุกท่าน ไม่ว่าพวกเจ้าอยากทำอะไร อย่าลืมว่ายังมีงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จรอพวกเจ้าอยู่ หากใครไม่มาก็อย่าหาว่าโกรธจนไม่ไว้หน้าก็แล้วกันน”
เวลานี้ฉือฉางเหมยดูอารมณ์ดี ถึงได้พูดหยอกล้อออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง พาให้ผู้อื่นล้วนหัวเราะเออออไม่หยุดหย่อน
ปัง!
ทันใดนั้นประตูใหญ่ถูกผลักออก ยามอารักขาผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วร้องเสียงดังว่า “แย่แล้วขอรับ! แนวหน้าส่งข้อมูลกลับมาว่าเป้าหมายยังไม่ตาย!”
อะไรนะ?
ชั่วพริบตาบรรยากาศในห้องที่แต่เดิมรื่นเริงก็พลันหายไป แปรเปลี่ยนเป็นกดดันเงียบเชียบ ผู้ช่วยเหล่านั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก สีหน้าตื่นตะลึงราวไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
ด้วยการถล่มโจมตีของเรือรบวีรชนม่วง เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ
เรื่องบ้าๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร!?
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉือฉางเหมยสีหน้าเย็นชา ดวงตากระจ่างของนางแข็งทื่อคมกริบราวมีด
เป็นยามอารักขาที่สั่นเทาไปทั้งร่าง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ขณะกำลังจะพูดอะไรออกมา ยามอารักขาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง ท่าทางอกสั่นขวัญแขวน แทบจะชนเข้ากับร่างของฉือฉางเหมย
“ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ ท่าทางไม่เรียบร้อยเลย”
ฉือฉางเหมยตวาดเสียงแข็ง
ผู้นั้นหน้าเหยเกยามที่เพิ่งวิ่งเข้ามา แล้วร้องออกมาว่า “คุณหนู แย่แล้วขอรับ เรือรบวีรชนม่วงที่ส่งไปเทือกเขาราตรีต้นเฟิงได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกือบตกลงไปพังเสียหายขอรับ!”
ทุกคนหน้าเจื่อนราวถูกฟ้าฟาด ขนาดเรือรบวีรชนม่วงยังเสียหายอย่างหนัก นี่…จะเป็นไปได้อย่างไร!?
พวกเขาในเวลานี้มีหรือจะทำท่าทางลำพองพูดคุยเรื่อยเปื่อยอย่างเมื่อครู่นี้ได้ ต่างพากันทึ่มทื่อไปหมด
“มีบันทึกหรือไม่”
ฉือฉางเหมยสูดหายใจลึก เก็บกักความไม่สงบและฉงนไว้ในใจ ขมวดคิ้วถามขึ้น
ยามผู้นั้นนำเหยี่ยวสอดแนมตัวหนึ่งออกมาอย่างรีบร้อน นิ้วมือบีบคอมัน ครั้นได้ยินเสียงร้องแหวะออกมาครั้งหนึ่ง ถึงเห็นไข่มุกส่องแสงเรืองล้อมรอบออกมาเม็ดหนึ่งด้วย
ในไข่มุกโคจรหมุนคว้าง ฉายแสงแสงหนึ่งขึ้นมา ในนั้นฉายภาพทุกภาพ เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพนองเลือดที่หลินสวินกำลังแบกเด็กหญิงตัวน้อยประจัญบานผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งตัวคนเดียว
ไม่ได้ตายไปจริงด้วย!
สีหน้าผู้ช่วยเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเหยเกหาใดเทียบ
ขนาดฉือฉางเหมยก็ปรากฏสีหน้าอึมครึม เคลื่อนเรือรบวีรชนม่วงคราวนี้ เดิมทีเป็นเรื่องที่คาดเดาผลได้ง่าย แต่ใครจะคิดว่าเป้าหมายกลับมีชีวิตรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์!
ไม่นานนักภาพเรือรบวีรชนม่วงระเบิดก็สะท้อนลงบนจอภาพ ต่อให้แค่ดูจอภาพก็ยังทำให้ผู้ช่วยเหล่านั้นตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปมาตาเบิกกว้าง ทำใจเชื่อได้ยาก
นั่นเป็นเรือรบวีรชนม่วงเชียวนะ จะมีผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจที่ไหนสามารถสร้างความเสียหายให้ได้
ในจอภาพไม่ได้แสดงว่าหลินสวินทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันแน่ แต่พวกฉือฉางเหมยแน่ใจว่าข่าวเรื่องเรือรบวีรชนม่วงได้รับความเสียหายอย่างหนักเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนแล้ว!
เมื่อจอภาพสลายไป บรรยากาศในห้องก็เงียบเชียบอย่างน่ากลัว อึดอัดเสียจนทำให้หลายคนหายใจไม่สะดวก
ถล่มรถรับส่งรอยสลักวิญญาณลำหนึ่ง แต่ไม่สามารถปลิดชีพเป้าหมายได้ กลับถูกเขาใช้โอกาสนี้สร้างความเสียหายใหญ่ให้เรือรบวีรชนม่วง ทั้งหมดนี้ดูไร้เหตุผลและแปลกประหลาดเกินจะจินตนาการ
ทว่า ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจริงแล้ว!
หรือเป้าหมายนั่นจะเป็นสัตว์ประหลาดฆ่าไม่ตายตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“สมควรตายนัก สมควรตาย…”
มีคนอดไม่ไหวด่าทอออกมาอย่างเคืองแค้น “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ เจ้านั่นไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ เหตุใดถึงวิปริตได้เพียงนี้”
“หรือจะมีใครแอบยื่นมือมาช่วย”
มีคนสงสัย เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไปก็ถูกฉือฉางเหมยโต้แย้งทันควัน “ไม่มีทาง!”
ส่วนสาเหตุนั้น นางไม่ได้แจกแจง
“แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลายคนสีหน้าอึมครึม
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ แต่ที่ควรคิดก็คือ พวกเราควรทำเช่นไรในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป!”
ฉือฉางเหมยเอ่ยเสียงเย็น “จนถึงตอนนี้พวกเราเสียผู้ฝึกปราณฝีมือดีไปแล้วเกือบสองร้อยคน เรือรบวีรชนม่วงลำหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ความสูญเสียเหล่านี้ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก แต่ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ที่เป้าหมายแสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้เราให้ความสำคัญอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน”
“ท่านหญิงเหมย เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี”
สายตาของผู้ช่วยเหล่านั้นล้วนมองไปยังฉือฉางเหมย
นางครุ่นคิดครู่ใหญ่ แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งร้อนใจ นางคิดถึงสวี่เชียนจิ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในใจอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ถ้ารู้เช่นนี้อยู่ก่อน ก็ไม่น่าให้เขาจากไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น…
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกผิดที่ไล่สวี่เชียนจิ้งออกแต่อย่างใด
นางรู้ดีว่าคนอย่างสวี่เชียนจิ้งผู้นี้ ที่ช่วยตนในครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนน้ำใจ ด้วยเหตุนี้ต่อให้เก็บเขาไว้ตนก็ไม่สามารถบังคับควบคุมได้
“จริงด้วย ก่อนหน้านี้สวี่เชียนจิ้งเพ่งเล็งความเคลื่อนไหวเมื่อเป้าหมายข้ามเทือกเขาราตรีต้นเฟิง ได้มีแผนกับการเตรียมการอะไรไว้หรือไม่”
ฉับพลันฉือฉางเหมยก็นึกขึ้นมาได้แล้วเอ่ยถามออกมา
ผู้ช่วยเหล่านั้นพลันมองหน้ากันเลิกลั่ก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่พอใจสวี่เชียนจิ้งอยู่ก่อนแล้ว จึงเอาแต่ถากถางและเยาะเย้ยเขา ไม่เคยคิดถามเขาเลยว่ามีความคิดหรือแผนเช่นไรกันแน่
เห็นเช่นนี้ฉือฉางเหมยอดขัดเคืองไม่ได้อยู่บ้าง ในที่สุดก็ยับยั้งตัวเองให้อดทนไว้แล้วพูดว่า “จากนี้ไปพวกเจ้าช่วยข้ารวบรวมรายงานข่าว วางกลศึกอย่างเต็มที่ โดยมีข้าเป็นผู้ออกคำสั่งสุดท้าย ควบคุมการเคลื่อนไหว”
ชั่วอึดใจสีหน้าของนางก็กลับมาสงบนิ่ง เอ่ยเสียงเนิบว่า “นอกเสียจากว่าเป้าหมายตาย หาไม่แล้ว ใครก็ออกจากที่นี่ตามใจชอบไม่ได้!”
ทุกคนล้วนจิตใจสั่นสะท้าน เงียบกริบราวจิ้งหรีดเหมันต์
…
เทือกเขาราตรีต้นเฟิง ในถ้ำแคบห่างไกลแห่งหนึ่ง
กองไฟกำลังจะมอด กลิ่นเนื้อย่างยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่ง ดูเด็กหญิงน้อยลั่วลั่วที่กินอิ่มแล้วนอนอยู่บนหนังสัตว์อ่อนนุ่ม ในใจลอบถอนใจโล่งอก
ยามเด็กน้อยเพิ่งตื่นก็ร้องไห้เรียกหามารดา หลินสวินใช้ทุกวิธีถึงปลอบจนนางสงบใจได้ กินเนื้อสัตว์ป่าย่างเป็นเพื่อนนางถึงกล่อมให้นางหลับได้
มารดาของลั่วลั่วไม่น่ารอดชีวิตได้ นี่ยังให้หลินสวินรู้สึกผิดและโทษตัวเองนัก ยิ่งทะนุถนอมลั่วลั่วมากดี กลัวแต่จะดูแลนางได้ไม่ดี
ทว่าเมื่อคิดว่าตนยังต้องพบกับอันตรายมากมายระหว่างทาง เขาก็ปวดหัวไม่รู้จะจัดการเรื่องลั่วลั่วอย่างไรดี
เขาไม่คิดให้เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพิ่งสามสี่ปีผู้นี้ไปเสี่ยงอันตรายกับตน
หลินสวินคิดไปคิดมาก็คิดวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหัว วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
เขาดับกองไฟ เปิดเครื่องจับพลังวางไว้ที่ปากถ้ำ และวางกระบวนรอยสลักวิญญาณปิดบังพลังปราณชนิดหนึ่ง ถึงได้วางใจได้เต็มที่ เริ่มนั่งขัดสมาธิบนพื้น สงบใจฟื้นฟูบาดแผลบนร่างกาย
เขามียาสมุนไพรวิญญาณที่จำเป็นต่อการรักษาบาดแผล หากเร่งฟื้นตัว ประมาณห้าหกวันบาดแผลก็น่าจะได้รับการเยียวยา
เช่นนี้แล้ว ตอนนี้เขาจึงพักฟื้นที่เทือกเขาราตรีต้นเฟิง ทุกวันนอกจากรักษาแผลก็ดูแลลั่วลั่ว
เด็กน้อยอายุเพิ่งสามสี่ปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องอยู่ข้างกายมากที่สุด ทั้งประสบเภทภัย สูญเสียมารดา สภาพจิตใจอ่อนแอยิ่งนัก
เพื่อไม่ให้ลั่วลั่วโศกเศร้าและเจ็บปวด หลินสวินนำเจ้าจิ๊บจิ๊บที่ซ่อนตัวนอนหลับในฝ่ามือตนออกมาเป็นของเล่นให้ลั่วลั่ว
ไม่คิดเลยว่าการทำเช่นนี้กลับได้ผลชะงัด เมื่อเห็นเจ้าจิ๊บจิ๊บที่นุ่มนิ่มกลมเกลี้ยงเหมือนลูกหนัง ทั้งท่าทางยังน่ารักน่าชังยิ่งเข้า ลั่วลั่วก็ตาเปล่งประกาย ร่าเริงขึ้นมา
ส่วนเจ้าจิ๊บจิ๊บตัวนี้เดิมทีก็เป็นวิญญาณที่ไม่มีพิษภัย ทั้งถูกหลินสวินฝึกสอน จึงเล่นกับลั่วลั่วได้อย่างอย่างเต็มที่
เห็นเช่นนี้เขาก็พึงพอใจ มีเจ้าจิ๊บจิ๊บดูแลลั่วลั่ว ทำให้เขาสามารถจดจ่อกับการดูแลรักษาบาดแผลได้
เจ็ดวันผ่านไปเช่นนี้ บาดแผลของหลินสวินก็หายดี เขาจึงไม่หยุดพักต่อ พาลั่วลั่วจากมาทันที
“ลั่วลั่ว รับปากพี่เรื่องหนึ่งสิ”
“เจ้าคะ? พี่ชายพูดมาเลยเจ้าค่ะ”
“หากภายหน้าพบกับคนไม่ดีระหว่างทาง เจ้าต้องหลับตาไว้ ทำแบบนี้เจ้าก็จะไม่ถูกคนไม่ดีทำให้ตกใจกลัว”
“เจ้าค่ะ! ข้าจะเชื่อฟังพี่ชาย”
“ลั่วลั่วเป็นเด็กดีจริงๆ คราวหลังพี่จะซื้อของเล่นให้เจ้าเยอะๆ เลย”
“ข้าไม่เอา ข้าขอแค่มีเจ้าจิ๊บจิ๊บเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ่อ…ก็ได้”
หลินสวินแบกลั่วลั่วเดินก้าวไปข้างหน้าบนทางเดินที่สูงชันขรุขระของเทือกเขาราตตรีต้นเฟิง
เมื่อคุยกับลั่วลั่วตลอดทาง หลินสวินก็เผลอคิดถึงซย่าจื้อ ตอนนี้เด็กคนนี้จะยังอยู่ดีหรือไม่นะ